LOGINอิงหลิวตัดสินใจออกเดินทางเข้าตัวหมู่บ้านทันที ในเวลานี้นางยังคงไม่รู้หรอกว่านางจะอาศัยอยู่ที่ไหน หรือสถานที่ไหนเหมาะสมกับนาง แต่ที่นางมั่นใจอย่างแน่นอน คือต้องรีบหาที่พักหรือบ้านให้ได้ภายในคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้นางมีลางสังหรณ์ว่ารากวิญญาณที่ระบบแม่จะมอบให้นางมันคงไม่ธรรมดาเป็นแน่
“ระบบ คิดว่าอย่างไรดี”
“โฮสต์ จากการคำนวณดูสถานที่ที่โฮสต์ควรอยู่อาศัย อยู่ทางนอกเมืองไปราวห้าลี้ (1 ลี้: 500 เมตร) ทางตอนเหนือ ห่างไกลผู้คน ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์เหมาะกับฐานะแพทย์โอสถในอนาคตของโฮสต์” หลังนางได้ยินสิ่งที่ระบบบอกกับนาง อิงหลิวก็รู้สึกเห็นด้วย ยิ่งห่างไกลผู้คน ก็ยิ่งห่างจากสายตาอยากรู้อยากเห็น
“เอาตามที่เจ้าว่า ไปติดต่อขอซื้อพื้นที่เลยแล้วกัน”
“นั่นพี่สาวคนนั้น คนที่ช่วยพวกเราจากพวกคนไม่ดี” ทันทีที่นางเดินไปหยุดที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เสียงจอแจของกลุ่มเด็กน้อยก็ดังขึ้น นางเห็นเด็กหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา
“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้ายังไม่ได้ช่วยอะไรพวกเจ้าเลยนะ” นางเอ่ยแย้งเสียงเบา ด้วยกลัวจะทำเด็กน้อยตรงหน้าตกใจ
“พวกพี่ชุดขาวบอกกับข้าว่า เพราะพี่สาวขอให้พวกเขากำจัดคนไม่ดี พวกเขาจึงยอมเข้ามาช่วยเหลือพวกข้า” พวกพี่ชุดขาวอย่างนั้นเหรอ อิงหลิวนึกถึงชุดประจำสำนักของวิหคอมตะ นางก็เข้าใจทันที
“ข้าแค่บอกพวกเขา พวกเขาต่างหากที่ลงแรงช่วยพวกเจ้า” นางส่ายหน้าแก้ความเข้าใจผิดของเด็กน้อย ในเมื่อนางไม่ได้ช่วยอะไรนางก็ไม่อยากรับความดีความชอบเข้าตัว
“ผู้ใหญ่บ้าน ข้าต้องการซื้อที่ดินทางตอนเหนือที่อยู่ไกลออกไปราวห้าลี้ รบกวนผู้ใหญ่บ้านด้วยนะ” อิงหลิวเงยหน้าพูดธุระที่นางต้องการให้บุรุษชราตรงหน้า
“ได้ รบกวนท่านรอสักครู่ ข้าจะจัดการให้” หลังนางได้ฟังคำตอบที่พอใจแล้ว นางก็นั่งลงรอเอกสารบางฉบับที่นางต้องลงชื่อ
“เอกสารนี้ข้าจะออกให้ก่อน ส่วนเอกสารอีกฉบับ ทางการของแคว้นจะค่อยส่งมาให้ ท่านต้องการซื้อที่ดินหรือซื้อจวนหรือ?”
“มีจวนว่างด้วยหรือ?” อิงหลิวถามพร้อมหยิบรูปวาดของบ้านที่ประกาศขาย
“จวนที่ท่านดูอยู่ ถูกประกาศขายนานแล้ว เจ้าของคนเก่าเป็นอดีตขุนนางของแคว้น แต่ว่าเขาและครอบครัวของเขาถูกโทษประหารทำให้จวนหลังนี้ถูกทางการยึดไป จนตอนนี้ก็ยังคงไม่มีเจ้าของ”
“อยู่ห่างจากที่นี่มากหรือไม่?”
“ราวห้าลี้ตามที่ท่านต้องการ”
“ได้ ข้าต้องการซื้อจวนหลังนี้” อิงหลิวตัดสินใจซื้อทันที จวนหลังนี้ช่างมาถูกเวลาเสียจริง
“ท่านไม่ไปดูตัวจวนก่อนเหรอ ถึงจะมีพื้นที่กว้างแต่ตัวจวนคงพังไปหลายส่วนแล้ว ทั้งต้นไม้ก็ขึ้นรกเต็มพื้นที่ไปหมด”
“จะมีคนขายที่พักคนไหนบอกแต่ข้อเสียของจวนกัน ผู้ใหญ่บ้านข้าเอาจวนหลังนี้ บอกราคามาได้เลย” อิงหลิวนึกขำในใจ ดูท่าแล้วผู้ใหญ่บ้านดูจริงใจกับนางไม่ใช่น้อย
“ได้ขอรับ ท่านโปรดนั่งรอก่อน” นางนั่งรอเงียบ ๆ พลางคำนวณเงินที่เหลือในจี้หยกรวมกับเงินที่ได้จากการประมูลคราวก่อนที่นางได้ไปขึ้นเงินแล้วเมื่อหลายวันก่อนหน้า
หลังใช้เวลาเดินเท้ากว่าหนึ่งชั่วยามนางก็มาถึงจวนที่นางเพิ่งซื้อไป สภาพกำแพงสูงดูทรุดโทรมตามที่ผู้ใหญ่บ้านบอกจริง แต่ใช่ว่าจะรับไม่ได้ ดูแล้ววัสดุที่เอามาสร้างกำแพงคงเป็นวัสดุอย่างดี ทั้งประตูจวนก็ทำจากไม้เคลือบเงาที่น่าจะทนทานหลายส่วน อิงหลิวผลักประตูเข้าไปก่อนจะพบตัวเรือนที่พอเห็นก็รู้ว่าเป็นเรือนส่วนหน้าที่เอาไว้รับรองแขกโดยเฉพาะ พอเดินเข้าประตูหลังของเรือนส่วนหน้าก็เจอกับสวนที่น่าจะเคยงดงามแต่สภาพตอนนี้คงดูไม่ออก ว่าเคยปลูกอะไรเป็นแน่ ทางด้านซ้ายสุดและขวาสุดก็มีเรือนใหญ่ตั้งอยู่ คงจะเคยเป็นเรือนของครอบครัวเจ้าของคนเก่า และเรือนสุดท้ายที่อยู่ห่างออกไปตรงหน้านางก็คงเป็นเรือนหลักของบ้านหลังนี้
“ไม่มีเรือนแยกของบ่าวรับใช้ และเรือนแยกของโรงครัว พวกเขาคงไม่มีบ่าวคอยรับใช้ล่ะมั้ง” อิงหลิวเดินสำรวจดูส่วนเหลือของตัวบ้าน มีเรือนหลัก ๆ อยู่สี่เรือนหากรวมเรือนส่วนหน้า มีสวนขนาดกว้าง บ่อน้ำที่เคยมีน้ำ และกำแพงด้านหลังของตัวบ้านติดกับลำธารเล็ก ๆ และป่าขนาดใหญ่
“ยินดีด้วยโฮสต์ทำภารกิจลับสำเร็จ
ได้รับบ้านพักของแพทย์โอสถและอุปกรณ์สำหรับแพทย์โอสถ ต้องการรับรางวัลเลยหรือไม่?” เสียงระบบที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้นางสะดุ้งเล็กน้อย“ภารกิจลับเหรอ คราวนี้เป็นภารกิจอะไรล่ะ?” นางถามขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนจะหยุดดูร่องรอยกำแพงที่อยู่หลังตัวเรือนหลัก คงเคยมีคนเข้ามาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งเป็นแน่ รอยรองเท้าที่เหยียบบนพื้นหญ้าปรากฏเห็นได้ชัด คงเป็นทางที่เดินผ่านประจำ
“เป็นภารกิจที่เกี่ยวข้องกับโฮสต์โดยตรง คือ ซื้อบ้านพักมีบริเวณปลูกสมุนไพร และเจ้าของครอบครองอาชีพที่เกี่ยวกับหมอ เงื่อนไขทุกข้อโฮสต์ผ่านหมด เลยสำเร็จภารกิจข้อนี้ได้พอดี”
“ช่างโชคดีเสียจริง อย่างนั้นรับรางวัลเลยระบบ” อิงหลิวตอบกลับก่อนจะรีบเดินออกนอกตัวบ้านที่เพิ่งซื้อ นางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่เห็นคำเตือนตัวโต ๆ ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าว่าให้รีบออกจากบริเวณ นางก็เลยทำตาม
“กำลังดำเนินการมอบรางวัล กรุณารอสักครู่” สิ้นเสียงนั้น ตัวบ้านทั้งหมด ตั้งแต่กำแพงจนถึงตัวเรือนที่อยู่ข้างในก็พลันหายไป ก่อนที่จะปรากฏบ้านที่ดูงดงามและเรียบง่ายเข้ามาแทนที่
“แน่ใจนะว่าเป็นบ้านพักของแพทย์โอสถ เห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นบ้านพักตากอากาศของพวกคนรวยเสียอีก” อิงหลิวถามย้ำขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะผลักประตูไม้ที่แกะสลักลวดลายแปลกตา
“เป็นสัตว์ในตำนานที่เคยอยู่ข้างกายแพทย์โอสถคนแรกในอีกดินแดนหนึ่ง ไม่แปลกที่โฮสต์จะไม่รู้จัก”
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปก็เจอศาลาหินอ่อนที่มีโต๊ะและเก้าอี้ที่สร้างจากหินอ่อนสีเดียวกันทางซ้ายมือ ทางเดินที่ตรงไปยังศาลานั้นก็มีสมุนไพรที่มีรูปลักษณ์สวยงามประดับอยู่สองข้างทาง ทางขวามือของนางคือเรือนรับรอง เดินตรงไปอีกเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นเรือนหลอมโอสถ ซึ่งมีป้ายเขียนชัดเจนว่าเป็นเรือนสำหรับหลอมโอสถ ทางซ้ายมือที่อยู่ห่างออกไปและมีสวนสมุนไพรขนาดใหญ่กั้นกลางอยู่นั้นก็เป็นเรือนหลักของผู้เป็นแพทย์โอสถ และมีโรงครัวและเรือนของบ่าวรับใช้อยู่บริเวณด้านหลังโดยแยกจากส่วนของแพทย์โอสถชัดเจน
“แบ่งส่วนกันชัดเจนก็ดี แต่ข้าคิดว่าคงไม่ต้องมีบ่าวรับใช้อะไรให้ยุ่งยากเหรอ ข้ายิ่งไม่ชอบความวุ่นวายด้วย” อิงหลิวคิดพลางเดินเข้าไปพักในศาลา
“ให้ผ่านคืนนี้ไปก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อไป” นางฟุบใบหน้าหลับบนโต๊ะพลางคิดวางแผนถึงสิ่งที่ต้องทำในอนาคต
“โฮสต์ได้เวลาแล้ว” ระบบแจ้งเตือนถึงเวลาที่ระบบแม่จะมอบรากวิญญาณให้ อิงหลิวพยักหน้าก่อนจะนั่งรอด้วยความตื่นเต้น
“เรียน คุณอิงหลิว ทางเราได้รับคำร้องขอจากระบบของคุณ ทางเราขอแสดงความเสียใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณด้วย เรารู้ว่าคุณคงทราบดีว่ารากวิญญาณสวรรค์ธาตุน้ำแข็งของคุณถูกขโมยไปเมื่อคุณอายุเพียงสองปีและมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เวลาสิบสามปีที่ผ่านมารากวิญญาณสวรรค์ของคุณไม่ถูกนำไปใช้ ทางเราจึงขอมอบของขวัญทดแทนจำนวน 2 อย่างให้กับคุณ หวังว่าคุณจะมีความสุขในชีวิตใหม่ของคุณ” เสียงของระบบแม่ที่ดังขึ้นภายในหัว ทำให้อิงหลิวอดไม่ได้ที่จะตกใจ แต่เมื่อฟังคำอธิบายของระบบแม่จบ นางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจได้ ผ่านมาเกือบจะสิบสามปีแล้ว รากวิญญาณสวรรค์ที่มารดาและบิดาของนางขโมยไปเมื่อสิบสามปีก่อน คงมอบให้คุณหนูอะไรนั่นไปแล้ว
“โฮสต์อย่าได้เสียใจไป ลองดูของขวัญทดแทนที่ระบบแม่ให้ดูก่อน รับรองโฮสต์จะต้องนึกไม่ถึงแน่นอน”
“มันคืออะไรหรือ?” อิงหลิวเงยหน้าดูหน้าจอใสที่ลอยอยู่ตรงหน้า บัตรผ่านเข้าสู่โลกวิญญาณ มันคืออะไร
“โฮสต์คงสงสัย เดี๋ยวระบบจะอธิบายให้ฟัง ในมิตินี้ที่โฮสต์อาศัยอยู่ประกอบไปด้วยหลายดินแดน อย่างดินแดนโฮสต์อยู่ในตอนนี้ เรียกว่า โลกเบื้องล่าง ส่วน โลกวิญญาณ คืออีกดินแดนหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของรากวิญญาณ”
“ที่อยู่อาศัยของรากวิญญาณ?” อิงหลิวตกใจไม่น้อย รากวิญญาณมันคือตัวตนแบบไหนกัน
“รากวิญญาณถือกำเนิดขึ้นจากพลังของสรรพสิ่งที่อยู่โดยทั่ว พลังธรรมชาติ ลมหายใจของทุกสรรพชีวิต ก่อให้กำเนิดรากวิญญาณขึ้นมา เมื่อผู้บ่มเพาะถือกำเนิดขึ้นรากวิญญาณหนึ่งรากก็จะไปอาศัยอยู่ในจุดตันเถียนของผู้นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรากวิญญาณนั้นด้วย และหากมีผู้บ่มเพาะตายรากวิญญาณอาจจะกลับมาอยู่ในโลกวิญญาณเหมือนเดิมรอผู้เป็นนายคนใหม่”
“รากวิญญาณมีชีวิตด้วยหรือ?”
“ตามข้อมูลที่มีอยู่ รากวิญญาณไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง หากแต่เป็นตัวตนที่รวบรวมมาจากสรรพสิ่งที่อยู่โดยทั่ว” ยิ่งฟังคำตอบจากระบบ นางก็ยิ่งสับสน
“เป็นไปได้ไหมที่รากวิญญาณอาจจะสลายไป”
“เป็นไปได้โฮสต์ หากมีผู้บ่มเพาะถูกสังหารด้วยวิชาที่เกี่ยวกับวิญญาณโดยตรง รากวิญญาณนั้นก็จะสลายหายไปพร้อมกับผู้เป็นนาย”
“โลกวิญญาณจะเป็นสถานที่แบบไหนนะ” นางอดไม่ได้ที่จะลองจินตนาการถึงโลกวิญญาณจากคำบอกเล่าของระบบ
“เป็นสถานที่ที่น่ากลัวและสวยงาม เคยมีผู้บ่มเพาะหนึ่งคนที่ฝึกฝนถึงระดับแดนวิญญาณตัดสินใจลองเสี่ยงไปโลกวิญญาณเพื่อต้องการจับรากวิญญาณกลับมาให้คนรัก เล่ากันว่าคนผู้นั้นรวบรวมคนไปไม่ต่ำกว่าหมื่นคน แต่เขารอดกลับมาได้แค่คนเดียว ทั้งรากฐานในการฝึกตนก็บอบช้ำไปจนหมด ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาตัดสินใจทำลายแผนที่ทางไปโลกวิญญาณเพราะไม่ต้องการให้ใครมาสูญเสียเหมือนเขาอีก”
“เดี๋ยวนะ จับรากวิญญาณเหรอ สามารถเปลี่ยนรากวิญญาณได้?” อิงหลิวจับประโยคบางประโยคที่ระบบพูดออกมาได้
“สามารถทำได้ ระบบเคยบอกโฮสต์ไปแล้ว หากยอมทำลายรากวิญญาณอันเก่า ก็จะสามารถเปลี่ยนรากวิญญาณใหม่ได้”
“เข้าใจแล้ว แต่ว่าตอนนี้ข้ากังวลการไปโลกวิญญาณในครั้งนี้มากกว่า หวังว่าบัตรผ่านที่ระบบแม่มอบให้จะสามารถปกป้องชีวิตของข้าได้นะ” นางอ่านคำอธิบายที่ปรากฏบนบัตรผ่าน (ผู้ถือบัตรผ่าน จะถือว่าเป็นแขกของโลกวิญญาณ จำนวนการใช้งานหนึ่งรอบ ไป-กลับ)
“ของขวัญที่ระบบแม่มอบให้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่ โฮสต์พร้อมจะออกเดินทางแล้วหรือไม่?” ระบบนึกงงไม่น้อยที่ระบบแม่ใจกว้างขนาดให้โฮสต์ของตนเข้าไปในโลกวิญญาณเพื่อหารากวิญญาณที่เหมาะสมกับตัวของโฮสต์เอง
“พร้อมแล้ว หวังว่าจะมีรากวิญญาณที่ยอมเลือกข้านะ” อิงหลิวพูดพร้อมหลับตาลง ระบบที่เห็นว่าโฮสต์ของตนพร้อมในการเดินทางแล้ว ก็เปิดการใช้งานบัตรผ่านทันที
“ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห
สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------
อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด
หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่
ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต
“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส







