บนเตียงนุ่มปรากฏร่างหนาของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลาที่เปลือกตายังคงปิดสนิทอยู่นั้นเริ่มขยับพร้อมทั้งมีเหงื่อผุดออกมาทั้งๆ ที่แอร์คอนดิชันภายในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและเป็นระเบียบยังคงทำงานอย่างไม่หยุดพัก ริมฝีปากบางสีแดงอมชมพูขมุบขมิบราวกับว่ากำลังพูดบางสิ่งบางอย่าง แต่ทว่าเสียงกลับไม่ดังออกมาตามที่ริมฝีปากขยับ
“ไม่ วิน!!! อย่าไป” และในที่สุดเสียงก็ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนั้น
“เฮื้อก!!!!”
“โอ๊ย!!!! ฝันอีกแล้วเหรอเนี่ย”
แบม ภูวดลสะดุ้งสุดตัวร่างหนาเด้งขึ้นมาอยู่ในท่านั่งกุมศีรษะบนที่นอนนุ่ม ก่อนที่เขาจะใช้มือทั้งสองข้างสางผมที่ปรกลงบนหน้าผากไปถึงขนตายาวชุ่มน้ำตาให้เปิดออก
“น้องวิน… พี่จะทำตามที่พี่สัญญากับเราไว้นะ ไปอยู่ในชาติภพใหม่ พี่ขอให้หนูปลอดภัย...ไร้โรคภัยไข้เจ็บนะ”
เด็กหนุ่มหยิบของทดแทนของเด็กชายตัวน้อยในตอนนั้นขึ้นมาจากชิ้นชักโต๊ะข้างเตียงแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่เด็กน้อยจะเข้ารับการผ่าตัด ตอนนั้นเขาก็ยังคงเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งอายุมากกว่าน้องวินไปเพียงไม่กี่ปี ทั้งสองคนสนิทกันตอนที่เขาไปทำงานกับมารดา
เขาพบน้องวินกำลังเข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคลิ้นหัวใจรั่วที่โรงพยาบาลที่มารดาเป็นศัลยแพทย์ทรวงอกอยู่พอดี รู้จักกันจนสนิทสนมน้องวินก็จากไปแบบไม่มีวันกลับ
เนื่องด้วยศัลยแพทย์หัวใจของทางโรงพยาบาลมีน้อยและกำลังติดเคสสำคัญ เด็กน้อยจากไปอย่างกะทันหัน เขาร้องไห้อย่างหนักและซึมอยู่หลายวัน
ก่อนที่เด็กน้อยจะอาการทรุดและจากไป เขาเคยให้สัญญาว่าโตมาเขาจะเป็นศัลยแพทย์หัวใจ คอยรักษาหัวใจให้คนที่เป็นแบบน้องวิน น้องวินยิ้มออกมาด้วยแววตาที่มีความสุข เขาไม่คิดเลยว่ารอยยิ้มจากเด็กน้อยในวันนั้นจะเป็นวันสุดท้าย… ที่เขาได้มองมัน
เขายกมือขึ้นมาปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน ก่อนที่สองขายาวจะก้าวเดินไปที่ห้องน้ำ เสียงน้ำที่ไหลลงกระทบพื้นบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มได้อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนมัธยมปลายในเช้าวันนี้แล้ว
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่บอม พี่บี๋”
ชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยทักทายทุกคนหลังจากที่เข้ามานั่งประจำที่ตรงโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
“หน้าตาไม่ค่อยสดใสเลยนะลูก เจ็บป่วยตรงไหนหรือเปล่า”
แพทย์หญิงศิริลักษณ์ ปรีชารักษ์เอ่ยถามบุตรชายคนเล็กด้วยความเป็นห่วง
“นั่นสิ อย่าบอกนะว่าฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว”
ภูวเมศ ปรีชารักษ์ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามต่อในคำถามเดียวกันกับที่พี่ๆ ทั้งสองอยากเอ่ยถามน้องชายคนเล็ก เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนที่จะหันหน้าไปส่งยิ้มขอบคุณแม่บ้านที่นำข้าวต้มมาเสิร์ฟตรงหน้าของเขา
“ปล่อยวางซะบ้างสิแบม น้องเค้าก็ไปสบายแล้ว”
บอม ภูวพล ปรีชารักษ์ พี่ชายคนโตบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงปลอบโยน เขารู้ดีว่าแบมนั้นเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นขนาดไหน
“จริงด้วยนะแบม ถ้าแบมอยากให้น้องมีความสุขเวลาที่มองลงมาจากฟ้า แบมก็ตั้งใจเรียนหมอให้จบแล้วรักษาคนที่ป่วยแบบน้องเขาให้สุดความสามารถที่บอมมีนะ” พี่สาวผู้ที่รับรู้ความใฝ่ฝันของผู้เป็นน้องชายแนะแนวทางให้กับเขา
“ครับ… ขอบคุณทุกคนมากนะครับ”
กำลังใจและความเข้าใจของครอบครัวย่อมสำคัญที่สุด เป้าหมายของเขาต่อจากนี้แน่นอนว่าเขาจะทำมันให้สำเร็จ อีกแค่ไม่กี่เดือนภาคเรียนที่หนึ่งของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกของเขาก็ผ่านไปแล้ว และในภาคเรียนที่สองเขาจะตั้งใจกว่าเดิมเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพเหมือนกับมารดาให้ได้
โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งใจกลางกรุง
ร่างสูงของเด็กหนุ่มที่โตเต็มวัยกำลังเยื้องย่างเข้าไปในโรงเรียนของตนเองท่ามกลางสายตาของสาวๆ ที่มองมาอย่างสนใจ เขาส่งยิ้มให้สาวๆ รุ่นน้องและรุ่นเดียวกันตามประสาคนที่อัธยาศัยดี แต่ทว่ารอยยิ้มของเขาทำเอาหัวใจสาวๆ เต้นแรงไปตามๆ กัน เขาเดินตรงไปยังตึกที่ตนเรียนแต่แล้วไหล่กว้างก็มีท่อนแขนจากเพื่อนสนิทพาดผ่านมาโอบไหล่เขาไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะปล่อย
“เฮ้ย!! ไอ้กราฟ มึงมาเช้าจังวะฮ่าๆๆๆ สะดุ้งอะไรขนาดนั้นวะไอ้นี่ มัวแต่เก๊กหล่ออยู่นั่นแหละหมั่นไส้ แบ่งความหล่อมาให้กูบ้างดิ๊เพื่อน”
บอส ภานุอุทานเรียกเพื่อนสนิท ก่อนที่จะเอ่ยประโยคที่ทำให้กราฟ กาลัญญู พิเชษฐ์พัฒน์หัวเราะออกมา
“ถ้ามันแบ่งกันได้กูแบ่งให้มึงไปแล้วไอ้บอส มึงก็มาเช้าเป็นเหมือนกันหรอวะฮ่าๆๆๆ”
เสียงขี้เล่นติดทะเล้นตอบกลับ ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังอาคารเรียนของตนโดยมีบอส ภานุเพื่อนสนิทเพียงคนเดียววิ่งตามหลังไปติดๆ
“อีกเทอมเดียวมึงจะย้ายไปทำไมวะ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามเพื่อนสนิทตรงหน้าเมื่อได้ยินข่าวที่ไม่น่ายินดีสำหรับเขาเท่าไหร่
“กูอยากไปเรียนที่นั่นก่อนจบ พ่อแม่ก็ไม่ห้าม แถมสนับสนุน บอกทำไมกูไม่ไปเรียนโรงเรียนนั้นตั้งแต่แรกเพราะพ่อกูก็จบจากที่นั่นมา”
กราฟ กาลัญญูตอบเพื่อนสนิทขณะที่เขากำลังเขียนงานส่งอาจารย์อยู่ภายในห้องเรียน กราฟ กาลัญญูเป็นเด็กที่เรียนเก่งอีกคนหนึ่งของโรงเรียน และเป้าหมายของเขาคือการได้เป็นเพื่อนกับเด็กหนุ่มหน้าหล่อ นักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำให้เขาประทับใจ อาจจะดูเป็นความคิดที่โง่เขลาสำหรับเหตุผลของการย้ายไป แต่หัวใจของเขามันสั่งให้เขาตัดสินใจแบบนั้น เขาไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
“แล้วจบมอหกมึงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไหน”
บอสเอ่ยถามเพื่อนถึงเรื่องมหาวิทยาลัยแทนเพราะถึงอย่างไรการย้ายตามเพื่อนสนิทไปมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เข้าท่า แต่ถ้าได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันในอนาคตก็เป็นไปได้
“กูจะเรียนหมอ”
เด็กหนุ่มละสายตาและวางมือจากงานที่กำลังเขียนอยู่แล้วตอบอย่างมั่นใจ
“โห่… กูคงเรียนกับมึงไม่ไหว ไอ้นี่...ทำไมชอบจังอะไรยากๆ เนี่ย”
บอสเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ จะให้เขาทนเรียนไปอีกห้าหกปี ไหนจะเรียนเฉพาะทางอีก เขาสู้ไม่ไหวจริงๆ
“มึงก็รู้ว่าชีวิตกูอยากอุทิศให้กับการต่อชีวิตให้คนอื่น”
กราฟบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่จะก้มหน้าลงเขียนรายงานต่อแล้วไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก บอสไม่อยากรบกวนเพื่อนจึงหยิบรายงานของตนขึ้นมาเขียนบ้าง เขายังไม่รู้เลยว่าอีกหนึ่งเทอมที่เหลือ ถ้าเขาไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยแล้ว ผลการเรียนของเขาจะเป็นอย่างไร เพราะเวลาที่เขาไม่เข้าใจ เพื่อนสนิทอย่างกราฟ กาลัญญู ก็คอยช่วยเหลือเขามาโดยตลอด
หนึ่งสัปดาห์ต่อมาภายในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใจกลางกรุงฯ ภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่สวมใส่ชุดกาวน์เดินเคียงข้างกันไปยังโรงอาหารหลังจากการผ่าตัดเคสเมื่อคืนที่ผ่านมา ภูวดลและกาลัญญูนั้นเป็นศัลยแพทย์หัวใจที่ทางอาจารย์หมอและคนป่วยชื่นชม แม้แต่พวกแพทย์และพยาบาลแผนกอื่น ต่างก็แอบชื่นชมสองหนุ่มเช่นกันสำหรับอาจารย์หมอและผู้ป่วยนั้นชื่นชมในความรู้ความสามารถของสองหนุ่ม แต่สำหรับเหล่าแพทย์และพยาบาลแผนกอื่นต่างรู้สึกชื่นชมสองหนุ่มที่กล้าเปิดเผยความสัมพันธ์ว่าทั้งสองคนคบหากันอย่างไม่สนใจต่อสายตาคนอื่น และความสัมพันธ์ของทั้งสองหนุ่มนั้นก็น่าชื่นชมมาตั้งแต่สมัยที่ทั้งคู่ยังคงเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่“ศัลยแพทย์หัวใจโรงพยาบาลเรานี่หน้าตาดีกันจริงๆ แต่เสียดายที่คบกันเอง ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเสียโอกาสในการได้แฟนเป็นหมอ”พยาบาลแผนกสูตินรีเวชคุยเล่นกับเพื่อนที่นั่งตรงกันข้าม ในขณะที่สายตาก็มองไปยังสองแพทย์หนุ่มที่เพิ่งจะเดินตามกันไปซื้ออาหาร“เดี๋ยวนี้เรื่องของหัวใจมันห้ามกันไม่ได้แล้วย่ะ ฉันชอบนะ คู่ของหมอแบมกับหมอกราฟน่ะ ทั้งสองเป็นคู่รักที่คอยช่วยเหลือและซัพพอร์ตกันดีมากเลย อีกอย่าง…สองคนนี้คบกันตั้งแต่ยังเรี
ณ ร้านอาหารชื่อดังที่มีพิกัดอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูใจกลางกรุงฯ วันนี้สถานที่แห่งนี้ได้มีโอกาสต้อนรับนักแสดงสาวชื่อดัง ที่เดินทางมารับประทานอาหารกับกลุ่มเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายของเธอ ทางร้านอาหารจึงได้จัดโซนวีไอพี เพื่อความเป็นส่วนตัวให้กับเธอและเพื่อนๆ“ร้านนี้หรูมากเลย วิวก็สวยมากด้วย” คุณหมอพลอยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ที่สำคัญคืออาหารอร่อยด้วย”ภูวดลบอกคุณหมอสาวซึ่งเป็นเพื่อนสาวอีกคนของกลุ่ม ตอนนี้เจนจิรายังคงมาไม่ถึง ทำให้มีแค่เขา กาลัญญูและพลอยเท่านั้น“ถ่ายรูปหน่อยไหมที่รัก” กาลัญญูเอ่ยถามภูวดลออกมา ทำเอาหญิงสาวเพียงคนเดียวถึงกับมองบน เพราะรู้สึกเหม็นความรักที่ไม่เคยจืดจางของเพื่อนทั้งสองคน“อือ... นายก็มาถ่ายด้วยกันสิ” เมื่อได้รับคำเชิญชวน กาลัญญูก็ยิ้มกว้างออกมา“เอามือถือมาสิ เดี๋ยวฉันจะถ่ายให้”คุณหมอสาวบอกคู่รักตรงหน้า มีหรือที่กาลัญญูจะปฏิเสธ ชายหนุ่มรีบส่งสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตนให้กับเพื่อนสาวทันที“หวานกันไม่เปลี่ยนเลยนะ”เสียงหวานที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังของคุณหมอสาว พลอยยืนนิ่งตัวเกร็งเพราะเธอนั้นจำได้ดีว่าเสียงที่เพิ่งได้ยินนี้เป็นเสียงของใ
ห้าปีต่อมาณ สนามบินสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสองคนกำลังเดินลากกระเป๋าเดินออกมาจากทางออกของผู้โดยสารขาเข้า ตลอดทางมีสายตาของสาวๆ ที่จับจ้องมองไปยังชายหนุ่มทั้งสองแทบจะไม่ยอมละสายตา คนที่สูงกว่าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ส่วนคนที่ต่ำกว่าอีกฝ่ายประมาณห้าเซนติเมตรสวมใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ผิวของทั้งสองหนุ่มขาวเนียนน่ามอง“เป็นคนรักกันแน่ ๆ เลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางมาในเที่ยวบินเดียวกันกับสองหนุ่มกระซิบบอกเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกัน“ใช่ย่ะ... ตอนอยู่ที่ห้องรับรองของผู้โดยสาร ฉันเห็นผู้ชายตัวสูงๆ น่ะคอยดูแลหนุ่มหล่อคนข้างๆ เป็นอย่างดีจนน่าอิจฉาเลยล่ะ”“น่าอิจฉาเนอะ เดี๋ยวนี้น่ะไม่ว่าจะเพศไหน ถ้ารักกันด้วยใจแล้วมันก็ดูสวยงามเสมอ” เพื่อนข้างๆ พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งสองสาวจะพากันเดินแยกไปอีกทาง เพราะทั้งคู่จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถของสนามบิน“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยค่ะ ใครก็ได้ช่วยที” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนดังขึ้นที่บริเวณจุดนัดพบ ซึ่งสองหนุ่มเดินไปถึงตรงนั้นพอดี สัญชาตญาณความเป็นหมอทำให้ทั้งสองไม่รอช้า รีบพากันวิ่งเข้าไปดูอาการทันที“ขอโทษครับ ผมเป็นหมอ ให้ผมตรวจดูอาการของผู้ป่วย
ระหว่างทางมักจะมีอุปสรรคเพื่อมาทดสอบชีวิตคนเรามากมาย ภูวดลและกาลัญญูเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ปีนี้เป็นปีที่ทั้งสองหนุ่มได้ออกมาเรียนภาคชั้นคลินิก และต้องแยกกันอยู่คนละโรงพยาบาล ภูวดลได้อยู่ในโรงพยาบาลรัฐใจกลางกรุงฯ ส่วนกาลัญญูนั้นได้ลงไปประจำอยู่ที่โรงพยาบาลนอกกรุงเทพฯ ดีที่มีเพื่อนสาวในกลุ่มไปด้วยกัน“เวลาพวกพี่สอนให้ฟังและตั้งใจดู ดูสิ...พอถึงเวลาต้องลงมือทำจริงๆ แล้วก็ทำไม่ได้” รุ่นพี่ปีหกบ่นรุ่นน้องปีสี่ออกมา เมื่ออีกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ตามที่บอก“รุ่นพี่...อย่าดุน้องเลยค่ะ แรกๆ มันก็มีมือสั่นเป็นธรรมดา” รุ่นพี่ปีห้าขัดขึ้นมา แม้จะรู้สึกชินกับการที่พวกรุ่นพี่ชอบตำหนิ เพราะตนก็เคยผ่านจุดนี้มาเหมือนกัน แต่ก็อดที่จะสงสารรุ่นน้องไม่ได้“แต่ถ้าฟังกันแล้วตั้งใจดูก็จะทำไม่ผิดใช่ไหมล่ะ” รุ่นพี่ปีหกบอกออกมา เพราะที่เขาบ่นก็เพื่อให้รุ่นน้องมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ให้มากขึ้น และใส่ใจผู้ป่วยให้มากขึ้น“ผมขอโทษครับ ครั้งหน้าผมจะทำให้ดีกว่านี้ครับ”หนุ่มนักศึกษาแพทย์ปีสี่ขอโทษรุ่นพี่ออกมา สีหน้าของเขาก็สลดลง ภูวดลยกมือขึ้นไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่ภูวดลก็ใจดีกับเพื่อนในคณะเสม
“มะ…ไม่นะ พะ…พี่ไม่ได้ลืม” เสียงทุ้มร้องดังออกมาทั้งๆ ที่เปลือกตายังคงปิดอยู่ เม็ดเหงื่อผุดออกมาตามไรผมและหน้าผาก จนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่สะดุ้งตื่น“ที่รัก…เป็นอะไรไปหืม…” กาลัญญูรีบปลุกคนข้างกายพร้อมกับเอ่ยถามออกมา ใบหน้าของภูวดลชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายก็กระสับกระส่ายไปมา“มะ...ไม่ เชื่อพี่นะ พี่…” คนที่กำลังฝันร้ายแผดเสียงร้องออกมา“แบม!!! เป็นอะไรไป หืม…” กาลัญญูใจคอไม่ดีรีบเรียกชื่อแล้วปลุกคนรักหนุ่ม“หะ…หืม อา… ฝันอีกแล้ว” ภูวดลสะดุ้งตื่นเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันทีพลางพึมพำออกมา“ฝันร้ายเหรอ” คนข้างๆ เอ่ยถาม“อือ…ฝันถึงน้องวิน” กาลัญญูขมวดคิ้ว เพราะภูวดลยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด“ก็คนที่ทำให้ฉันอยากเป็นศัลยแพทย์หัวใจยังไงล่ะ น้องเสียไปเกือบสิบปีแล้วล่ะ ตอนนั้นฉันยังเด็กเหมือนกัน ตามคุณแม่ไปทำงานที่โรงพยาบาล น้องวินป่วยเป็นโรคหัวใจ เป็นเพราะตอนนั้นแพทย์เฉพาะทางโรคนี้มีน้อย ทำให้น้องวินได้รับการรักษาไม่ทัน จึงจากไป….”กาลัญญูพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ เมื่อได้ฟังถึงเรื่องราวของคนที่ทำให้ภูวดลมีความมุ่งมั่นอยากจะเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ก่อนที่เขาจะดึงคนรักหนุ่มเข้ามาในอ้อมก
วันนี้เป็นวันที่ภูวดลนัดพบปะในกลุ่มของเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย โดยมีกฎว่าแต่ละคนต้องพาแฟนมาให้เพื่อนได้ชื่นชมด้วย และแน่นอนว่าภูวดลนั้นกำลังจะพากาลัญญูไปเปิดตัวกับเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นแฟนของเขา แม้เจนจิราจะรู้ความจริงอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับอนุพงษ์ ตอนแรกที่ภูวดลไปถึงร้านอาหารที่นัดเจอกันพร้อมกับกาลัญญู อนุพงษ์ก็เอาแต่มองหาคนข้างกายของทั้งสองหนุ่ม“ไหนล่ะแบม...กราฟ แฟนของพวกนาย อย่าบอกนะว่าหลอกให้ฉันพาแฟนมาด้วย”“ก็ยืนอยู่ด้วยกันนี่ไง” กาลัญญูเป็นฝ่ายตอบออกมาแทน คนที่กำลังมองหาคนข้างกายของสองหนุ่มถึงกับตาเบิกโพลง“มะ…หมายความว่าไง ยะ…อย่าบอกนะว่านายสองคน” อนุพงษ์ยังพูดไม่ทันจบสองหนุ่มก็จับมือกันแล้วชูขึ้นให้เขาดู“ห๊า… น่ะนี่นายสองคนชอบกันเองเหรอ” คนที่เพิ่งจะรู้ความจริงร้องอุทานแล้วรีบถามเพื่อนทั้งสองออกมา“อือ…แล้วนี่จีน่ายังไม่มาอีกเหรอ”กาลัญญูตอบสั้นๆ แล้วจึงเอ่ยถามอนุพงษ์ หลังจากที่เขาและภูวดลนั่งลงตรงข้ามสองหนุ่มสาวเรียบร้อยแล้ว แฟนสาวของอนุพงษ์ได้แต่นึกเสียดายแทนสาวๆ ที่สองหนุ่มหล่อ หน้าตาดีตรงหน้ากลับมาคบหากันเอง“ยัง…อ้อ นี่น้องแพร แฟนของฉันเอง” หญิงสา