“พรีนพอจะอยู่ได้ไหมลูก?”
น้อยเอ่ยถามชนากานต์หลานสาวของตัวเองทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ภายในห้องพัก เพราะด้วยความที่ห้องของแม่บ้านโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย จะมีก็เพียงเตียงนอนที่ขนาดกลางห้องน้ำและพื้นที่ใช้ส้อยอีกเล็กน้อยเท่านั้น “อยู่ได้ค่ะ พรีนขอบคุณป้าน้อยอีกครั้งนะคะที่ให้พรีนมาอยู่ด้วย” “ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกลูก พรีนเป็นหลานป้า ไม่ให้ป้าช่วยพรีนแล้วจะให้ป้าไปช่วยแมวที่ไหนล่ะฮึ?” “แมวน้อยตัวนี้สัญญาเลยค่ะ ว่าจะตั้งใจเรียน แล้วก็จะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่แล้วก็ป้าน้อย พรีนรักป้าน้อยนะ” พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเข้าไปโอบกอดป้าน้อยเอาไว้ด้วยความรัก ความรู้สึกอุ่นใจและซาบซึ้งเอ่อล้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจ เพราะทุกคำถ้อยคำที่พูดออกไปล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน แต่ในห้วงความทรงจำป้าน้อยก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักและดูแลเธอมาตลอด แล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ความรักความห่วงใยที่ผู้เป็นป้ามีให้แก่เธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงไปเลย “ป้าก็รักพรีนนะลูก เอ้อ! ว่าแต่พรีนโทรบอกพ่อกับแม่หรือยังลูกว่าหนูมาถึงแล้ว เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วงเอานะ” “พรีนโทรบอกพ่อกับแม่เรียบร้อยแล้วค่ะ” “ดีแล้วลูก ถ้างั้นพรีนก็ดูเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก็แล้วกันนะ เดี๋ยวป้าไปดูแลคุณหญิงท่านก่อน” น้อยพูดจบก็หมุนตัว เตรียมก้าวออกจากห้องเพื่อกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ แต่ทว่าเมื่อมือแตะที่ลูกบิดประตูพร้อมจะเปิดออกไป เสียงของชนากานต์ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังเสียก่อน “ป้าน้อยคะ” “ฮึ?” ปล่อยมือจากลูกบิดประตู ก่อนจะหันกลับมามองหลานสาวด้วยความประหลาดใจ เรียกแล้วไมม่พูดยืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่อย่างนั้น “คือ.. พรีน” “ขาดเหลืออะไรก็บอกป้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” “ที่คุณหญิงกับคุณหนูต้องทะเลาะกัน เป็นเพราะพรีนรึเปล่าคะ?” “ทำไมพรีนถึงคิดแบบนั้นล่ะลูก” “ก็.. คุณหนูเธอดูไม่ชอบพรีน แล้วคุณหญิงก็ยังอนุญาตให้พรีนเข้ามาอยู่ที่นี่อีก พรีนเลยคิดว่าต้นเหตุน่าจะมาจากพรีนค่ะป้าน้อย” “ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นหรอกอย่าคิดมากไปเลยนะ” น้อยเอ่ยเสียงอ่อนโยน ฝ่ามืออุ่นแตะลงบนแผ่นหลังของหลานสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู เพราะเจ้าตัวคงกำลังรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหญิงรุจิรากับปภาวีต้องมีปัญหากัน “ถ้าไม่ใช่เพราะพรีน แล้วเป็นเพราะอะไรเหรอคะ ทำไมคุณหนูถึง..” “พรีนกำลังคิดว่าคุณหนูเธอดูเป็นคนใจร้ายอย่างงั้นใช่ไหม?” “ชะ ใช่ค่ะ” “ป้าว่าแล้วเชียว” “...” เลิกคิ้วขึ้น “เมื่อก่อนคุณหนูเธอไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ” “ไม่ได้เป็นแบบนั้น หมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ชะงักไปเล็กน้อย เธอขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะทวนคำของผู้เป็นป้าอีกครั้ง “เรื่องมันซับซ้อน เอาเป็นว่าพรีนไม่ต้องรู้เรื่องของคุณหนูเธอจะดีกว่านะลูก” “แต่พรีนอยากรู้นี่คะ ป้าน้อยเล่าให้พรีนฟังนะคะ นะคะป้าน้อย” “ถ้าป้าเล่าให้ฟังแล้ว พรีนห้ามนำเรื่องนี้ไปพูดให้คุณหนูเธอได้ยินเด็ดขาดเข้าใจไหม?” มองเด็กสาวตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และพูดถามออกไปด้วยน้ำเสียง สีหน้าที่จริงจัง “ค่ะป้า พรีนสัญญาค่ะ” พยักหน้ารับ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพื่อเป็นการยืนยันว่าเธอจะทำอย่างที่รับปากออกไปจริง ๆ “เมื่อก่อนคุณหนูเธอเป็นคนน่ารัก สดใส จิตใจดีไม่ต่างจากคุณหญิงเลยสักนิด แต่ที่เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ก็เพราะว่าเธอได้สูญเสียคนที่เธอรักที่สุดในชีวิตไป” น้อยเริ่มเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้นิสัยของปภาวีเปลี่ยนไป และย้อนนึกถึงเหตุการณ์สูญเสียในครั้งนั้น ซึ่งชนากานต์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดีและพยายามคิดตามคำบอกเล่าของผู้เป็นป้า “...” “ตอนที่เกิดเรื่องป้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ป้าลาคุณหญิงท่านกลับไปที่เชียงใหม่ ตอนนั้นเจ้าพรรณมันคลอดพรีนพอดี แล้วพ่อของพรีนก็ขึ้นมาทำงานที่กรุงเทพ ป้าก็เลยต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพรรณเพื่อรอพ่อของพรีนกลับขึ้นไป” “แล้วป้าน้อยรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเหรอคะ?” “คุณหญิงท่านเล่าให้ป้าฟัง เพราะวันนั้นคุณหญิงได้ขึ้นรถไปกับคุณท่านด้วย” “ถ้างั้นก็แสดงว่า..” เธอพอจะจับต้นชนปลายได้แล้วสิ่งที่ป้าของเธอพูดมานั้นหมายถึงอะไร ป้าเธอบอกว่าคุณหญิงอยู่บนรถคันเดียวกันกับคุณท่านงั้นก็แสดงว่ารอยแผลเป็นที่แขนซ้ายของคุณหญิงก็ต้องเกิดขึ้นมาจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น “ใช่ คุณหญิงท่านรอดชีวิตจากอุบัติเหตุในตอนนั้น พรีนยังอยากฟังต่อหรือเปล่าลูก?” น้อยเอ่ยถามหลานสาวที่นั่งฟังด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ส่วนทางด้านชนากานต์ก็พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเลเพราะเธออยากรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่าเป็นมายังไง ..แล้วอะไรที่ทำให้คุณหนูของบ้านนี้มีนิสัยที่เปลี่ยนไป “เช้าวันเกิดเหตุ คุณท่านกับคุณหญิงออกจากบ้านไปตามปกติ แต่ในระหว่างทางฝนก็ดันตกลงมาอย่างหนักทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นเปลี่ยนไปกะทันหัน แล้วที่เลวร้ายไปมากกว่านั้นก็คือรถของคุณท่านเกิดดับกลางคันเสียดื้อๆ นั่นเลยทำให้คุณท่านต้องจอดรถหลบอยู่ริมถนน แล้วถนนหนทางในสมัยนั้นเนี่ยนะป้าอยากจะบอกเลยว่าไม่ได้เป็นทางลาดยางเหมือนในยุคสมัยนี้ ไหล่ทางก็ไม่ได้กว้างอะไรมากมาย ซ้ำยังเป็นแค่ถนนสองเลนส์อีกต่างหาก คุณท่านจอดรอจนแล้วจนเล่าฝนก็ยังไม่หยุดตกคุณหญิงท่านบอกว่าคุณท่านกลัวว่าจะเลยเวลานัดกับลูกค้าคนสำคัญไว้เลยตัดสินใจลงจากรถเพื่อไปเช็คดูว่าเครื่องยนต์มีปัญหาตรงไหน ส่วนคุณหญิงท่านก็กำลังโทรศัพท์ขอความช่วยเหลืออยู่ในรถ แต่ตอนนั้นเองสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็ได้เกิดขึ้นกับคุณทั้งสอง จู่ๆ ก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูงพยายามเบี่ยงหลบรถคันข้างหน้า แต่เนื่องจากฝนตกถนนลื่นรถกระบะคันนั้นเลยเสียหลักพุ่งข้ามเลนส์มาชนรถของคุณท่านกับคุณหญิงที่จอดอยู่ข้างทางเข้าอย่างจัง แรงปะทะทำให้คุณท่านที่ยืนอยู่ตรงหน้ารถถูกอัดเข้ากับตัวรถเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ส่วนคุณหญิงท่านก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงกระแทกด้วยเหมือนกัน” น้อยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งน้ำตา เธอเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นและเสียใจกับการจากไปของคุณท่านผู้มีพระคุณ ส่วนทางด้านของชนากานต์ที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบก็นิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เธอรู้เพียงแค่ว่ามันรู้สึกจุกอยู่ในอกจนพูดอะไรแทบไม่ออก ขนาดเธอที่เป็นเพียงแค่ผู้ฟังยังรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสียได้มากขนาดนี้ แล้วปภาวีกับคุณหญิงรุจิราจะรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดไหนที่ต้องมาสูญเสียสามีอันเป็นที่รักกับบิดาผู้ให้กำเนิดไปอย่างไม่มีวันกลับ “คุณหนูเธอเสียใจมากที่คุณท่านจากไปอย่างกะทันหัน หลังเสร็จจากงานศพของคุณท่านคุณหนูเธอก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องข้าวปลาไม่ยอมทาน แล้วนิสัยนี่ก็...ตามที่พรีนได้เห็นนั่นแหละลูก” “คุณหนูเธอน่าสงสารนะคะป้า ต้องมาสูญเสียคุณพ่อไปเพราะความประมาทของคนคนหนึ่ง” “นั่นสิ คุณท่านไม่ควรมาตายเพราะความประมาทของคนพวกนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ป้าเชื่อว่าสักวันเวรกรรมจะตามสนองคนที่ทำเองนั่นแหละ” “พรีนสงสารคุณหญิงกับคุณหนูจังเลยค่ะป้า แล้วคนก่อเหตุละคะเขารับผิดชอบกับเรื่องนี้ยังไง” “ตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุก็ไม่เห็นตัวคนขับรถกระบะคันนั้นแล้ว กล้องวงจรปิดแถวนั้นก็ไม่มี ส่วนรถเองก็ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังตามตัวคนก่อเหตุไม่ได้สักทีแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าคนที่ชนจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือเปล่า” “ไร้ความรับผิดชอบที่สุด” สบถออกมาด้วยความโมโห เธอรับไม่ได้กับการกระทำของคนผู้นี้เลยจริง ๆ ขับรถประมาทจนทำให้คนอื่นต้องตายแล้วยังมีหน้าหนีความผิดไม่อยู่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ นี่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเธอ เธอรับรองได้เลยว่าต่อให้คนคนนั้นมันจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ เธอก็จะตามตัวมันมารับโทษที่มันได้ก่อไว้อย่างแน่นอน “เออ! แต่จะว่าไปก็เร็วเหมือนกันนะ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะครบรอบยี่สิบปีแล้วที่คุณท่านจากไปแล้ว นี่ถ้าพรีนไม่ถามป้าเรื่องนี้ป้าก็ลืมไปเสียสนิทเลย” “ครบรอบยี่สิบปีเหรอคะป้าน้อย ว่าแต่วันที่คุณท่านเสียคือวันที่เท่าไหร่เหรอคะ” “วันที่สิบหกเดือนสิงหาคมปีสองพันห้าร้อยสี่สิบ แต่เดี๋ยวนะ วันนั้นเป็นวันเดียวกันกับวันเกิดของพรีนใช่หรือเปล่าลูก” “จริงด้วยค่ะป้า วันที่คุณท่านเสียตรงกับวันเกิดพรีนพอดีเลยค่ะ แล้วตอนนั้นคุณหนูเธออายุเท่าไหร่เหรอคะ?” ถามต่อเพราะนี่คือสิ่งที่เธออยากรู้มากที่สุดว่าตอนที่เกิดเรื่องปภาวีนั้นอายุเท่าไหร่กัน แล้วรู้เรื่องราวมากน้อยแค่ไหน “สิบเอ็ดปี” “ถ้าตอนนั้นคุณหนูอายุสิบเอ็ดปี เหตุการณ์ผ่านมาแล้วยี่สิบปี งั้นก็แสดงว่าตอนนี้คุณหนูเธออายุสามสิบเอ็ดปีแล้วน่ะสิคะป้า” “ใช่จ้ะ” “นี่ถ้าไม่บอกพรีนคิดว่าคุณหนูเธออายุห่างกับพรีนไม่กี่ปีเองนะคะเนี่ย” ยืนอ้าปากค้างไปชั่วครู่เมื่อรู้อายุของคุณหนูบ้านนี้ ก่อนที่จะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของอีกคน ...สวย เท่ มีเสน่ห์ในแบบที่ผู้หญิงด้วยกันยังหลงใหล “คุณหนูเธอเป็นคนสวย ฉลาด แต่จะติดก็ตรงที่ว่า...”ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา...ปภาวีขับรถสปอร์ตคันหรูแล่นเข้ามาจอดในลานสำหรับลูกค้า VVIP ของ Velluto Club สถานบันเทิงหรูย่านกลางเมืองที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมักใช้เป็นที่พักใจยามมีเรื่องไม่สบายใจเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์จังหวะหนัก ๆ ดังทะลุออกมาถึงลานจอดรถ ไฟนีออนสีม่วงเข้มจากป้ายชื่อร้านสะท้อนกับกระโปรงหน้ารถ แสงวูบหนึ่งกระทบลงบนใบหน้าเธอพอดี เผยแววตาแข็งกร้าวที่แฝงคลื่นความรู้สึกบางอย่างซึ่งยังไม่ทันจางไปจากอกเธอก้าวลงจากรถอย่างเงียบงัน เดินฝ่ากลุ่มนักท่องราตรีที่เบียดเสียดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงโต๊ะ VVIP ด้านในสุด ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในโซนเงียบสงบของร้าน แยกตัวออกจากความพลุกพล่านของผู้คน โดยที่ตินนี้มีชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีเข้มนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาหนังเรียบหรู เขาหันมองทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา“หน้าบอกบุญไม่รับเลยนะครับ คุณปภาวี”เสียงทักของภาสกรฟังดูเหมือนจะเย้าแหย่ แต่ทว่าแววตากลับแฝงความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยทว่าคนถูกแซวอย่างปภาวีกลับไม่ตอบ เธอเพียงปรายมองเพื่อนชายคนสนิทอย่างเย็นชา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งมือเรียวคว้าแก้ววิสกี้ขึ้นกระดกจน
“ภัคหยุด! แม่บอกให้หยุด!!”“จะตามมาว่าอะไรภัคอีกละคะ?” หันขวับกลับมาถามมารดาด้วยน้ำเสียงประชดประชันเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ทำไมต้องทำร้ายน้องขนาดนั้น จงเกลียดจงชังอะไรนักหนา แม่ยังไม่เห็นว่าน้องพรีนเขาจะทำอะไรให้ภัคเลยนะลูก”“ไม่ชอบคือไม่ชอบ เกลียดก็คือเกลียด ภัคเคยบอกคุณแม่ไปแล้วนี่คะ”ปภาวีเน้นทุกถ้อยคำอย่างชัดเจนและหนักแน่น แล้วต่อให้เธอจะต้องพูดอีกสักกี่สิบครั้ง เธอก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเธอเกลียดผู้หญิงคนนั้นที่สุด เธอเกลียดชนากานต์โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะสำหรับความรักบางครั้งมันก็ไม่คำอธิบายซึ่งความเกลียดก็เช่นเดียวกัน...“ถ้าเกลียดก็ไม่ต้องยุ่งกันสิ ไม่เห็นจะต้องลงไม้ลงมือแบบนี้ แม่ไม่ชอบเลยนะภัค!”“ภัคไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับยัยนั่นเลยสักนิด แต่ยัยต่างหากที่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายกับภัคเอง”“ยุ่งอะไร ไหนบอกแม่มาซิ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เพราะเธออยากจะรู้สาเหตุเหลือเกิน ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมลูกสาวของเธอถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้“ยัยนั่นไปแอบฟังภัคคุยโทรศัพท์กับต้น พอภัคจับได้ก็ทำท่าจะเดินหนี ทีนี้คุณแม่จะยังเข้าข้างอยู่อีกไหมคะ”“บางทีน้องอาจจะแค่เดินผ่านไปก็ได้ ภ
“พรีน หนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมาอย่างนี้”“ปะ...เปล่าค่ะ พรีนไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”“เป็นเด็กริอาจโกหกผู้ใหญ่มันไม่ดีนะรู้ไหม บอกฉันมาตรง ๆ ดีกว่านะ พี่ภัคเขาได้ทำอะไรหนูหรือเปล่า” คุณหญิงรุจิราวางหนังสือพิมพ์ในมือลงก่อนเอ่ยถามอย่างใจเย็น เธอไม่ใช่คนไร้เดียงสาที่จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ถามออกไปก็เพียงแค่ต้องการฟังจากปากของเด้กสาวตรงหน้าให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไป“คุณหนูไม่ได้ทำอะไรพรีนค่ะคุณหญิง พรีนแค่...”“เธอมาฟ้องอะไรแม่ฉัน!” เสียงแหลมของปภาวีดังแทรกขึ้นมาจากทางบันได เธอเพิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้วลงมา ทว่าต้องชะงักเมื่อเห็นชนากานต์ยืนอยู่กับแม่ของเธอ และดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่แล้วมื่อได้เห็นอย่างนั้น ความไม่พอใจก็พลันแล่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้“น้องยังไม่ทันได้ฟ้องอะไรแม่เลย ว่าแต่เราเถอะไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้โหวกเหวกโวยวายแต่เช้าแบบนี้”“เปล่าค่ะ”“งั้นภัคบอกแม่ได้ไหมว่าหนูพรีนวิ่งหนีอะไรมา”“ภัคจะไปรู้ได้ไงคะ ถ้าคุณแม่อยากรู้ทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะ”“ก็ถ้าหนูพรีนยอมพูด แม่จะมาถามแกอยู่อย่างนี้หรือไง บอกแม่มาว่าทำอะไร
“อะไรเหรอคะป้า?”“เปล่าลูก ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าพรีนอยู่ห่างจากคุณหนูไว้น่ะดีที่สุด แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใกล้คุณหนูจริงๆ พรีนก็จะต้องเว้นระยะห่าง อย่าเข้าใกล้จนเกินไป เข้าใจที่ป้าพูดไหม?”“ทำไมละคะป้า ทำไมพรีนถึงอยู่ใกล้คุณหนูไม่ได้”ถามด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมป้าของเธอต้องสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้คุณหนูด้วยทั้งๆ ที่อีกคนนั้นก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับเธอ ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยสักนิด แล้วยิ่งได้รู้ถึงเหตุผลที่อีกคนเป็นแบบนี้เธอยิ่งอยากอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล อยากทำให้อีกคนได้กลับมามีความสุขใหม่อีกครั้ง“เชื่อป้าเถอะพรีน ป้าว่าพรีนรีบไปเก็บของให้เรียบแล้วออกไปช่วยงานป้าที่บ้านใหญ่ดีกว่านะ เดี๋ยวป้าจะเดินนำไปก่อนแล้วกัน”น้อยพูดจบก็เดินออกจากห้องไปเพราะไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ สักวันหลานสาวของเธอจะเข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงได้สั่งห้ามแบบนี้ออกไป ส่วนทางด้านของชนากานต์ก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รอหาเวลาและจังหวะที่เหมาะสมค่อยหาโอกาสถามใหม่อีกครั้งขณะเดียวกันปภาวีที่เดินออกจากบ้านมา ก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถสปอร์ตคันหรูของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน หลังถูกคุณหญิงร
“พรีนพอจะอยู่ได้ไหมลูก?”น้อยเอ่ยถามชนากานต์หลานสาวของตัวเองทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ภายในห้องพัก เพราะด้วยความที่ห้องของแม่บ้านโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย จะมีก็เพียงเตียงนอนที่ขนาดกลางห้องน้ำและพื้นที่ใช้ส้อยอีกเล็กน้อยเท่านั้น“อยู่ได้ค่ะ พรีนขอบคุณป้าน้อยอีกครั้งนะคะที่ให้พรีนมาอยู่ด้วย”“ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกลูก พรีนเป็นหลานป้า ไม่ให้ป้าช่วยพรีนแล้วจะให้ป้าไปช่วยแมวที่ไหนล่ะฮึ?”“แมวน้อยตัวนี้สัญญาเลยค่ะ ว่าจะตั้งใจเรียน แล้วก็จะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่แล้วก็ป้าน้อย พรีนรักป้าน้อยนะ”พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเข้าไปโอบกอดป้าน้อยเอาไว้ด้วยความรัก ความรู้สึกอุ่นใจและซาบซึ้งเอ่อล้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจเพราะทุกคำถ้อยคำที่พูดออกไปล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน แต่ในห้วงความทรงจำป้าน้อยก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักและดูแลเธอมาตลอดแล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ความรักความห่วงใยที่ผู้เป็นป้ามีให้แก่เธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงไปเลย“ป้าก็รักพรีนนะลูก เอ้อ! ว่าแต่พรีนโทรบอกพ่อกับแม่หรือยังลูกว่าหนูมาถึงแล้ว เดี๋ยวท่านจะเป็
“กองไว้ตรงนั้นแหละ!”เพียงแค่ไม่รับไหว้ ปภาวียังคงมองหน้าของชนากานต์ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยัน ก่อนจะสะบัดหน้าหันมองไปทางอื่น“ภัค! เดี๋ยวเถอะ” คุณหญิงรุจิราเอ็ดเสียงเข้มเมื่อเห็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมของปภาวีลูกสาวตัวเอง” ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวฉันด้วยนะจ๊ะ”“นี่คุณแม่จะไปขอโทษยัยเด็กนี่ทำไมกันคะ”“ยังอีก แม่ไม่เคยสอนให้ภัคเสียมารยาทแบบนี้เลยนะลูก ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้!”“ไม่ค่ะ! ภัคไม่ขอโทษ ภัคยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“ยัยภัค!!”“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณหญิง คุณหญิงอย่าดุให้คุณหนูเลยนะคะ คุณหนูเธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดจริง ๆ” น้อยเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดจนเกินไป อีกอย่างเธอไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งสองต้องมีปัญหากัน“ไม่ผิดยังไงกันน้อย หลานสาวน้อยยกมือไหว้ก็แทนที่จะรับไหว้น้องดี ๆ แต่กลับพูดจาไร้มารยาทแบบนั้นออกมา ทำผิดไม่ยอมรับผิด มีที่ไหนกัน!”“คุณแม่!!”คุณหญิงรุจิราพูดเสียงเข้ม ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังปภาวีด้วยสายตาเชิงตำหนิ เธอบอกตามตรงเลยว่าเธอรู้สึกไม่ชอบใจกับพฤติกรรมของลูกคนนี้เลยจริง ๆ“หนูชื่อพรีนใช่ไหมลูก” คุณหญิงรุจิราถาม“ชะ...ใช่ค่ะ”“รูปก็งาม นามก็เพราะ