ลู่หว่านเองก็เข้าใจอารมณ์แรกรักนั้นจึงกล่าว “แค่ยิ้มเองนะ หากเขาหัวเราะนับว่าหล่อเหลากว่านี้มาก”
ไป๋เล่อชิงพลันตาโต “พี่สะใภ้เคยเห็นหรือ?”
“แน่นอน ตอนที่เฉิงอวี่ของข้าร่วมร่ำสุรากับอู๋หมิง พวกเขามักมีเรื่องเล่าขบขันมากมาย ข้าเองก็แอบเห็นสามียามที่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี ช่างน่ามองนัก แม้อู๋หมิงจะดูดี แต่ไม่มีใครหล่อเหลาเท่าเฉิงอวี่ของข้าหรอกนะ”
ลู่หว่านยิ้มหวานดวงตาพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงสามี
เฉิงเอินถึงขั้นส่ายหน้าทำเสียงเอือมระอา “พี่สะใภ้น่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว”
“เจ้า!” ลู่หว่านหน้าม้านตีไหล่น้องสามีเบาๆทีหนึ่งอย่างขวยเขิน
ล้อเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันเลือกซื้อผ้าอย่างตั้งใจ มีเพียงไป๋เล่อชิงที่แอบมองอู๋หมิงอยู่บ่อยครั้ง
นี่คือการซื้อของที่นางรู้สึกอุ่นใจที่สุดเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดภัยอย่างมาก
ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งตีปะทุขึ้นกลางอกจนทะลักล้นใจ นั่นคือความรู้สึกอันใดคงไม่ต้องสงสัยนานนัก
“ชิงชิง มิใช่ว่าแอบชอบสามีตัวเองแล้วกระมัง?” เฉิงเอินกระทุ้งแขนถาม
ไป๋เล่อชิงเขินอายจะแย่แต่นางก็ยิ้มแล้วยอมรับว่า “ใช่ ไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“โอ้! ช่างกล้า”
“ข้ากล้ายิ่งกว่านี้ ตอนก่อนแต่งปะไร”
“โอว นั่นสินะ ข้าลืมได้อย่างไร เจ้าน่ะ ไร้ยางอาย” ทำเอาเฉิงเอินหยอกเอินไม่หยุด ไป๋เล่อชิงเองก็ยิ้มไม่หุบ
ช่างเป็นชีวิตเรียบง่ายที่แสนสงบสุขยิ่งนัก
ไป๋เล่อชิงปรารถนาชีวิตเช่นนี้ตลอดไป...
ทางฝั่งอู๋หมิง
นั่งจิบชาครู่หนึ่งพลันรับรู้ได้ถึงผู้มาเยือน เขาหันมองนิ่งๆ เห็นบุรุษร่างใหญ่วัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน รูปร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม กลิ่นอายรอบกายไม่ธรรมดา
อีกฝ่ายเดินเข้ามาพยักหน้าให้ ก่อนนั่งลงตรงข้ามที่โต๊ะเดียวกัน
“คุณชายอู๋”
“ท่านอาหยาง ไม่เจอกันนาน สบายดีกระมัง”
ชายวัยกลางคนส่ายหน้ารินชาให้ตัวเองแล้วจิบก่อนกล่าวเสียงเย็น “หากสบายดีข้าคงไม่มา”
อู๋หมิงเลิกคิ้วถาม “อย่าบอกว่ามีเรื่อง?”
ชายคนเดิมกล่าวอย่างเกรงใจแต่ฉะฉาน “ใช่ เร่งด่วนยิ่ง ส่วนเจ้า ย่อมหมดเวลาก้มหน้า ทำตัวจืดจาง ไม่เป็นจุดสนใจได้แล้ว”
ร้านอาภรณ์แห่งนี้มีทั้งผ้าพับและเสื้อผ้าที่ตัดเย็บสำเร็จรูป ไป๋เล่อชิงกับเฉิงเอินเลือกชุดที่ตัดแล้วคนละชุดและเลือกผ้าพับไปตัดให้คนที่บ้าน ส่วนลู่หว่านนางชอบออกแบบและตัดเย็บด้วยตัวเองจึงเลือกผ้าพับทั้งหมด
ทั้งสามได้สิ่งที่ถูกใจแล้วก็เตรียมตัวออกจากร้าน ทว่าไป๋เล่อชิงที่ทำท่าจะเดินเข้าไปหาสามีกลับเห็นเขามีแขกมาเยือนและกำลังนั่งคุยกัน
นางหันไปถามเฉิงเอิน “ใครหรือ เจ้ารู้จักหรือไม่?”
เฉิงเอินส่ายหน้า “ไม่” หันไปถามพี่สะใภ้ “ท่านเป็นผู้อาวุโสที่สุด คงรู้จักกระมัง ใช่หนึ่งในสหายพี่ชายหรือไม่”
ลู่หว่านเองก็ไม่รู้ “ข้ามิได้กว้างขวางขนาดนั้น”
พวกนางจึงมุ่นคิ้ว ไป๋เล่อชิงกับเฉิงเอินอายุสิบหก ในขณะที่ลู่หว่านอายุย่างสิบเก้ายังไม่ถึงยี่สิบปี นับเป็นดรุณีไม่ต่างกัน หาใช่ฮูหยินผู้โชกโชนงานเลี้ยงรอบเมืองไม่
“ท่าทางคงเจรจากิจธุระสำคัญ ข้ายังไม่กลับนะ” ไป๋เล่อชิงว่า
เฉิงเอินพยักหน้า “ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้”
“ข้าเองก็ไม่รีบ” ลู่หว่านยังไม่สิ้นสงสัยจึงถามเบาๆ “แต่ชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ข้ามองแล้วไม่ใช่ท่านลุงสามัญดาษดื่นทั่วไปแน่นอน เหมือนขุนนางใหญ่หรือผู้มียศศักดิ์ทางทหารอันใดเทือกนั้นมากกว่า”
ทั้งสามหรี่ตาพินิจพิเคราะห์ตามอย่างเห็นด้วย
จังหวะเดียวกันก็ได้ยินฮูหยินสูงวัยผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยขึ้นกับสหายที่มาด้วยกันว่า
“นั่น คนผู้นั้น รองแม่ทัพหยางมิใช่หรือไร?”
ฮูหยินอีกคนตอบ “อืม เห็นจะใช่”
“แล้วนั่นบุตรชายของหญิงหม้ายนามว่าซืออวิ๋น บ้านอยู่ตรอกชิงหยวนมิใช่หรือ?”
“ใช่ แต่ว่าขุนนางระดับสูงอย่างรองแม่ทัพหยาง ไฉนมานั่งคุยกับคุณชายอู๋ได้ ไม่น่าเชื่อ!”
ไป๋เล่อชิงหูผึ่ง
เฉิงเอินกับลู่หว่านก็เช่นกัน ทั้งสองพลันหันมาเย้าไป๋เล่อชิง “สามีเจ้าไม่ธรรมดาอีกแล้ว รู้จักขุนนางระดับนี้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
ทุกคนตื่นเต้นระคนยินดีกับไป๋เล่อชิง ทว่านางกลับไม่รู้สึกดีเอาเสียเลย
ในใจลึกๆ รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกแก่นางว่า การคบค้ากับผู้นำระดับสูงอาจนำมาซึ่งความวุ่นวายที่ยากปฏิเสธได้ในภายหน้า
หรือชีวิตเรียบง่ายสงบสุขของนางใกล้หมดอายุขัย
ที่หอน้ำชา เฉิงเอินปลอบโยนไป๋เล่อชิงที่นั่งจิบชาทั้งน้ำตา“เอาเถิดน่า หน้าที่ของกุนซือไม่ต้องจับดาบออกรบ อย่างน้อยสามีของเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินไป”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังเศร้ามิคลาย “หากข้ายังไม่ชอบอู๋หมิงก็คงดี ไหนเลยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ปานนี้ เหงามากด้วย”ครานี้เป็นเฉิงเอินบ้างที่พยักหน้า ถอนหายใจดังเฮ้อ...รู้สึกทั้งเหงาแล้วก็เศร้าตามสหายจนห่อเหี่ยวไปหมดหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งปี“เวลาล่วงเลยจนยามนี้แล้วแท้ๆ ยังร้องไห้อยู่อีก” เฉิงเอินถามไป๋เล่อชิงทันทีที่เจอหน้าแล้วได้เห็นดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำมีน้ำเอ่อคลอเจียนหยาดหยดลงมา นางรีบรินน้ำชาแล้วสั่ง “นั่งๆ อ่ะ จิบชาก่อน ค่อยๆ พูดจา”ไป๋เล่อชิงนั่งลงตามการฉุดมือของเฉิงเอินแล้วว่า “ข่าวคราวล่าสุดที่มากับจดหมายของหลานชายแม่สามี” นางสูดจมูกกลั้นน้ำตาแล้วว่าต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องใด”“เรื่องของอู๋หมิงปะไร ทุกครั้งก็เป็นเช่นนั้น” เฉิงเอินนิ่วหน้ากล่าว ครั้งก่อนได้ฟังว่าอู๋หมิงสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนอ๋องอย่างยิ่ง ต่อมาได้ฟังว่าอู๋หมิงต้องเดินทางไปที่ใดมิอาจทราบ เร้นกายไปไม่นานก็กลับมา
ไป๋เล่อชิงห่อเหี่ยวถึงขั้นพร่างพรูพร่ำพรรณนาเปลืองคำมากมายจนหายใจไม่ทันกระนั้นวาจาต่อมาของอู๋หมิงพลันทำให้ไป๋เล่อชิงหยุดพร่ำเพ้อในใจ“ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจ”ไป๋เล่อชิงก้มหน้าหลุบตา ไม่อยากเข้าใจสักนิด หึ! แต่ปากบอก “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่านพี่ที่สุด” “ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”ไป๋เล่อชิงชะงักเล็กน้อย “ช่ะ” เงยหน้ามองเขา “ชอบหรือ?”“อืม”นางเบิกตา เขาชอบนาง อา...“แล้วข้าเป็นเช่นไรหรือ?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้“ถ่อมตัวเรียบง่ายและเชื่อฟัง ไม่ฟูมฟายเหนี่ยวรั้ง”สิ้นวาจาชื่นชมจากสามี คนเป็นภรรยาก็ยิ้มแห้ง หลุบตามิกล้ามองเขาตรงๆ นางกัดฟันกลั้นใจเอาไว้ปะไร“มาเถอะเข้าห้องกัน คืนนี้ข้าอยากอำลาเจ้าด้วยดี”ความหมายอันลึกซึ้งนี้ล้วนรู้ดีระหว่างสามีภรรยา ทำเอาพวงแก้มไป๋เล่อชิงแดงซ่าน ตัวเกร็งแข็งค้างทันใดอู๋หมิงยื่นมือ “ราตรียาวนาน แต่เวลาไม่รอใคร มัวชักช้าอยู่ไย”“หืม?” ไป๋เล่อชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมา ครั้นเงยหน้ามองเขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะ...อู๋หมิงยิ้ม....หญิงสาวกะพริบตา นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มมิน่าเชื่อว่ายามที่ริมฝีปากที่มักปิดสนิทนี้แย้มออก จะทำอู๋หมิงรูปงามชวนมองปานนั้นไป๋เล่อชิงยื่
ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก” เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง” อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้นซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...” ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง เขาลอบชำเลื
ลู่หว่านเองก็เข้าใจอารมณ์แรกรักนั้นจึงกล่าว “แค่ยิ้มเองนะ หากเขาหัวเราะนับว่าหล่อเหลากว่านี้มาก”ไป๋เล่อชิงพลันตาโต “พี่สะใภ้เคยเห็นหรือ?”“แน่นอน ตอนที่เฉิงอวี่ของข้าร่วมร่ำสุรากับอู๋หมิง พวกเขามักมีเรื่องเล่าขบขันมากมาย ข้าเองก็แอบเห็นสามียามที่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี ช่างน่ามองนัก แม้อู๋หมิงจะดูดี แต่ไม่มีใครหล่อเหลาเท่าเฉิงอวี่ของข้าหรอกนะ”ลู่หว่านยิ้มหวานดวงตาพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงสามีเฉิงเอินถึงขั้นส่ายหน้าทำเสียงเอือมระอา “พี่สะใภ้น่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว” “เจ้า!” ลู่หว่านหน้าม้านตีไหล่น้องสามีเบาๆทีหนึ่งอย่างขวยเขินล้อเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันเลือกซื้อผ้าอย่างตั้งใจ มีเพียงไป๋เล่อชิงที่แอบมองอู๋หมิงอยู่บ่อยครั้ง นี่คือการซื้อของที่นางรู้สึกอุ่นใจที่สุดเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งตีปะทุขึ้นกลางอกจนทะลักล้นใจ นั่นคือความรู้สึกอันใดคงไม่ต้องสงสัยนานนัก“ชิงชิง มิใช่ว่าแอบชอบสามีตัวเองแล้วกระมัง?” เฉิงเอินกระทุ้งแขนถามไป๋เล่อชิงเขินอายจะแย่แต่นางก็ยิ้มแล้วยอมรับว่า “ใช่ ไม่ผิดใช่หรือไม่?”“โอ้! ช่างกล้า”“ข้ากล้ายิ่งกว่านี้ ตอนก่อนแต่งปะไร”“โอว นั
รถม้าห่างจากร้านอาภรณ์ราวสามจั้ง[1]ฉางเฟิงค่อยๆ ยื่นถุงเงินส่งให้อู๋หมิงอย่างนอบน้อม พร้อมเอ่ยด้วยสุ้มเสียงกริ่งเกรงว่าอาจจะทำให้คนฟังรำคาญใจ “ลำบากสหายอู๋แล้ว ขอบคุณที่รับงานนี้ของข้า นี่คือเงินตามที่ตกลงไว้”อู๋หมิงรับถุงเงินมาด้วยท่าทีเย็นชาโดยไม่เอ่ยวาจา แค่งานรับจ้างคุ้มกันหญิงชู้ที่กำลังตั้งครรภ์ของฉางเฟิงเดินทางไปคลอดยังเรือนชนบทที่ปลอดภัยไม่นับเป็นอันใด ปกติเขารับจ้างงานคุ้มกันทองคำแพรพรรณล้ำค่าที่โจรป่าคอยจ้องตามปล้นชิงตลอดทาง ลำบากกว่านี้มากมายนักอู๋หมิงเก็บถุงเงินใส่แขนเสื้อทำท่าหันตัวเดินจากไป ฉางเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบรั้งไว้ “สหายอู๋ ช้าก่อน”ชายหนุ่มปรายตามองช้าๆ เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ว่า?”ฉางเฟิงถูมือพูดอย่างเกรงใจว่า “เรื่องงานจ้างนี้ ท่านไม่แพร่งพรายใช่หรือไม่? ชื่อเสียงบัณฑิตดีงามของข้าจะด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด” เพิ่งแต่งงานได้แค่สี่เดือนแท้ๆ กลับมีอนุนอกเรือนที่ใกล้คลอดแล้ว หากผู้คนรู้เข้า แย่แน่!“เจ้าคิดว่า ข้าดูเป็นคนปากมาก?”อู๋หมิงถามสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่น้ำเสียงก็เฉยชา แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทำให้ไม่รู้ว่าเริ่มหงุดหงิดระดับไหน ทำเอาคนถูกถามรีบส่ายหน้า ปฏิเสธ
หญิงสาวกำหมัดเชิดหน้าทำท่าตอกกลับพี่สาวเพื่อปกป้องสามี พลันได้ยินพี่สาวกล่าวเสียงเหยียดเบาๆ แต่เย็นเยียบว่า “จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ ไม่พอใจเสียแล้ว อยากด่าข้าหรือ ต้องการงัดข้อกับข้ากระมัง เอาสิ กล้าหรือไม่? นังลูกอนุ!”ไป๋เล่อชิงสูดลมหายใจกัดฟันกรอดกระซิบกลับว่า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นแค่ลูกภรรยารองนี่นา คงไม่กล้าเสียเวลาอันมีค่ามาคอยหาเรื่องลูกของนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ คนปกติที่มีจิตสำนึก ย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอ เขาไม่ทำกัน ข้าเองก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง จรรยาต่ำ ศีลธรรมไม่มีเสียด้วย ข้าไม่กล้างัดข้อกับคนอย่างพี่หญิงหรอก เพราะมันเสียเวลา และไม่คุ้มค่าอะไรเลย”“เจ้า!” ไป๋หลินหน้าชาทันใด วาจานี้ไยมิใช่ด่านาง ว่าเหมือนพวกไร้อารยะ ทำตัวไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทำตัวถ่อย ชอบเสียเวลาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้ แท้จริงไป๋เล่อชิงไม่ได้ด่าทอถึงขั้นนั้น แต่ไป๋หลินร้อนตัวไปเองและคิดวาจาหยาบคายได้เองตามวิสัย ไป๋หลินกล่าวต่อเสียงเครียด “เดี๋ยวนี้เก่งกาจเหลือเกินนะ ไม่เหมือนตอนอยู่จวนไป๋ หรือเจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วจะทำตัวเหิมเกริมอย่างไรก็ได้ จำไว้ สามีผู้ต่ำต้อยของเจ้า ไม่อาจช่วยเจ้าได้หรอก เอาเวลาไปหาลู่ทางให้ส