“พรีน หนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมาอย่างนี้”
“ปะ...เปล่าค่ะ พรีนไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” “เป็นเด็กริอาจโกหกผู้ใหญ่มันไม่ดีนะรู้ไหม บอกฉันมาตรง ๆ ดีกว่านะ พี่ภัคเขาได้ทำอะไรหนูหรือเปล่า” คุณหญิงรุจิราวางหนังสือพิมพ์ในมือลงก่อนเอ่ยถามอย่างใจเย็น เธอไม่ใช่คนไร้เดียงสาที่จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ถามออกไปก็เพียงแค่ต้องการฟังจากปากของเด้กสาวตรงหน้าให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไป “คุณหนูไม่ได้ทำอะไรพรีนค่ะคุณหญิง พรีนแค่...” “เธอมาฟ้องอะไรแม่ฉัน!” เสียงแหลมของปภาวีดังแทรกขึ้นมาจากทางบันได เธอเพิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้วลงมา ทว่าต้องชะงักเมื่อเห็นชนากานต์ยืนอยู่กับแม่ของเธอ และดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่ แล้วมื่อได้เห็นอย่างนั้น ความไม่พอใจก็พลันแล่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “น้องยังไม่ทันได้ฟ้องอะไรแม่เลย ว่าแต่เราเถอะไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้โหวกเหวกโวยวายแต่เช้าแบบนี้” “เปล่าค่ะ” “งั้นภัคบอกแม่ได้ไหมว่าหนูพรีนวิ่งหนีอะไรมา” “ภัคจะไปรู้ได้ไงคะ ถ้าคุณแม่อยากรู้ทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะ” “ก็ถ้าหนูพรีนยอมพูด แม่จะมาถามแกอยู่อย่างนี้หรือไง บอกแม่มาว่าทำอะไรน้อง” “ภัคไม่ได้ทำอะไรยัยเด็กพรีนของคุณแม่ทั้งนั้นแหละค่ะ ขนาดหน้าภัคยังไม่อยากมองเลย ยัยกาฝาก” “ภัค!!” “อะไรอีกละคะ?” “ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้!” “ขอโทษ? ขอโทษเรื่องอะไร?” “ก็ไอ้คำที่พูดออกมาเมื่อกี้ไง รีบขอโทษน้องซะ” “ฝันไปเถอะค่ะ ว่าภันจะลดตัวลงไปขอโทษผู้หญิงแบบนี้” “กลับมาเดี๋ยวนี้นะ! ยัยภัค” “ปล่อยคุณหนูเธอไปก่อนเถอะค่ะคุณหญิง พูดอะไรไปตอนนี้ก็ยิ่งเหมือนเอาฟืนไปใส่ไฟเปล่า ๆ” “ยัยภัคทำนิสัยอย่างนี้จนเคยตัว ต่อไปก็คงไม่เห็นหัวฉันแล้วล่ะมั้งน้อย” “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะคุณหญิง คุณหญิงต้องให้เวลาคุณหนูเธอหน่อยนะคะ” “ให้เวลาน่ะฉันเข้าใจ แต่ถึงยังไงยัยภัคก็ไม่ควรมาพูดจาแย่ ๆ ใส่คนอื่นแบบนี้” “น้อยเข้าใจคุณหญิงนะคะ แต่น้อยเองก็เข้าใจคุณหนูด้วยเหมือนกัน คุณหญิงก็น่าจะรู้ดีว่าเมื่อก่อนคุณหนูเธอไม่ได้เป็นคนแบบนี้ เธออาจจะยังเสียใจเรื่องของคุณท่าน ยังไงน้อยก็อยากให้คุณหญิงลองใจเย็นกับเธอดูสักนิด” “ฉันเย็นมามากพอแล้ว แล้วฉันก็คิดว่าเวลามันคงจะช่วยอะไรยัยภัคไม่ได้แล้วล่ะ นับวันยิ่งจะมีแต่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ อดีตที่มันผ่านไปแล้วก็ไม่ปล่อยให้มันผ่านไป ยังยึดติด ยังเคียดแค้น แล้วก็เอาความแค้นความเสียใจของตัวเองมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายจิตใจคนอื่น แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน” “น้อยเองก็ไม่รู้จะช่วยคุณหนูยังไงดีค่ะคุณหญิง” “น้อยไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวยัยภัคน่ะฉันจัดการเอง มา ๆ มาทานข้าวกันก่อนดีกว่า” “เอ่อป้า พรีนขอตัวก่อนนะคะ” “จะไปไหนอีกล่ะพรีน” น้อยเอ่ยถาม “นั่นสิ ไม่ทานข้าวด้วยก่อนเหรอหนูพรีน มานั่งข้างฉันก็ได้นะ มาเร็ว” “ไม่ดีกว่าค่ะคุณหญิง พรีนยังไม่หิวค่ะ ขอตัวนะคะ” ***** เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นหินดังเป็นจังหวะ ปภาวีเดินลิ่วออกจากห้องอาหารมายังสวนหย่อมข้างบ้านด้วยอารมณ์คุกรุ่น แสงแดดยามสายส่องลอดใบไม่ลงมาเป็นลำ เธอเงยหน้าขึ้นรับแสงงก่อนพ้นลมหายใจแรง ๆ ออกมาเพื่อระบายอารมณ์ “คุณแม่นะคุณแม่ เห็นคนอื่นดีกว่าลูกของตัวเอง ฮึ!” เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เพราะรู้สึกไม่ชอบใจกับการกระทำของผู้เป็นแม่ จากที่เธอไม่ชอบหน้าเด็กคนนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งได้มาเห็นแม่ของตัวเองออกตัวปกป้องอีกฝ่ายอย่างกับจงอางหวงไข่แบบนี้ ความเกลียดก็ยิ่งทวีคูณ ญาติติโกโหติกาก็ไม่ใช่ ซ้ำยังเป็นเพียงแค่หลานสาวคนใช้... ถึงจะเป็นคนใช้คนสนิทยังไงซะก็ยังคงเป็นขี้ข้าอยู่วันยังค่ำ ครืด ครืด <<< Ton Calling >>> ชื่อและภาพของผู้โทรปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำให้ปภาวีหรี่ตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนกดรับสายด้วยเสียงที่เย็นลงเล็กน้อย “ฮัลโหล ว่าไง” “สะดวกคุยเปล่า” สิ้นคำถามจากต้นสาย เธอก็เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง “อืม คุยได้” “คือว่า..เมื่อสองวันก่อนกูไปในที่เกิดเหตุมาแล้วบังเอิญเจอกับคุณตาคนนึงกำลังเดินเก็บของเก่าอยู่” “แล้ว?” “แกเอาของชิ้นนึงมาเสนอขายให้ แล้วบอกว่าเก็บได้จากแถว ๆ นี้ กูเห็นว่ามันแปลกดีก็เลยซื้อเอาไว้” “แค่นี้?” “มันก็เกือบจะแค่นั้นนั่นแหละ ถ้าแกไม่บอกกูอีกว่าเก็บได้จากตรงนี้ตั้งแต่อุบัติเหตุรถชนกันเมื่อสิบเก้าปีก่อน” ปภาวีขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน ก่อนถามต่อ... “มึงว่าไงนะ?” “ได้ยินไม่ผิดหรอก มันเป็นสร้อยเก่า ๆ แล้วก็มีจี้คล้ายดอกไม้อะไรสักอย่างกูดูไม่ออก” “สร้อยงั้นเหรอ?” “อื้อ..สร้อย ว่าแต่มึงเคยเห็นพ่อมึงใส่สร้อยบ้างหรือเปล่าอะเผื่อบางทีสร้อยเส้นนี้อาจจะเป็นของพ่อมึงก็ได้” “ไม่แน่ใจอะ เอาเป็นว่ามึงเก็บสร้อยเส้นนั้นเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน เดี๋ยวถ้ากูว่างเมื่อไหร่ฉันจะเข้าไปดูเอง” “ตามนั้น ว่าแต่ตอนนี้มึงอยู่ไหนเนี่ยไอ้ภัค เข้าไปหาที่บริษัทก็ไม่เจอ หรือว่ากำลังตีหรี่...” เพล้ง!! เสียงของแข็งตกกระทบพื้นหินกรวด ดังกังวานสะท้อนอยู่ในอากาศ ปภาวีชะงักลดโทรศัพท์ลงจากหู คิ้วสวยขมวดแน่นก่อน ก่อนดวงตาคมจะหันขวับกลับไปมองทางต้นเสียง “ใครน่ะ!” “...” “มีอะไรเปล่า?” คนในสายถามขึ้นหลังได้ยินเสียงผิดปกติดังแว่วเข้ามาทางโทรศัพท์ “เปล่า แค่นี้ก่อนนะ” ทันทีที่พูดจบเธอก็กดวางสาย ก่อนจะตะโกนขึ้นอีกครั้งอย่างหงุดหงิด “ฉันถามว่าใครอยู่ตรงนั้น!!” ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบรับ มีเพียงความเงีบกับลมวูบหนึ่งที่พัดผ่าน เธอไม่รอช้า ก้าวฉับเข้าไปยังมุมที่เกิดเสียงแล้วก็ได้เห็นร่างของคนที่ไม่คิดว่าจะเจอในเวลานี้ “เธอเองเหรอ” เสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นช้า ๆ ทว่าแฝงไปด้วยความเย็นเยียบจนบรรยากาศรอบตัวราวกับหยุดนิ่งทันทีที่ได้สบตากับผู้หญิงตรงหน้า สองขาก้าวไปใกล้ สองแขนสองขึ้นกอดอกดวงตาคมกริบจ้องเขม็งราวจะฉีกเนื้อคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้น ๆ “เอ่อคือ...พะ...พรีนขอโทษค่ะ พรีนไม่ได้ตั้งใจมาแอบฟังคุณหนูคุยโทรศัพท์นะคะ” เสียงเล็กสั่นพร่า ดวงตาหลุบต่ำอย่างหวาดหวั่น ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันขณะพยายามข่มความกลัวที่ตีตื้นขึ้นมาจนถึงอก “หึ! ไม่ได้ตั้งใจ แต่รีบปฏิเสธทั้งที่ฉันยังไม่ทันได้ถามเนี่ยนะ ยัยโง่!” เสียงเย้ยหยันเย็นชาเสียดแทงเหมือนคมมีดกรีดลึกลงในใจชนากานต์ จบประโยคนั้นปภาวีก็ก้าวเข้ามาใกล้ มือเรียวที่เปี่ยมไปด้วยแรกกระชากแขนอีกฝ่ายด้วยแรงโทสะ “อ๊ะ...!” ชนากานต์หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนตามด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นวาบเข้าหัวใจจนน้ำตาคลอเบ้า ทั้งแรงบีบและแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ถาโถมมาพร้อมกันราวกับพายุลูกใหญ่ แรงบีบคั้นทำให้ต้นแขนเล็กเนียนขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงช้ำ เธอพยายามดึงแขนกลับแต่ทว่าแรงที่มีนั้นน้อยกว่าคนร่างสูงเสียเหลือเกิน มือเล็กสั่นระริก น้ำเสียงติดสะอื้นเบา ๆ ขณะที่พยายามเปล่งออกมาจากลำคออย่างอยากลำบาก “ฮึก ๆ ปะ..ปล่อยแขนพรีนก่อนนะคะคุณหนู พรีนเจ็บ” “ตอแหล! อย่าสำออยไปหน่อยเลย อ้อ!แน่จริงเธอก็เรียกแม่ฉันมาช่วยอีกสิ เรียกสิ เรียกเลย!” ถ้อยคำค่อนแคะดุจเหล็กแหลมถูกปล่อยออกมาจากเรียวปากของปภาวีพร้อมกับแรงบีบที่เพิ่มขึ้นอย่างไร้ความปรานี ขณะที่ชนากานต์ทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยความเจ็บ เม้มริมปากแน่นพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้ดังออกมา ทว่าก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มได้ ทันใดนั้นเอง เสียงเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง “ทำอะไรน่ะภัค!” “เหอะ! พูดไม่ทันขาดคำ เป็นห่วงเป็นใยกันจริง ๆ เลยนะคะ” ร่างสูงแค่นหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงของปภาวีเปื้อนไปด้วยความประชดประชัน ก่อนหันไปมองมารดาด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่กระนั้นมือเรียวก็ยังคงบีบรัดอยู่ที่แขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น นิ้วสวยกดจิกลงบนแขนอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นรอยเล็บ “แม่บอกให้ ปล่อย แขน น้อง!” “ก็ไม่ได้อยากจะจับมากนักหรอกค่ะ สกปรก” เธอสบถด้วยน้ำเสียงรังเกียจ แล้วสะบัดแขนของชนากานต์ออกอย่างแรง ทำให้ร่างบางเวถลาถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างหมดแรง “อะ...โอ๊ย!” “ฝากไว้ก่อนเถอะ!..ฉันจะทำให้เธออยู่ที่นี่ไม่ได้เลยคอยดู” น้ำกร้าวต่ำเย็นเยียบ สันกรามขบแน่นจนเห็นเป็นรอยนูน ลมหายใจสะท้อนแรงจากอก ขณะมองเหยื่อในสายตาอย่างไร้ความเมฆตา “หลีกไป!!” เสียงขาดห้วนถูกปล่อยออกมา ก่อนที่เธอจะจงใจเดินกระแทกไหล่ใส่ชนากานต์เต็มแรง แล้วหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองไม่กี่ชั่วโมงต่อมา...ปภาวีขับรถสปอร์ตคันหรูแล่นเข้ามาจอดในลานสำหรับลูกค้า VVIP ของ Velluto Club สถานบันเทิงหรูย่านกลางเมืองที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมักใช้เป็นที่พักใจยามมีเรื่องไม่สบายใจเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์จังหวะหนัก ๆ ดังทะลุออกมาถึงลานจอดรถ ไฟนีออนสีม่วงเข้มจากป้ายชื่อร้านสะท้อนกับกระโปรงหน้ารถ แสงวูบหนึ่งกระทบลงบนใบหน้าเธอพอดี เผยแววตาแข็งกร้าวที่แฝงคลื่นความรู้สึกบางอย่างซึ่งยังไม่ทันจางไปจากอกเธอก้าวลงจากรถอย่างเงียบงัน เดินฝ่ากลุ่มนักท่องราตรีที่เบียดเสียดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองเธอเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงโต๊ะ VVIP ด้านในสุด ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในโซนเงียบสงบของร้าน แยกตัวออกจากความพลุกพล่านของผู้คน โดยที่ตินนี้มีชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีเข้มนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาหนังเรียบหรู เขาหันมองทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา“หน้าบอกบุญไม่รับเลยนะครับ คุณปภาวี”เสียงทักของภาสกรฟังดูเหมือนจะเย้าแหย่ แต่ทว่าแววตากลับแฝงความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยทว่าคนถูกแซวอย่างปภาวีกลับไม่ตอบ เธอเพียงปรายมองเพื่อนชายคนสนิทอย่างเย็นชา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งมือเรียวคว้าแก้ววิสกี้ขึ้นกระดกจน
“ภัคหยุด! แม่บอกให้หยุด!!”“จะตามมาว่าอะไรภัคอีกละคะ?” หันขวับกลับมาถามมารดาด้วยน้ำเสียงประชดประชันเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง“ทำไมต้องทำร้ายน้องขนาดนั้น จงเกลียดจงชังอะไรนักหนา แม่ยังไม่เห็นว่าน้องพรีนเขาจะทำอะไรให้ภัคเลยนะลูก”“ไม่ชอบคือไม่ชอบ เกลียดก็คือเกลียด ภัคเคยบอกคุณแม่ไปแล้วนี่คะ”ปภาวีเน้นทุกถ้อยคำอย่างชัดเจนและหนักแน่น แล้วต่อให้เธอจะต้องพูดอีกสักกี่สิบครั้ง เธอก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเธอเกลียดผู้หญิงคนนั้นที่สุด เธอเกลียดชนากานต์โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เพราะสำหรับความรักบางครั้งมันก็ไม่คำอธิบายซึ่งความเกลียดก็เช่นเดียวกัน...“ถ้าเกลียดก็ไม่ต้องยุ่งกันสิ ไม่เห็นจะต้องลงไม้ลงมือแบบนี้ แม่ไม่ชอบเลยนะภัค!”“ภัคไม่เคยคิดที่จะยุ่งกับยัยนั่นเลยสักนิด แต่ยัยต่างหากที่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายกับภัคเอง”“ยุ่งอะไร ไหนบอกแม่มาซิ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เพราะเธออยากจะรู้สาเหตุเหลือเกิน ว่าเป็นเพราะอะไรทำไมลูกสาวของเธอถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้“ยัยนั่นไปแอบฟังภัคคุยโทรศัพท์กับต้น พอภัคจับได้ก็ทำท่าจะเดินหนี ทีนี้คุณแม่จะยังเข้าข้างอยู่อีกไหมคะ”“บางทีน้องอาจจะแค่เดินผ่านไปก็ได้ ภ
“พรีน หนูเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวิ่งหน้าตาตื่นลงมาอย่างนี้”“ปะ...เปล่าค่ะ พรีนไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”“เป็นเด็กริอาจโกหกผู้ใหญ่มันไม่ดีนะรู้ไหม บอกฉันมาตรง ๆ ดีกว่านะ พี่ภัคเขาได้ทำอะไรหนูหรือเปล่า” คุณหญิงรุจิราวางหนังสือพิมพ์ในมือลงก่อนเอ่ยถามอย่างใจเย็น เธอไม่ใช่คนไร้เดียงสาที่จะดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ถามออกไปก็เพียงแค่ต้องการฟังจากปากของเด้กสาวตรงหน้าให้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไป“คุณหนูไม่ได้ทำอะไรพรีนค่ะคุณหญิง พรีนแค่...”“เธอมาฟ้องอะไรแม่ฉัน!” เสียงแหลมของปภาวีดังแทรกขึ้นมาจากทางบันได เธอเพิ่งจัดการตัวเองเสร็จแล้วลงมา ทว่าต้องชะงักเมื่อเห็นชนากานต์ยืนอยู่กับแม่ของเธอ และดูเหมือนว่ากำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่แล้วมื่อได้เห็นอย่างนั้น ความไม่พอใจก็พลันแล่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้“น้องยังไม่ทันได้ฟ้องอะไรแม่เลย ว่าแต่เราเถอะไปกินรังแตนที่ไหนมา ถึงได้โหวกเหวกโวยวายแต่เช้าแบบนี้”“เปล่าค่ะ”“งั้นภัคบอกแม่ได้ไหมว่าหนูพรีนวิ่งหนีอะไรมา”“ภัคจะไปรู้ได้ไงคะ ถ้าคุณแม่อยากรู้ทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะ”“ก็ถ้าหนูพรีนยอมพูด แม่จะมาถามแกอยู่อย่างนี้หรือไง บอกแม่มาว่าทำอะไร
“อะไรเหรอคะป้า?”“เปล่าลูก ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าพรีนอยู่ห่างจากคุณหนูไว้น่ะดีที่สุด แต่ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใกล้คุณหนูจริงๆ พรีนก็จะต้องเว้นระยะห่าง อย่าเข้าใกล้จนเกินไป เข้าใจที่ป้าพูดไหม?”“ทำไมละคะป้า ทำไมพรีนถึงอยู่ใกล้คุณหนูไม่ได้”ถามด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมป้าของเธอต้องสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้คุณหนูด้วยทั้งๆ ที่อีกคนนั้นก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับเธอ ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลยสักนิด แล้วยิ่งได้รู้ถึงเหตุผลที่อีกคนเป็นแบบนี้เธอยิ่งอยากอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล อยากทำให้อีกคนได้กลับมามีความสุขใหม่อีกครั้ง“เชื่อป้าเถอะพรีน ป้าว่าพรีนรีบไปเก็บของให้เรียบแล้วออกไปช่วยงานป้าที่บ้านใหญ่ดีกว่านะ เดี๋ยวป้าจะเดินนำไปก่อนแล้วกัน”น้อยพูดจบก็เดินออกจากห้องไปเพราะไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความ สักวันหลานสาวของเธอจะเข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงได้สั่งห้ามแบบนี้ออกไป ส่วนทางด้านของชนากานต์ก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ รอหาเวลาและจังหวะที่เหมาะสมค่อยหาโอกาสถามใหม่อีกครั้งขณะเดียวกันปภาวีที่เดินออกจากบ้านมา ก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถสปอร์ตคันหรูของตัวเองด้วยอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน หลังถูกคุณหญิงร
“พรีนพอจะอยู่ได้ไหมลูก?”น้อยเอ่ยถามชนากานต์หลานสาวของตัวเองทันทีที่ได้เข้ามาอยู่ภายในห้องพัก เพราะด้วยความที่ห้องของแม่บ้านโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย จะมีก็เพียงเตียงนอนที่ขนาดกลางห้องน้ำและพื้นที่ใช้ส้อยอีกเล็กน้อยเท่านั้น“อยู่ได้ค่ะ พรีนขอบคุณป้าน้อยอีกครั้งนะคะที่ให้พรีนมาอยู่ด้วย”“ไม่ต้องขอบคุณป้าหรอกลูก พรีนเป็นหลานป้า ไม่ให้ป้าช่วยพรีนแล้วจะให้ป้าไปช่วยแมวที่ไหนล่ะฮึ?”“แมวน้อยตัวนี้สัญญาเลยค่ะ ว่าจะตั้งใจเรียน แล้วก็จะเป็นเด็กดีของพ่อกับแม่แล้วก็ป้าน้อย พรีนรักป้าน้อยนะ”พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะก้าวเข้าไปโอบกอดป้าน้อยเอาไว้ด้วยความรัก ความรู้สึกอุ่นใจและซาบซึ้งเอ่อล้นขึ้นมาจนเต็มหัวใจเพราะทุกคำถ้อยคำที่พูดออกไปล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเธอจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน แต่ในห้วงความทรงจำป้าน้อยก็เป็นอีกหนึ่งคนที่รักและดูแลเธอมาตลอดแล้วไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน ความรักความห่วงใยที่ผู้เป็นป้ามีให้แก่เธอก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยลงไปเลย“ป้าก็รักพรีนนะลูก เอ้อ! ว่าแต่พรีนโทรบอกพ่อกับแม่หรือยังลูกว่าหนูมาถึงแล้ว เดี๋ยวท่านจะเป็
“กองไว้ตรงนั้นแหละ!”เพียงแค่ไม่รับไหว้ ปภาวียังคงมองหน้าของชนากานต์ด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยัน ก่อนจะสะบัดหน้าหันมองไปทางอื่น“ภัค! เดี๋ยวเถอะ” คุณหญิงรุจิราเอ็ดเสียงเข้มเมื่อเห็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมของปภาวีลูกสาวตัวเอง” ฉันต้องขอโทษแทนลูกสาวฉันด้วยนะจ๊ะ”“นี่คุณแม่จะไปขอโทษยัยเด็กนี่ทำไมกันคะ”“ยังอีก แม่ไม่เคยสอนให้ภัคเสียมารยาทแบบนี้เลยนะลูก ขอโทษน้องเดี๋ยวนี้!”“ไม่ค่ะ! ภัคไม่ขอโทษ ภัคยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“ยัยภัค!!”“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณหญิง คุณหญิงอย่าดุให้คุณหนูเลยนะคะ คุณหนูเธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดจริง ๆ” น้อยเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะตึงเครียดจนเกินไป อีกอย่างเธอไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนทั้งสองต้องมีปัญหากัน“ไม่ผิดยังไงกันน้อย หลานสาวน้อยยกมือไหว้ก็แทนที่จะรับไหว้น้องดี ๆ แต่กลับพูดจาไร้มารยาทแบบนั้นออกมา ทำผิดไม่ยอมรับผิด มีที่ไหนกัน!”“คุณแม่!!”คุณหญิงรุจิราพูดเสียงเข้ม ดวงตาคมกริบตวัดมองไปยังปภาวีด้วยสายตาเชิงตำหนิ เธอบอกตามตรงเลยว่าเธอรู้สึกไม่ชอบใจกับพฤติกรรมของลูกคนนี้เลยจริง ๆ“หนูชื่อพรีนใช่ไหมลูก” คุณหญิงรุจิราถาม“ชะ...ใช่ค่ะ”“รูปก็งาม นามก็เพราะ