"หนูมายกำลังไปค่ะพ่อ"
"ค่ะ หนูมายจะรีบสุดสุดเลยค่ะ" "บ๊ายบายค่ะ" วันนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ที่ร้านอาหารไทยชื่อดังริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นคุณพ่อบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยและมีเวลาให้ฉันสองชั่วโมงก่อนที่ท่านสองคนจะบินไปดูธุรกิจของครอบครัวเราที่ยุโรป ถ้าไม่ติดว่ามีเรียนนะ ฉันจะขอติดเครื่องบินไปเที่ยวด้วยซะหน่อย แต่ตอนนี้ฉันต้องเหยียบคันเร่งขั้นสุดแล้ว เกือบสายแล้ว... พอมาถึงที่ร้านฉันก็รีบวิ่งตรงไปหาพวกท่านที่โต๊ะทันที แต่สายตาก็ต้องสะดุดกับผู้ชายที่นั่งหันหลัง อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคุณพ่อของฉัน โดยข้างๆ เขามีผู้ใหญ่อีกสองท่านนั่งคุยกับคุณแม่อยู่ "หนูมายมาแล้วค่ะ เอ่อ..." "สวัสดีค่ะ คุณลุง คุณป้า" "หนูมายมานั่งข้างแม่มา" "ค่ะ" ฉันที่ตอนนี้กำลังงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันเคยเจอคุณลุงคุณป้าตามงานสังคมอยู่สองสามครั้งเห็นจะได้ ท่านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และเป็นหุ้นส่วนธุรกิจสายการบินสาขาที่ญี่ปุ่นของครอบครัวฉัน แต่ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าผู้ชายที่นั่งข้างๆ คุณลุงคุณป้า ไม่ใช่ "นาย" เพื่อนที่มหาวิทยาลัยฯ ของฉัน "หนูมายลูก พ่ออยากให้ลูกทำความรู้จักกับพี่เขาเอาไว้" "เห็นว่าเรียนอยู่ที่เดียวกันใช่มั้ยลูก" "ค่ะ รุ่นเดียวกันค่ะ" "งั้นดีเลยค่ะ ป้าว่า ต่อไป ให้เจ้ากายช่วยดูแลหนูมายด้วยดีมั้ยลูก" "ธุรกิจของครอบครัวเราจะได้ราบรื่นและโตเร็วขึ้น" "นั่นสิครับ เรือล่มในหนองทองจะไปไหน" "ไม่ทราบว่าทางคุณพี่สะดวกหาฤกษ์เลยมั้ยคะ" "ห๊ะ/ห๊ะ" "โอ๊ย แม่ผมเจ็บนะครับ" ผมที่โดนพ่อกับแม่บังคับให้มาทานข้าวด้วยวันนี้ ก็เริ่มตะหงิกใจแปลกแปลก ยิ่งฟังพวกท่านพูดคุยกันสมองอันชาญฉลาดของผมก็เดาออกทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ก็อดตกใจไม่ได้จึงอุทานขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับยัยนั่น จนแม่เอื้อมมือมาหยิกเข้าที่แขนของผม จากนั้นพวกท่านทั้งสี่คนก็ตกลงนัดหมาย ไม่สิ เรียกว่า พูดคุยสู่ขอกันน่าจะถูกซะมากกว่า โดยตกลงถือฤกษ์สะดวกวันที่เก้าเดือนเก้า อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เป็นงานภายในของสองครอบครัว ส่วนสินสอดก็เป็นหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทในเครือทางบ้านผมทั้งหมด รวมถึงทองห้าสิบบาทเงินสดอีกร้อยล้าน ยัยลูกคุณหนูนี่ค่าตัวแพงชะมัด ต่อให้เธอจะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับผม แต่ผมก็อดหมันไส้เธอไม่ได้ ระหว่างที่พวกท่านคุยกันไปรับประทานอาหารกันไป ผมก็แอบหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาพิมพ์แชทหาเธอ เพื่ออยากจะหาทางออกเรื่องนี้ร่วมกันกับเธอ ซึ่งผมไม่สามารถปฏิเสธอะไรพวกท่านได้ เพราะโดนพ่อกับแม่ขู่ว่าจะยึดบัตรเครดิตแบลคการ์ดกับรถสปอร์ตหรูของผม ผมอยู่ไม่ได้แน่ K.NAI : เรามีเรื่องต้องคุยกัน NooMINE : ฉันก็มีเรื่องจะคุยกับนาย หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของพวกเราสองคนเตรียมตัวจะแยกย้ายเพราะต่างก็มีธุระต่อ ทำให้ผมถือโอกาสอาสาจะเป็นคนไปส่งเธอเอง ซึ่งพวกท่านก็พากันยิ้มชอบอกชอบใจยกใหญ่ ผมกับยัยนั่นเลือกจะไปคุยกันเงียบๆ ที่คาเฟ่ใกล้ๆ "ฉันไม่อยากจะหมั้นกับนาย" "ฉันอยากหมั้นกับเธอตายละยัยลูกหมู" "นายว่าใครอ้วน ห๊ะ" "เธอไงจ๊ะ ยัย หมู อ้วน" "กรี๊ดด ไอ้บ้านี่" "หยุดกรี๊ด แล้วมาตกลงกันดีดี" ผมที่ตอนนี้นั่งเอาลิ้นดุนแก้มข้างหนึ่งพยายามทำใจให้เย็นที่สุด เพื่อจะหาทางออกอย่างสันติกับเธอ แต่ดูเหมือนยัยนี่จะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจสุดๆ ซึ่งต่างจากเวลาที่เธออยู่กับเพื่อนที่ดูน่ารักสดใสอย่างสิ้นเชิง เสียงกรี๊ดของเธอเมื่อครู่ทำเส้นเลือดตรงขมับผมเต้นตุบตุบ ยังไม่ทันไร ผมก็เริ่มปวดหัวเพราะเธอซะแล้ว... "เราจะหมั้นกันแค่หนึ่งปี" "นานไป แค่หนึ่งวันฉันก็จะไม่ทน" "สามเดือน ห้ามต่อ" "คนถอนหมั้นต้องเป็นฉัน ไม่ใช่นาย" "ระหว่างนี้นายห้ามมีข่าวกับสาวๆ ของนายเด็ดขาดเลย" "เธอก็ห้ามไปหว่านเสน่ห์หนุ่มๆ ของเธอเหมือนกัน" "ความลับ แม้แต่เพื่อนก็ห้ามรู้" "เพราะถ้ามีคนอื่นรู้ เท่ากับนายอยากเป็นคู่หมั้นจริงๆ ของฉัน" "เพ้อเจ้อเก่ง" "เธอห้ามแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของฉันเด็ดขาด" "นี่ ฉันต้องเป็นคนพูดมากกว่านะ หล่อตายแหละ" "จบ แยก..." "ชิ" แล้วเธอก็สะบัดหน้าหยิ่งๆ ของเธอจนแทบจะหลุดจากลำคอพร้อมกับเดินกระแทกเท้าออกไปทันที เอาแต่ใจชะมัด ใครได้เป็นแฟนคงต้องเอาสำลีอุดหูหรือดมยาดมทั้งวันแน่ ผมล่ะปวดหัวแทนแฟนในอนาคตของเธอจริง ๆ แต่ตอนนี้ผมคงต้องสงสารตัวเองก่อนสินะ ไหนจะต้องเคลียร์บรรดาสาวๆ ในสต๊อคของผมอีก ถ้าเกิดรถไฟชนกันขึ้นมา มีหวังยัยนั่นได้มาบีบคอผมแน่ แค่คิดเส้นขนบนแขนล่ำๆ ของผมก็ลุกซู่ขึ้นมาทันที ว่าแล้วชวนไอ้เตอร์กับไอ้กายไปกินเหล้าย้อมใจหน่อยดีกว่า #มาแล้วจ้าาาา เตรียมส่งยาดมกระปุกเขียวไปให้นายกันได้เลย #อ่านเพลิน ๆ เน้นฟิลกู้ด ขำๆ กันเหมือนเดิมเนอะ^^ฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้สีขาวสวยมากและกว้างมากด้วยมีหิ่งห้อยบินเต็มไปหมดจนรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ไม่อยากไปไหน จนได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยเรียกชื่อฉันอยู่ไกลๆ พร้อมกับเสียงร้องโยเยจากเด็กน้อยเหมือนร้องเรียกหา ฉันเลยค่อยๆ เดินไปตามเสียงทีละนิดทีละนิดฉันนอนมองใบหน้าที่ดูอิดโรยคิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นมีมือหนาของเขาจับมือบางของฉันไปแนบแก้มสากไว้ราวกับกลัวหายจนผ่านไปนานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา ฉันเลยใช้นิ้วเรียวเล็กที่อยู่ตรงแก้มนั้นลูบสัมผัสปลุกเขาเบาเบาแต่กลับไม่ได้ผล เลยต้องเปลี่ยนเป็นหยิกลงไปแทนทำเขาสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นมามองหน้าฉันด้วยแววตาเป็นประกายฟอด ฟอด ฟอด"ตื่นแล้วหรอ อ้วน""นายกับลูกลูกรอตั้งนาน""เจ็บมั้ย""เจ็บ""ขอโทษคับ จุ๊บ" "ลูกละ" "เดี๋ยวพยาบาลพามา""รอแป๊บนะนายไปตามหมอก่อน"เขาโผเข้ากอดและหอมฉันอยู่นานราวกับว่าคิดถึงฉันมาก ฉันก็รู้สึกคิดถึงเขามากเหมือนกันเลยปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นทั้งๆ ที่ก็แอบเจ็บแผลอยู่หน่อยๆ จนกระทั่งคุณหมอมาตรวจอาการฉันอย่างละเอียดและบอกให้ฉันกับลูกลูกนอนพักที่นี่อีกสี่ห้าวันให้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยก
"สวัสดีคับลูกหมู""ได้ยินเสียงปะป๊ามั้ย""หึ" "อยากออกมาเตะบอลกับป๊าใช่มั้ย""ปะป๊าอย่าพึ่งชวนลูกเตะบอลได้มั้ย""ลูกพากันเตะท้องมามี๊จนจุกไปหมดแล้วเนี่ย""จุ๊บ ขอโทษคับ"ตอนนี้เจ้าลูกชายของผมสองคนที่นอนอยู่ในพุงกลมกลมของเธออายุเกือบหกเดือนแล้ว ท่าทางจะแสบซนกันใช่ย่อย เพราะกว่าที่ผมจะสามารถเข้าใกล้เธอได้ก็ต้องรอเข้าเดือนที่สี่อาการเหม็นผมของเธอถึงจะเบาลงไป ผมถึงสามารถเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกันนอนบนเตียงเดียวกันกับเธอได้ แถมยังพากันดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาทำเอามามี๊ตัวกลมเจ็บและจุกอยู่บ่อยๆ จนบางทีผมก็ต้องแกล้งเอ็ดดุไปนิดหน่อยถึงพากันหยุดนอนนิ่งราวกับเป็นเด็กดีเชื่อฟังปะป๊าไม่กล้าดื้อไม่กล้าซน แต่บางทีด้วยความใจร้อนของผมก็อยากให้ลูกหมูออกมาวิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับผมซะวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย ชานมลูกสาวคนโตก็จะได้ไม่เหงามีเพื่อนเล่นเพิ่มด้วย"นาย ตั้งชื่อลูกกันมั้ย""อืมมม มายมีที่ชอบยัง""มายเลือกไม่ถูกชอบหลายชื่อมาก""หึ มีชื่ออะไรมั่ง""มี เลนส์ ฟิล์ม กล้อง แกรม โฟกัส""เพราะมายชอบถ่ายรูป มีนายเป็นตากล้องให้""งั้น...ชื่อนี้ดีมั้ย เลนส์กับฟิล์ม""นายมองมายผ่านเลนส์ ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพฟิล์ม"
และแล้ววันที่ฉันรอคอยก็มาถึง วันแต่งงานของฉันกับเขา ฉันเฝ้าคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดยืนเคียงข้างเขาได้อย่างมั่นใจที่สุดในวันนี้ เราใช้เวลาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานนานเกือบสองชั่วโมง ดีที่เจ้าบ่าวของฉันคอยยืนกอดคอฉันบ้าง นวดให้บ้าง โอบเอวประคองฉันไว้บ้างทำให้ฉันไม่เมื่อยเท่าไหร่ แถมยังมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างสองสาวมินนี่และลลิล ที่คอยมาซับเหงื่อช่วยดูแลหน้าผมและป้อนน้ำให้ฉันอยู่ตลอด ฉันมีหน้าที่แค่ยืนแจกรอยยิ้มหวานหวานเท่านั้นหลังจากพิธีการเสร็จ เราสองคนก็ต้องรีบขึ้นมาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้บนห้องที่เปิดไว้ให้ทันภายในยี่สิบนาที เพราะต้องลงไปสนุกกับเพื่อนๆ ต่อที่งาน อยากขอบคุณตัวฉันเองและเขาด้วยที่เลือกชุดที่ใส่ง่ายใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีฉันก็อยู่ในชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว มีเวลาได้นั่งพักหายใจอีกสักหน่อย แต่แล้วดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด"นาย รูดซิปให้มายหน่อยสิ""เดี๋ยวค่อยรูด""อ๊ะ อย่าแกล้งนะ""ไม่แกล้ง เอาจริง""กระโปรงสั้นสั้นมันดีแบบนี้นี่เอง""นายใส่เลยนะ เวลาน้อย""อ๊ะ อื้อ""ซี้ด" "เดี๋ยวได้ทาลิปใหม่หรอก"เพี๊ยะจากที่ผมตั้งใจจะอ
และเราสองคนก็ได้ฤกษ์วันแต่งงานหลังจากฝึกงานเสร็จหนึ่งเดือนทำให้เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลกลัวจะเตรียมงานไม่ทัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ปลอบใจและหาออแกไนซ์มืออาชีพมาช่วยให้เธอเบาใจขึ้นให้เธอมีหน้าที่บอกธีมงานในฝันของเธอกับทีมงานแค่นั้น โดยไม่ได้กำหนดธีมสีว่าจะต้องเป็นสีไหน เพื่อเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานจะได้ใส่ชุดและสีที่ตัวเองมั่นใจที่สุดจะได้มีความสุขและสนุกไปกับงานของเราทั้งคู่ แล้ววันนี้เราสองคนมีนัดลองชุดแต่งงานซึ่งก็เป็นร้านเดียวกันกับชุดวันหมั้นนั่นแหละเพราะเธอชอบการตัดเย็บและดีเทลของแบรนด์นี้เลยไม่เปลี่ยนใจไปมองร้านอื่น"นายว่ามายใส่แบบไหนดี""ไม่เอาเกาะอก""เอาสิ มายว่ามายใส่เกาะอกสวย""ไม่สวย""...""แต่มายอยากลอง""...""พี่ขา หนูมายขอลองสองชุดนี้ก่อนค่ะ"ผมได้แต่นั่งไขว่ห้างกอดอกตกอยู่ในพะวังความคิดเฝ้าถามตัวเองด้วยความสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เธอจะหันมาถามความเห็นของผมทำไมเพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เลือกลองชุดแบบที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แถมเป็นแบบเกาะอกไม่มีแขนทั้งสองชุดต่างกันแค่กระโปรงทรงสุ่มกับทรงเมอร์เมดก็เท่านั้น ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพนักงานในร้านก็เดินมาค่อยๆ เ
เราสองคนยืนกอดกันอยู่พักหนึ่ง ผมก็พาเธอเดินเข้าไปดูห้องน้ำที่มีอ่างกุชชี่ขนาดใหญ่ไว้สำหรับแช่น้ำกันสองคนและอาจจะพาลูกหมูตัวน้อยน้อยลงมาเล่นน้ำด้วย ถัดไปอีกหน่อยเป็นวอคอินโครเซทสำหรับเธอที่ชอบแต่งตัวสวยสวยซึ่งผมแบ่งที่แขวนเสื้อผ้าส่วนของเธอไว้ให้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเสื้อผ้าของผม โดยตรงกลางห้องมีตู้กระจกไว้แชร์กันสำหรับใส่เครื่องประดับอย่างสร้อยต่างหูและนาฬิกาข้อมือของเราสองคน ก่อนจะพาไปดูห้องนอนลูกลูกที่ผมทำเตรียมไว้สามห้องสำหรับสามคนเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัวเราสองคนในอนาคต และที่ขาดไม่ได้ก็คือห้องสุดท้ายที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอนใหญ่ของผมกับเธอเป็นห้องของลูกสาวคนโตของเราคือห้องของชานมนั่นเอง ซึ่งภายในห้องก็มีทั้งเบาะที่นอนนุ่มนุ่ม คอนโดหลายระดับหลายชั้นไว้ให้เจ้าตัวเล็กได้เลือกนอนตามใจชอบ รวมถึงห้องน้ำแมวอัตโนมัติด้วย ทำเธอกระโดดกอดผมอย่างดีใจและทำท่าทางตื่นเต้นไม่หยุดเดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ดูว่าขาดเหลืออะไรตรงไหนเธอจะได้ไปเดินเลือกซื้อมาเพิ่ม"มายอยากแก้ตรงไหนมั้ย""ยังมีเวลา จะได้เสร็จทันก่อนย้ายเข้ามา""มายไม่อยากแก้ เพราะนายตั้งใจเลือกและทำให้มาย""ม
"ไอ้เตอร์ ฝึกงานเสร็จมึงจะแต่งเลยป่าววะ""อืม กูอยากมีลูกเลย มึงอะ""กูก็อยากแต่งเลย แต่ไม่รู้มายจะอยากแต่งมั้ย""มีแพลนกับเค้าบ้างมั้ยมึงอะ ไอ้กาย""...""อย่าไปถามมัน ไอ้นี่มันเสือซุ่มเงียบ""..."วันนี้ผมกับเธอขับรถพาชานมลูกสาวของเรามาพบสื่อมวลชนที่คาเฟ่มินิมินนี่ ทันทีที่สองสาวเห็นเจ้าตัวกลมก็พากันเอ็นดูผลัดกันอุ้มผลัดกันเล่นอยู่ไม่ห่าง ไม่นับรวมกับลูกค้าในร้านที่ต่างมาขอถ่ายรูปลูกผมจนต้องต่อแถวคิวยาวไปถึงหน้าร้าน เรียกว่าเวลานี้ชานมกลายเป็นซุปตาร์หน้าใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ลูกสาวของผมน่ารักจริงๆ นี่นาตัวกลมกลมขนนุ่มๆ ตาโตโต แถมขี้อ้อนมากมากด้วยจะว่าไปก็เหมือนมามี๊ของเธอนั่นแหละ ไม่รู้ว่าถ้าเกิดว่ามีลูกหมูตัวเล็กเล็กที่เกิดจากผมเอง จะขี้อ้อนแบบนี้มั้ยถ้าใช่ผมก็คงหลงลูกมากไม่อยากห่างไปไหนแน่เราสองคนอยู่นั่งคุยนั่งเล่นกับเพื่อนๆ จนเย็นก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน และวันนี้เป็นอีกวันที่ผมมาค้างที่บ้านของเธอเป็นปกติไปแล้วเพราะตั้งแต่มีชานมเธอก็จะชวนผมมาที่นี่ทุกอาทิตย์จนคุณอาทั้งสองยกห้องนอนส่วนตัวให้ผมหนึ่งห้องเป็นที่เรียบร้อย และที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมก็มีห้องนอนส่วนตัวขอ