ประตูรั้วหน้าเรือนซานเหอย่วนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว
อู๋หมิงพุ่งตัวเร่งฝีเท้าก้าวฉับๆ เข้ามาปานอัสนีบาต กวาดสายตามองหาไป๋เล่อชิงอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากเมื่อครู่เพราะเขากำลังจะออกไปสืบหาความจริงบางอย่างให้สิ้นสงสัยพอดี นับว่าโชคดีตอนที่เดินผ่านศาลาจวนชั้นนอกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูด้านหน้าก็พลันเห็นเจาจวิ้นกับสตรีผู้นั้นคุยกัน เขาจึงแอบฟัง
หลังจากนั้น อู๋หมิงก็วิ่งเร็วยิ่งกว่าเจาจวิ้นมากนัก ไม่นานก็ถึงเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้นแล้ว
เมื่อมาถึงก็ไม่รีรอ ถือวิสาสะพุ่งเข้าเรือนของสหายอย่างอุกอาจ
ครั้นตามหาอยู่นานเดินวนเวียนในเรือนหลายรอบกลับพบว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน
อู๋หมิงขมวดคิ้ววูบ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ เดินตามหาอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ละความพยายาม
กระนั้นกลับยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของไป๋เล่อชิง...
“นางคงหนีท่านไปจริงๆ แล้ว”
จู่ๆ เสียงนี้ก็ดังขึ้นที่ริมหู อู๋หมิงหันขวับ เห็นเป็นใบหน้าขาวผ่องของเจาจวิ้น
“หลิวหนิง อย่าพูดจาซี้ซั้ว”
เจาจวิ้นยู่ปากร้องฮึ เอ่ยอย่างหมั่นไส้
“ข้าอุตส่าห์บอกท่านตั้งนานแล้วว่าให้มาที่เรือนนี้ มาหานาง แต่ท่านก็เล่นตัวอยู่ได้”
อู๋หมิงเสียงเครียด “ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเป็นภรรยา”
“อ้อ...ตอนนี้รู้แล้ว?” เจาจวิ้นเลิกคิ้วสูง “เมื่อครู่นี้ ท่านคงมาแอบฟังพวกข้าคุยกันกระมัง เสียมารยาทนะเราน่ะ”
อู๋หมิงพยักหน้ายอมรับอย่างเย็นชา ขณะตามหาไป๋เล่อชิงต่อไป
เดินเข้าประตูนั้นออกประตูนี้ แต่ก็ไม่พบคนเสียที
จังหวะนั้นโจวเจินเดินเข้ามาขวางด้านหน้าอู๋หมิง นางต้องปกป้องสหายอย่างเต็มที่
“หยุด! ห้ามตามหา ข้าไม่ให้ท่านเจอชิงชิงแน่”
อู๋หมิงแค่นเสียงต่ำ “หลบไป”
โจวเจินเชิดคางยืนเป็นกำแพงหิน “ไม่หลบ”
สีหน้าอู๋หมิงเย็นเยือกขั้นสุด “หลบ!”
แต่โจวเจินยังคงไม่รู้สึกรู้สา นางตะเบ็งต่อเนื่องว่า “สามีชั่วร้ายเช่นท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวชิงชิง”
เป็นเจาจวิ้นที่จับกระแสสังหารจากกายอู๋หมิงได้ รีบพุ่งตัวเข้ามาดึงโจวเจิน “ชู่ว์ อาโยวๆ หลบมา!”
“พี่หนิง ท่านก็เลิกดวงตามืดบอดเสียที ผู้ชายไม่ดี ท่านดูไม่ออกหรือไร ภรรยาเก่าต้องตกหน้าผาเกือบตาย เพราะเขา พี่หนิงเองภายหน้าก็ไม่แน่ว่าอาจต้องช้ำใจเพราะเขาเช่นกันนะ” โจวเจินหันมาบอกอย่างอ่อนใจ
แต่เจาจวิ้นอ่อนใจยิ่งกว่า เขาว่า “ข้าไม่ช้ำใจหรอก สบายมาก เจ้าอย่าวู่วามเลยนะ ข้าขอร้อง”
โจวเจินเบิกตา “พี่หนิง! เหตุใดท่านดื้อรั้นเช่นนี้”
อู๋หมิงรำคาญสองคนที่กำลังพล่ามเสียเวลายิ่งนักจึงรีบเบี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อเดินหาไป๋เล่อชิงอย่างร้อนใจ
โจวเจินไหวตัวทัน รีบหมุนตัวมาสกัดเอาไว้อีกครั้ง ดาบถูกดึงออกจากฝักดังชริ้ง สมกับการเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้ผดุงคุณธรรมให้อิสตรีทั่วหล้าอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร
เจาจวิ้นรู้สึกอยากจะบ้า
“อาโยว เก็บดาบ! อย่าทำแบบนี้”
โจวเจินหันมา “ไม่ ข้าจะปกป้องพี่หนิงด้วย” ว่าแล้วก็กันตัวเจาจวิ้นไว้ด้านหลังในท่วงท่าปกป้องเต็มที่ ก่อนหันไปด่าอู๋หมิงต่อ “ผู้ชายใจร้าย มาสู้กันให้รู้แพ้ชนะ เดิมพันกับข้า หากเจ้าแพ้ก็เลิกตอแยชิงชิงกับพี่หนิงซะ”
อู๋หมิงนิ่วหน้า ถามเสียงขรึม “หากข้าชนะล่ะ”
ผู้ท้าประลองเชิดหน้าร้องเฮอะ “ท่านไม่ชนะหรอก เพราะข้าไม่มีทางแพ้” กระชับดาบในมือขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างอหังการ “เข้ามา!”
ประตูรั้วหน้าเรือนซานเหอย่วนถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วอู๋หมิงพุ่งตัวเร่งฝีเท้าก้าวฉับๆ เข้ามาปานอัสนีบาต กวาดสายตามองหาไป๋เล่อชิงอย่างบ้าคลั่งเนื่องจากเมื่อครู่เพราะเขากำลังจะออกไปสืบหาความจริงบางอย่างให้สิ้นสงสัยพอดี นับว่าโชคดีตอนที่เดินผ่านศาลาจวนชั้นนอกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากประตูด้านหน้าก็พลันเห็นเจาจวิ้นกับสตรีผู้นั้นคุยกัน เขาจึงแอบฟังหลังจากนั้น อู๋หมิงก็วิ่งเร็วยิ่งกว่าเจาจวิ้นมากนัก ไม่นานก็ถึงเรือนซานเหอย่วนของเจาจวิ้นแล้ว เมื่อมาถึงก็ไม่รีรอ ถือวิสาสะพุ่งเข้าเรือนของสหายอย่างอุกอาจ ครั้นตามหาอยู่นานเดินวนเวียนในเรือนหลายรอบกลับพบว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนอู๋หมิงขมวดคิ้ววูบ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทุกขณะ เดินตามหาอยู่เช่นนั้นอย่างไม่ละความพยายาม กระนั้นกลับยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของไป๋เล่อชิง...“นางคงหนีท่านไปจริงๆ แล้ว”จู่ๆ เสียงนี้ก็ดังขึ้นที่ริมหู อู๋หมิงหันขวับ เห็นเป็นใบหน้าขาวผ่องของเจาจวิ้น “หลิวหนิง อย่าพูดจาซี้ซั้ว”เจาจวิ้นยู่ปากร้องฮึ เอ่ยอย่างหมั่นไส้ “ข้าอุตส่าห์บอกท่านตั้งนานแล้วว่าให้มาที่เรือนนี้ มาหานาง แต่ท่านก็เล่นตัวอยู่ได้”อู๋หมิงเสียงเครียด “ตอนนั้นข้าไม่รู
ชั่วครู่เท่านั้น เจาจวิ้นในชุดสีชมพูดอกบัวบานแต่งหน้าสะสวยเฉกปกติก็เดินแกมวิ่งมาอย่างเร่งรีบจนผิดปกติวิสัย“อาโยว ข้ากำลังจะไปหาพอดี เหตุใดจู่ๆ มาพบข้าถึงที่นี่เล่า? เกิดเรื่องที่เรือนหรือ?” ดูเถิด พี่สาวหลิวหนิงเป็นห่วงเป็นใยผู้คนถึงเพียงนี้ โจวเจินให้รู้สึกประทับใจเหลือเกิน สตรีเช่นนี้จะแย่งชิงสามีคนอื่นได้ยังไง?ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่แท้!แต่เวลานี้โจวเจินจะมัวปลาบปลื้มหรือซึ้งใจไม่ได้ เพราะพี่หลิวหนิงน่าห่วงใยยิ่งกว่าใคร“พี่หญิงอย่ากังวล ไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้นกับข้า แต่ว่า กำลังเกิดขึ้นกับพี่หญิงเองต่างหาก”“หา!” เจาจวิ้นกรีดนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างไม่ลืมจริต แม้จะงุนงงอย่างหนัก“ข้าหรือ? กำลังมีเรื่อง?” เขาสบายดีนะ สบายมาก ช่วงนี้ไม่มีใครมาลอบฆ่า งานการก็ราบรื่นดีเยี่ยมโจวเจินกวักมือ “ใช่! มาๆ นั่งลงก่อน ข้ามีความจริงที่เลวร้ายมากๆจะบอกกับพี่หญิง”“อะไรหรือ?” เจาจวิ้นเบิกตาตั้งใจฟังยิ่งโจวเจินจับมือเจาจวิ้นมากุม รู้สึกกลุ้มใจแทนจริงๆ “คือ... พี่หญิงตั้งใจฟังดีๆนะ”“อืม” พยักหน้าอย่างตื่นเต้นโจวเจินกลั้นใจ “พี่หนิง ข้ารู้แล้วว่าพี่มีสามี”เจาจวิ้นร้อง “อ้อ” นึกว่าเร
ผู้หญิงของสามีเจ้าถูกไหม”“ใช่” ไป๋เล่อชิงพยักหน้า แต่โจวเจินส่ายหน้าระรัว “ไม่ใช่นะ พี่หนิงของข้านิสัยดีจะตาย นางไม่มีทางเป็นหญิงแพศยาเช่นนั้น” นิ่วหน้าชั่งใจนิ่งคิดครู่หนึ่งก็ฟันธงหนักแน่นอีกว่า “ใช่ นางต้องไม่ใช่คนผิด ความจริงคนที่ผิดต้องเป็นผู้ชายสิ สามีเจ้านั่นแหละผิดเต็มๆ ไม่ใช่พี่หนิงแน่ๆ” เรื่องแนวนี้ในสมการของโจวเจินผู้ชายผิดเสมอ“ข้าจะไปช่วยพี่หนิงออกจากผู้ชายใจร้าย” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันใด ใจร้อนวู่วามอย่างมากไป๋เล่อชิงมีหรือจะวิ่งตามทันนางพูดก็ไม่ทัน ห้ามยิ่งไม่ทัน ทำได้เพียงนิ่งสงบ แต่ในใจกลับสับสนว้าวุ่น คิดสิ่งใดไม่ออกทั้งนั้นฝ่ายโจวเจินเดิมทีนางไม่เคยมาเยือนถึงจวนใหญ่อันเป็นสถานที่ทำงานของพี่หญิงหลิวหนิง แต่วันนี้อดไม่ได้จริงๆ เมื่อมาถึงก็เห็นทหารยามหน้าโหดตรงประตูสองคน “พี่ชายรูปงาม ข้าขอพบคนผู้หนึ่งได้หรือไม่?”ทหารยามหน้าดำผิวคล้ำทั้งสองหันมองหน้ากัน ต่างส่งสายตาว่า ‘ พี่ชายรูปงาม’ หมายถึงข้าแน่ๆไม่ใช่เจ้า เถียงกันในใจอยู่แวบเดียว ทหารคนทางซ้ายไวกว่า รีบเดินขึ้นหน้าถามนางว่า “เจ้าเป็นใคร ชื่อแซ่อะไร จงบอกมาให้ครบ หาไม่
หลังจากวันนั้น “ชิงชิง ข้าอกหักช้ำรักยิ่งนัก รู้สึกอยากตาย...” โจวเจินพร่ำบ่นโวยวายโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าคนฟังอยากตายยิ่งกว่าไป๋เล่อชิงนิ่งฟังโจวเจินด้วยท่าทีนิ่งขรึมมิเอ่ยวาจา เป็นเช่นนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเตี๊ยมไหลฟู่เมื่อวันก่อนแล้ว“เฮ้อ...” ไป๋เล่อชิงถอนหายใจคำโต นั่งคอตกห่อเหี่ยวมากในที่สุดโจวเจินก็เริ่มรับรู้แล้วว่าสหายผิดปกติ เพราะทั้งเรือนมีเพียงเสียงของนางคนเดียวที่พูดไม่หยุด ส่วนไป๋เล่อชิงก็ถอนหายใจอย่างเดียวไม่พูดอะไรสักคำ“ชิงชิง เจ้าเป็นอะไรไป?” โจวเจินลืมเรื่องตัวเอง “มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้าตอนที่ข้ากำลังหมกมุ่นเรื่องพี่หนิงรึ”ไป๋เล่อชิงเงียบงันครู่ใหญ่ ครุ่นคิดหนักอกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่? ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงถอนหายใจ เงียบปากต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการเช่นนี้โจวเจินก็ยิ่งสงสัย และมากกว่าความสงสัยก็คือความรู้สึกผิด “เอาล่ะชิงชิง ข้าผิดเองที่หมกมุ่นเรื่องตัวเองมากไป เจ้ารีบบอกมาเถอะ เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหน? ไปเจอเรื่องที่ยากลำบากมาหรือเปล่า? ให้ข้าช่วยเถิด”โจวเจินเป็นคนที่ดีมาก ดีจริงๆ ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่งเนิ่นนานให้หลัง ไป๋เล่อชิงจ
“พวกท่านสามีภรรยาทะนุถนอมกันปานนี้เชียว” องค์ชายหกเอ่ยปากหยอกเย้า “ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”“พวกเขารักกันมาก มิอาจห่างกันแม้ครึ่งก้าว” ประโยคนี้เป็นเว่ยซินหยูที่กล่าวเสริมอย่างหมั่นไส้ ประชดประชันเต็มที่ พามาด้วยทำไมหนักหนา ข้าหาโอกาสอยู่กับคุณชายอู๋แบบสองต่อสองไม่ได้เสียที น่ารำคาญชะมัด หึ!สายตาชิงชังปานลูกไฟเช่นนั้น เจาจวิ้นย่อมเข้าใจ เจ้านั่นแหละจะตามพ่อมาด้วยทำไมหนักหนา ลำบากข้าต้องตามมาเป็นก้างขวางคอประไร ฮึ!เจาจวิ้นกับเว่ยซินหยูลอบจ้องตากันอย่างร้อนแรงองค์หญิงผิงหยวนที่ยามนี้เป็นเว่ยอู่เลิกคิ้วมองนางเองที่มาวันนี้ก็มีจุดประสงค์โปรยเสน่ห์ใส่บุรุษที่พี่ชายหมายตาพาเข้าเป็นพรรคพวกชิงอำนาจหนุนหลัง จึงช่วยเว่ยซินหยูจ้องตาภรรยาของอู๋หมิงอีกแรง สองต่อหนึ่งเลยทีเดียว!วันนี้เจาจวิ้นเหน็ดเหนื่อยยิ่งปวดตามากด้วยนอกจากสายตาเว่ยซินหยูกับองค์หญิงผิงหยวน ทางห้องอาหารอีกฝั่งที่อยู่ติดกันก็มีสายตาอีกคู่จ้องมองเจาจวิ้นอยู่สายตาคู่นั้นร้อนแรงมากเช่นกันนับว่าเป็นเหตุบังเอิญอย่างยิ่งยวดที่วันนี้โจวเจินกับไป๋เล่อชิงเองก็มานั่งกินอาหารที่นี่ มิหนำซ้ำยังได้นั่งห้องเดิมอีกด้วย แต่เพิ่
ในห้องอาหารที่มีบรรยากาศสนทนาเพื่อผูกมิตร อู๋หมิงกำลังสนทนากับเว่ยซุนและองค์ชายหกที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นเว่ยหลงชายหนุ่มพูดคุยกับเว่ยซุนและองค์ชายหกผิงหลงอย่างระมัดระวังวาจา รักษาท่าทีตลอดเวลา ทว่ากลับมิได้เว้นระยะห่างเหินแต่อย่างใด อีกทั้ง ยังแสดงออกให้เห็นว่าซ่อนความละโมบหลอกง่ายเอาไว้ได้ไม่มิด แค่เผยเพียงความประจบประแจงออกมาเล็กน้อยอู๋หมิงประสานหมัดคารวะ “คุณชายเว่ย ข้าอู๋หมิง ยินดีที่ได้พบหน้าขอรับ” “ข้าเว่ยหลงยินดีที่ได้รู้จักคุณชายอู๋เช่นกัน” ผู้พูดประสานหมัดคำนับตอบอย่างมีมารยาทภายนอกขององค์ชายหกเป็นสุภาพชนอ่อนโยน หากแต่แท้จริงกลับมีนิสัยเหิมเกริมเหี้ยมโหดและเลือดเย็น ภายใต้รอยยิ้มแสนสุภาพเต็มไปด้วยจิตใจทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง และแน่นอนว่าไม่เคยเผยออกมาให้ใครยลได้ง่ายๆเขายิ้มละมุนและมีท่าทีถ่อมตนขณะเอ่ยกับอู๋หมิง“เว่ยหลงผู้นี้นับได้ว่ามีวาสนายิ่งนัก พอได้พบหน้า ถึงได้รู้ว่าเหตุใดคุณชายอู๋เป็นที่ไว้วางพระทัยท่านอ๋อง”“คุณชายเว่ยกล่าวหนักไปแล้วขอรับ”“อ้อ ข้ามีของขวัญพบหน้า” องค์ชายหกกล่าวพลางยื่นกล่องไม้ให้อู๋หมิง เมื่อเปิดออกจึงเห็นตำลึงทองวางเรียงอย่างงามอร่ามนับสิบก้อนเว