LOGINหลังจากใช้เวลาเดินเท้าไม่กี่วันอิงหลิวก็เดินมาถึงชานเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกับป่าทึบของแคว้นหนานไห่ นางมองดูความสงบเรียบง่ายที่อยู่ตรงหน้า
“มีคนมาใหม่อีกแล้ว” เสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่งดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงที่สอง ที่สาม
“ใช่ ๆ ช่วงนี้มีคนมาเยือนหมู่บ้านเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เลย” เสียงเด็กชายตอบกลับกลุ่มเพื่อนของพวกเขา ก่อนจะรีบจูงมือเด็กน้อยอีกคนหนึ่งให้เดินมาหลบหลังของตน
“นางจะไม่ลงมือกับพวกเราใช่หรือไม่ พี่ใหญ่” เสียงหวาดกลัวเล็ก ๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของกลุ่มเด็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้นกัน” อิงหลิวสังเกตสายตาหวาดระแวงที่ฉายชัดในแววตาของกลุ่มเด็ก ๆ ที่เกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลจากนาง แต่ที่นางแปลกใจมากกว่าคือสายตาของเด็กบางคนแฝงความเกลียดชัง มันไม่สมควรเป็นแววตาของเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ
“ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่” นางลองมองสถานที่ตรงหน้าอย่างละเอียด มันดูสงบเรียบง่าย แต่มันจะสงบเกินไปหรือไม่ แทบไม่มีชาวบ้านเดินออกจากตัวบ้านเลย
“ภารกิจใหม่ถูกส่งมอบ โฮสต์โปรดตรวจสอบ
หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ ถูกโจรป่า (ผู้บ่มเพาะ 3 คน คนธรรมดา 10 คน) บุกยึดครอง พวกมันจับผู้ใหญ่บ้านและผู้หญิงเป็นตัวประกัน โฮสต์โปรดช่วยเหลือพวกเขา กำจัดโจรชั่ว คืนความสงบให้หมู่บ้าน
รางวัล : คะแนนสะสม +500 คะแนน
บทลงโทษ : หมู่บ้านถูกทำลาย ,หักคะแนนสะสมลงครั้งหนึ่ง”
“กลุ่มโจรป่ามีผู้บ่มเพาะสามคน กับพรรคพวกอีกสิบคน เยี่ยมจริง เผื่อระบบลืมนะ ข้ายังเป็นแค่คนธรรมดาอยู่” อิงหลิวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จำนวนคนมากกว่าสิบคนยังไม่รวมผู้บ่มเพาะอีกสามคนที่ยังไม่รู้ว่าบ่มเพาะถึงขั้นไหนแล้ว
“เดี๋ยวนะ หากจำไม่ผิด ศิษย์จากสำนักวิหคอมตะก็น่าจะเดินทางผ่านเมืองนี้พอดี” หลายวันก่อนนางเพิ่งช่วยพวกเขา ครั้งนี้ก็วานให้พวกเขาตอบแทนบุญคุณครั้งนั้นคืนก็แล้วกัน
อิงหลิวหยิบเอาอุปกรณ์พักค้างแรมออกจากจี้หยกเพื่อเตรียมสถานที่ในการนอนพักคืนนี้ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นก็ลองเรียกกลุ่มเด็กที่ยังยืนเกาะกลุ่มอยู่ไม่ไกลนักมาถามถึงสถานการณ์ภายในหมู่บ้าน เด็กที่มีอายุมากที่สุดก็ไม่เกินสิบปี หลังอิงหลิวลองตั้งคำถามไปเรื่อย ๆ เด็กน้อยตรงหน้าก็เปิดปากตอบออกมาจนหมด
“นั่นหมายความว่า พวกโจรพวกนั้นมีคนที่อยู่เบื้องหลังที่คอยช่วยกันคนไม่ให้เข้ามาตรวจสอบหมู่บ้านนี้ พวกเจ้าพอรู้หรือไม่ว่าคนอยู่เบื้องหลังเป็นผู้บ่มเพาะหรือคนธรรมดา?” นางถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นความไม่แน่ใจฉายชัดออกมา
“ข้าว่าเป็นผู้บ่มเพาะนะ ข้าเคยเห็นเขาสร้างลูกไฟขนาดใหญ่ออกมา” เด็กน้อยคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยแววตาหวาดกลัว
“แต่ข้าไม่เคยเห็นเขาใช้พลังออกมาเลย บางครั้งเขายังเดินลุยน้ำขังเหมือนคนธรรมดาด้วยซ้ำ” เสียงเด็กอีกคนหนึ่งเอ่ยแย้งออกมา
“ไม่เป็นไร ๆ ข้าแค่ลองถามเท่านั้นอย่าได้ทะเลาะกัน ตอนนี้ก็เริ่มจะเย็นแล้ว พวกเจ้าหิวกันหรือยัง?” อิงหลิวที่พูดคุยกับกลุ่มเด็กน้อยตรงหน้าเป็นเวลานาน จนรู้ตัวอีกครั้งก็เริ่มหิวเล็กน้อย
อิงหลิวแสร้งหยิบเอากล่องอาหารจากภายในที่พัก แต่ในความเป็นจริงนางหยิบออกจากช่องเก็บของ ของระบบ ในชุดอาหารที่หยิบออกมาคือซาลาเปาไส้หมูสับและน้ำดื่ม โดยหนึ่งกล่องมีซาลาเปาลูกใหญ่สามลูกและน้ำดื่มสะอาด
หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกลับบ้านของตน อิงหลิวยังคงนั่งอยู่หน้าที่พักคำนวณเวลาที่ศิษย์จากสำนักวิหคอมตะจะเดินทางมาถึง หลังนั่งพักได้เพียงไม่นานนัก เสียงดังพูดคุยก็ดังขึ้นมาเรื่อย ๆ จากชายป่า
“นั่นผู้อาวุโสหญิงคนนั้นไม่ใช่หรือ? ศิษย์พี่เว่ย”
“ใช่ ๆ พวกเราเข้าไปทักทายเถอะ จะได้ให้ศิษย์น้องที่เหลือขอบคุณท่านด้วยสำหรับโอสถระดับสาม” เว่ยหลานรีบพูดขึ้นมา หลังเห็นความสงสัยที่ปรากฏในแววตาของศิษย์บางคน
“ศิษย์พี่หญิง เป็นโอสถระดับสามแน่เหรอ?”
“โอสถระดับสาม หายากยิ่งกว่ายาก กระทั่งเจ้าสำนักของเรายังไม่อาจหักใจใช้มันได้เลย แต่ผู้อาวุโสหญิงคนนั้นกล้าเอาโอสถจำนวนมากออกมาให้คนแปลกหน้าอย่างพวกเรา มันยากที่จะเชื่อนะ” สิ้นเสียงของศิษย์น้องตรงหน้า ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หญิงก็เผยแววตาไม่แน่ใจออกมา
“ช่างมันเถอะ เจ้าอย่าได้ใส่ใจเรื่องที่ผ่านมา ถึงอย่างไรผู้อาวุโสหญิงผู้นี้ก็ช่วยพวกเราไว้จริง พวกเราไม่ควรลืมบุญคุณตรงนี้ รีบเข้าไปขอบคุณท่านเถอะ”
“ขอรับ ศิษย์พี่หญิง”
เว่ยหนาน เดินนำศิษย์น้องของตนเข้าไปหา ผู้อาวุโสหญิงที่เพิ่งเคยพบเจอเพียงไม่กี่ครั้ง “ผู้อาวุโส บังเอิญเสียจริง ข้าพาศิษย์น้องมาขอบคุณท่านอีกครั้งขอรับ” เว่ยหลานตรงเข้ามา ก่อนจะส่งสายตาให้ศิษย์น้องที่เหลือขอบคุณคนในเสื้อคลุม
“ไม่เป็นไร แค่เพียงบังเอิญผ่านทางไปเจอพวกเจ้าเท่านั้น” อิงหลิวตอบกลับ ก่อนจะโบกมือให้กลุ่มคนตรงหน้านั่งลง
“ขอบคุณผู้อาวุโส พวกเจ้านั่งลงเถอะ” สิ้นเสียงของผู้เป็นศิษย์พี่ ศิษย์น้องในสำนักก็รีบนั่งลงทันที แม้ว่าในใจไม่อยากจะนั่งกับคนแปลกหน้าก็ตาม
“เอ่อ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะเดินทางไปไหนหรือขอรับ?” ท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัด เสียงของศิษย์ชายคนหนึ่งในสำนัก ก็เริ่มต้นบทสนทนาเพื่อคลายความอึดอัดที่เริ่มปกคลุม
“ข้าก็เพียงแค่เดินทางไปเรื่อย ๆ ยังไม่ได้มีเป้าหมายอะไรหรอก” อิงหลิวนึกดีใจที่มีผู้เริ่มต้นการพูดคุย ดีจริงเดี๋ยวอีกไม่นานนางจะหาทางพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตรงหน้า
“อ๋อ อย่างนั้นหรือขอรับ” สิ้นเสียงนั้น ความเงียบก็เริ่มปกคลุมขึ้นอีกครั้ง อิงหลิวที่เห็นว่าทุกคนเริ่มกลับมาเงียบอีก นางจึงตัดสินใจเริ่มต้นพูดคุยขึ้นเสียเอง
“จริงสิ ครั้งก่อนข้าได้ยินว่ามีผู้ที่ชื่นชอบเสื้อคลุมของข้า” หลังนางเอ่ยจบ ศิษย์หญิงบางคนก็เริ่มเผยใบหน้าซีดเผือด
“ขออภัยที่ผู้น้อยทำให้ผู้อาวุโสไม่พอใจ” ศิษย์หญิงสองสามคนรีบคุกเข่าลงตรงหน้านางพร้อมเปิดปากขออภัยนางทันที โดยอิงหลิวไม่ทันตั้งตัว
“ข้าไม่ได้โกรธเคืองอะไรพวกเจ้า รีบลุกขึ้นเถอะ” อิงหลิวปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ หลังนางเกือบหลุดท่าทีตกใจออกไปแล้ว
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตาเจ้าค่ะ”
“ข้าก็เพียงแค่ถามถึงเท่านั้น ตอนนี้ข้ามีม้วนผ้าที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง หากพวกเจ้าต้องการข้าสามารถยกให้ได้” นางพูดพร้อมหยิบเอาม้วนผ้าที่นางได้เคยได้รับจากมารดานางออกมา ม้วนผ้าที่มีความสามารถสร้างความอบอุ่นให้ผู้ที่สวมใส่ และสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ทั้งยังมีลวดลายที่งดงามยากที่จะละสายตา
“ช่างงดงามเสียจริง ผู้อาวุโสจะมอบให้พวกข้าจริงหรือเจ้าคะ?” สายตาของกลุ่มศิษย์หญิงตรงหน้าจับจ้องมายังม้วนผ้าที่อยู่บนมือของนางโดยไม่ละไปไหน
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น แต่มีข้อแม้แค่อย่างเดียว ถ้าพวกเจ้าสามารถทำได้สำเร็จ ข้าจะมอบม้วนผ้าทั้งหมดให้พวกเจ้าไปเลย แต่ถ้าไม่ ข้าก็จะถือว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้กับพวกเจ้า” อิงหลิวพูดเสร็จ ม้วนผ้าทั้งสี่ม้วนที่เคยปรากฏขึ้นตรงหน้าก็หายวับไปทันที
“เรื่องอะไรหรือ? ผู้อาวุโส เชิญท่านกล่าวได้เลย หากไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมในใจของพวกเรา พวกเราย่อมรับปาก” เว่ยหลานกล่าวแทนศิษย์หญิงในสำนักที่สติกำลังหลุดลอยไป พวกนางเห็นสิ่งสวยงามไม่ค่อยได้หรอก ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นเช่นนี้ ไม่รู้อาจารย์ของพวกนางสั่งสอนอะไรพวกนางไปถึงได้มีท่าทีเช่นนี้ทุกคน
“หมู่บ้านตรงหน้า มีกลุ่มโจรบุกเข้าไปสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ทั้งยังจับตัวผู้ใหญ่บ้านและผู้หญิงเป็นตัวประกัน พวกเจ้าช่วยไปกำจัดโจรชั่ว คืนความสงบให้หมู่บ้าน แค่เพียงเท่านี้” สิ้นเสียงของนาง ศิษย์ของสำนักวิหคอมตะตรงหน้าก็เผยแววตาประหลาดใจ
“ผู้อาวุโส ท่านแน่ใจนะว่าเรื่องที่ท่านต้องการมีแค่นี้” ศิษย์ชายในสำนักที่เคยสงสัยในตัวของผู้อาวุโสหญิงที่ศิษย์พี่ของเขาพูดถึง อดไม่ได้ที่จะแปลกใจในคำขอที่เรียบง่าย หรือว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดไปเอง
“มีแค่นี้แหละที่ข้าต้องการ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้ แต่ข้าจะมอบโอสถระดับสองให้พวกเจ้าเพื่อป้องกันตัว พวกเจ้าสามารถทำตามที่ข้าบอกได้หรือไม่?” นางถามกลับก่อนจะหยิบเอาขวดโอสถระดับสองออกมาตามจำนวนศิษย์ที่อยู่ตรงหน้า
“นี่มัน โอสถระดับสองจริง ๆ ผู้อาวุโสมันมีค่ามากเกินไป พวกข้าไม่อาจรับได้” เว่ยหลานและศิษย์น้องแต่ละคนเผยสีหน้าไม่ยินยอมออกมา แต่พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับโอสถที่มีค่าเกินไปได้ การกำจัดโจรชั่วพวกนั้นคือการแลกเปลี่ยนกับม้วนผ้าที่เป็นสมบัติวิเศษเท่านั้น ซึ่งโอสถพวกนี้ไม่เกี่ยวกัน และพวกเขาไม่อาจรับมาเปล่าได้
“พวกเจ้ารับไปเถอะ โจรพวกนั้นมีผู้บ่มเพาะถึงสามคน และคนธรรมดาอีกประมาณสิบคน พวกเขาอาจจะสู้พวกเจ้าไม่ได้ แต่พวกมันอาจใช้แผนชั่วกับพวกเจ้าได้ เอาโอสถพวกนี้ไปเถอะ แค่เพียงโอสถระดับสอง ข้าไม่ต้องใช้มันหรอก” อิงหลิวตอบกลับ พลางนึกในใจ นางเป็นเพียงคนธรรมดา หากทานโอสถระดับสองเข้าไป ร่างกายนางได้แหลกเหลวเป็นแน่
“ขอบคุณผู้อาวุโสในความเมตตา พวกข้าจะไม่ลืมบุญคุณในครั้งนี้” ศิษย์ในสำนักวิหคอมตะแต่ละคนที่ได้รับโอสถระดับสองในมือ ต่างซาบซึ้งในความใจกว้างของผู้อาวุโสตรงหน้า แค่เพียงกำจัดโจรชั่วไม่กี่คนผู้อาวุโสแค่สะบัดมือก็สามารถกำจัดพวกมันไปได้แล้ว แต่ผู้อาวุโสมอบโอกาสในการพัฒนาฝีมือให้กับพวกเขา ทั้งยังมอบสมบัติวิเศษและโอสถมีค่าให้พวกเขาอีก ผู้อาวุโสช่างเป็นคนที่จิตใจดีเสียจริง
หลังจากแยกย้ายกันในคืนนั้น ผ่านไปเพียงสองวันอิงหลิวก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบว่าภารกิจเสร็จสิ้น หลังนางแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นค่าประสบการณ์เพื่อเลื่อนระดับของระบบนางก็ได้รับของขวัญในการเลื่อนระดับทันที
“เลื่อนระดับสำเร็จ ยินดีด้วยโฮสต์ได้รับทักษะติดตัว ตรวจสอบ”
“ทักษะตรวจสอบ หรือว่าจะเป็นทักษะที่ไว้ตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ และตรวจสอบผู้คน ใช่หรือไม่?” อิงหลิวถามขึ้นอย่างตื่นเต้น ทักษะนี้เป็นทักษะที่มีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นผู้บ่มเพาะ
“โฮสต์มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในหน้าสถานะของโฮสต์ โปรดตรวจสอบ”
“ได้ สถานะ” นางรีบเรียกหน้าสถานะของตนออกมา
“โฮสต์: โจวอิงหลิว
ระบบ : 2
ระดับ : คนธรรมดา (รอระบบแม่ส่งมอบรากวิญญาณ จะดำเนินการภายใน 12 ชั่วยาม)
ค่าประสบการณ์ : 0/500
คะแนนสะสม : 300
แนวทางบ่มเพาะ : แพทย์โอสถ (กำลังดำเนินการ)
สถานะ : ปกติ”
“ข้ากำลังจะได้รากวิญญาณกลับมาแล้วเหรอ ดีจริง อีกแค่คืนเดียวเท่านั้น”
“ระบบว่าไม่น่าใช่นะ” อิงหลิวได้ยินในสิ่งที่ระบบพูด แต่นางก็ไม่อยากเถียงกลับ แม้จะมีโอกาสได้รากวิญญาณของตนกลับมาแค่หนึ่งในร้อยส่วน นางก็ขอลองสู้สักครั้ง
“ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห
สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------
อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด
หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่
ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต
“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส







