ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋
ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก”
เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง”
อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้น
ซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”
“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้
“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...”
ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”
อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง
เขาลอบชำเลืองมองไปทางไป๋เล่อชิงแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งนิ่งไม่ไหวติงนานแล้ว
ฝ่ายไป๋เล่อชิง นางกำลังตะลึงงันขณะฟังแม่สามีกับสามีคุยกันจนทั่วร่างแข็งทื่อกลายเป็นก้อนหินไร้ชีวิต กระทั่งไม่กล้าคีบข้าวใส่ปากเพราะเกรงจะติดคอตาย
นี่นางมองคนผิดไปมากมายปานนี้เชียวหรือ?
เขาที่ดูนิ่งเฉยคล้ายทึมทื่อซื่อบื่อที่แท้เฉลียวฉลาดถึงขนาดถูกทาบทามไปเป็นกุนซือแห่งจอมทัพ
บ้าไปแล้ว
นี่คือเรื่องบ้าที่สุดในใต้หล้า
อา...หรือเป็นเพราะว่าเพื่อหลอกศัตรูให้ตายใจ เขาจึงต้องแสร้งโง่ตลอดเวลาจนกลายเป็นนิสัยติดตัวถึงได้แนบเนียนขนาดนี้
คนฉลาดที่ไม่เผยให้เห็นว่าปราดเปรื่องโดดเด่น นักปราชญ์ที่ไม่ให้ใครเห็นว่าเก่งกาจปานใด เก็บงำความสามารถที่ได้จากการสั่งสมความรู้ล้ำลึกกว้างไกล
ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกกลุ้มใจเหลือจะกล่าว
พยัคฆ์เร้นกายหรือ?
เสือร้ายในคราบแมวขาวเนี่ยนะ!
ที่แท้อู๋หมิงก็เป็นบุรุษเช่นนี้...
ภายนอกเฉื่อยชาพูดจาไม่เก่ง แต่ภายในเคร่งขรึมซ่อนคม ถนอมวาจาบาดลึกเฉียบคมต่างหาก
เป็นกุนซือให้เยี่ยนอ๋องคือการเดินทางไกลอย่างไม่ต้องสงสัย
จอมทัพอยู่แห่งหนใดกุนซือข้างกายก็ต้องอยู่ที่นั่น ติดตามดั่งเงา ตัวติดกันประดุจเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
“สัจจะบุรุษสำคัญ ข้าเคยรับปากท่านอ๋องเอาไว้เมื่อปีก่อน”
ตอนนั้นอู๋หมิงยังไม่เคยเจอไป๋เล่อชิง และที่สำคัญยังไม่ได้แต่งงาน
“มีสัญญาต้องรักษา ตอนนี้ข้าจึงยากปฏิเสธได้ จำเป็นต้องไปจริงๆ”
อู๋หมิงบอกกล่าวต่อไป๋เล่อชิงเมื่อกลับเรือนส่วนตัวและได้อยู่ตามลำพัง หวังเพียงนางเข้าใจ
ไป๋เล่อชิงสองตาสั่นไหว กัดเม้มปากเอาไว้จนแน่นมิให้น้ำตาไหลออกมาประจานความอ่อนแอเอาแต่ใจและไม่เอาไหนของตัวเอง
ไม่ใช่แค่สัจจะวาจาหรอก แต่อนาคตที่รุ่งโรจน์ หนทางยิ่งใหญ่ของบุรุษล้วนสำคัญ สตรีตัวเล็กๆ เช่นนาง มีหรือจะถ่วงรั้งได้
หญิงสาวกลืนก้อนแข็งลงคอ ค่อยๆ ปรับตัวปรับใจ เงยหน้าเอ่ยเสียงใสตรงข้ามกับความนึกคิดในใจ “ท่านพี่อย่ากังวลเกินไปเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายดายยิ่ง ท่านไปทำงาน ข้าภรรยาอยู่ที่นี่ คอยดูแลมารดาแทนท่าน”
เสียดายก็แต่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเพิ่งเริ่มต้น ก่อนนี้อู๋หมิงจืดจางอย่างคนไม่มีตัวตน แต่พอเงาร่างเริ่มก่อตัวเข้มข้นในสายตาและความรู้สึก กลับมีบางสิ่งเข้ามาบั่นทอนให้จางหายเลือนลางอีกครา ความรู้สึกดีแสนดีอันตราตรึงกำลังถักทอก่อตัวขึ้นมาแท้ๆ แต่ไม่ได้ตกผลึกสลักลึก ยิ่งไม่มีเวลาให้สานสัมพันธ์ได้แนบแน่นกว่านี้
สามีภรรยามิอาจต่อเติมความรู้สึกให้ยาวนานราบรื่น เฮ้อ...
ที่หอน้ำชา เฉิงเอินปลอบโยนไป๋เล่อชิงที่นั่งจิบชาทั้งน้ำตา“เอาเถิดน่า หน้าที่ของกุนซือไม่ต้องจับดาบออกรบ อย่างน้อยสามีของเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินไป”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังเศร้ามิคลาย “หากข้ายังไม่ชอบอู๋หมิงก็คงดี ไหนเลยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ปานนี้ เหงามากด้วย”ครานี้เป็นเฉิงเอินบ้างที่พยักหน้า ถอนหายใจดังเฮ้อ...รู้สึกทั้งเหงาแล้วก็เศร้าตามสหายจนห่อเหี่ยวไปหมดหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งปี“เวลาล่วงเลยจนยามนี้แล้วแท้ๆ ยังร้องไห้อยู่อีก” เฉิงเอินถามไป๋เล่อชิงทันทีที่เจอหน้าแล้วได้เห็นดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำมีน้ำเอ่อคลอเจียนหยาดหยดลงมา นางรีบรินน้ำชาแล้วสั่ง “นั่งๆ อ่ะ จิบชาก่อน ค่อยๆ พูดจา”ไป๋เล่อชิงนั่งลงตามการฉุดมือของเฉิงเอินแล้วว่า “ข่าวคราวล่าสุดที่มากับจดหมายของหลานชายแม่สามี” นางสูดจมูกกลั้นน้ำตาแล้วว่าต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องใด”“เรื่องของอู๋หมิงปะไร ทุกครั้งก็เป็นเช่นนั้น” เฉิงเอินนิ่วหน้ากล่าว ครั้งก่อนได้ฟังว่าอู๋หมิงสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนอ๋องอย่างยิ่ง ต่อมาได้ฟังว่าอู๋หมิงต้องเดินทางไปที่ใดมิอาจทราบ เร้นกายไปไม่นานก็กลับมา
ไป๋เล่อชิงห่อเหี่ยวถึงขั้นพร่างพรูพร่ำพรรณนาเปลืองคำมากมายจนหายใจไม่ทันกระนั้นวาจาต่อมาของอู๋หมิงพลันทำให้ไป๋เล่อชิงหยุดพร่ำเพ้อในใจ“ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจ”ไป๋เล่อชิงก้มหน้าหลุบตา ไม่อยากเข้าใจสักนิด หึ! แต่ปากบอก “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่านพี่ที่สุด” “ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”ไป๋เล่อชิงชะงักเล็กน้อย “ช่ะ” เงยหน้ามองเขา “ชอบหรือ?”“อืม”นางเบิกตา เขาชอบนาง อา...“แล้วข้าเป็นเช่นไรหรือ?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้“ถ่อมตัวเรียบง่ายและเชื่อฟัง ไม่ฟูมฟายเหนี่ยวรั้ง”สิ้นวาจาชื่นชมจากสามี คนเป็นภรรยาก็ยิ้มแห้ง หลุบตามิกล้ามองเขาตรงๆ นางกัดฟันกลั้นใจเอาไว้ปะไร“มาเถอะเข้าห้องกัน คืนนี้ข้าอยากอำลาเจ้าด้วยดี”ความหมายอันลึกซึ้งนี้ล้วนรู้ดีระหว่างสามีภรรยา ทำเอาพวงแก้มไป๋เล่อชิงแดงซ่าน ตัวเกร็งแข็งค้างทันใดอู๋หมิงยื่นมือ “ราตรียาวนาน แต่เวลาไม่รอใคร มัวชักช้าอยู่ไย”“หืม?” ไป๋เล่อชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมา ครั้นเงยหน้ามองเขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะ...อู๋หมิงยิ้ม....หญิงสาวกะพริบตา นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มมิน่าเชื่อว่ายามที่ริมฝีปากที่มักปิดสนิทนี้แย้มออก จะทำอู๋หมิงรูปงามชวนมองปานนั้นไป๋เล่อชิงยื่
ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก” เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง” อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้นซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...” ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง เขาลอบชำเลื
ลู่หว่านเองก็เข้าใจอารมณ์แรกรักนั้นจึงกล่าว “แค่ยิ้มเองนะ หากเขาหัวเราะนับว่าหล่อเหลากว่านี้มาก”ไป๋เล่อชิงพลันตาโต “พี่สะใภ้เคยเห็นหรือ?”“แน่นอน ตอนที่เฉิงอวี่ของข้าร่วมร่ำสุรากับอู๋หมิง พวกเขามักมีเรื่องเล่าขบขันมากมาย ข้าเองก็แอบเห็นสามียามที่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี ช่างน่ามองนัก แม้อู๋หมิงจะดูดี แต่ไม่มีใครหล่อเหลาเท่าเฉิงอวี่ของข้าหรอกนะ”ลู่หว่านยิ้มหวานดวงตาพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงสามีเฉิงเอินถึงขั้นส่ายหน้าทำเสียงเอือมระอา “พี่สะใภ้น่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว” “เจ้า!” ลู่หว่านหน้าม้านตีไหล่น้องสามีเบาๆทีหนึ่งอย่างขวยเขินล้อเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันเลือกซื้อผ้าอย่างตั้งใจ มีเพียงไป๋เล่อชิงที่แอบมองอู๋หมิงอยู่บ่อยครั้ง นี่คือการซื้อของที่นางรู้สึกอุ่นใจที่สุดเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งตีปะทุขึ้นกลางอกจนทะลักล้นใจ นั่นคือความรู้สึกอันใดคงไม่ต้องสงสัยนานนัก“ชิงชิง มิใช่ว่าแอบชอบสามีตัวเองแล้วกระมัง?” เฉิงเอินกระทุ้งแขนถามไป๋เล่อชิงเขินอายจะแย่แต่นางก็ยิ้มแล้วยอมรับว่า “ใช่ ไม่ผิดใช่หรือไม่?”“โอ้! ช่างกล้า”“ข้ากล้ายิ่งกว่านี้ ตอนก่อนแต่งปะไร”“โอว นั
รถม้าห่างจากร้านอาภรณ์ราวสามจั้ง[1]ฉางเฟิงค่อยๆ ยื่นถุงเงินส่งให้อู๋หมิงอย่างนอบน้อม พร้อมเอ่ยด้วยสุ้มเสียงกริ่งเกรงว่าอาจจะทำให้คนฟังรำคาญใจ “ลำบากสหายอู๋แล้ว ขอบคุณที่รับงานนี้ของข้า นี่คือเงินตามที่ตกลงไว้”อู๋หมิงรับถุงเงินมาด้วยท่าทีเย็นชาโดยไม่เอ่ยวาจา แค่งานรับจ้างคุ้มกันหญิงชู้ที่กำลังตั้งครรภ์ของฉางเฟิงเดินทางไปคลอดยังเรือนชนบทที่ปลอดภัยไม่นับเป็นอันใด ปกติเขารับจ้างงานคุ้มกันทองคำแพรพรรณล้ำค่าที่โจรป่าคอยจ้องตามปล้นชิงตลอดทาง ลำบากกว่านี้มากมายนักอู๋หมิงเก็บถุงเงินใส่แขนเสื้อทำท่าหันตัวเดินจากไป ฉางเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบรั้งไว้ “สหายอู๋ ช้าก่อน”ชายหนุ่มปรายตามองช้าๆ เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ว่า?”ฉางเฟิงถูมือพูดอย่างเกรงใจว่า “เรื่องงานจ้างนี้ ท่านไม่แพร่งพรายใช่หรือไม่? ชื่อเสียงบัณฑิตดีงามของข้าจะด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด” เพิ่งแต่งงานได้แค่สี่เดือนแท้ๆ กลับมีอนุนอกเรือนที่ใกล้คลอดแล้ว หากผู้คนรู้เข้า แย่แน่!“เจ้าคิดว่า ข้าดูเป็นคนปากมาก?”อู๋หมิงถามสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่น้ำเสียงก็เฉยชา แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทำให้ไม่รู้ว่าเริ่มหงุดหงิดระดับไหน ทำเอาคนถูกถามรีบส่ายหน้า ปฏิเสธ
หญิงสาวกำหมัดเชิดหน้าทำท่าตอกกลับพี่สาวเพื่อปกป้องสามี พลันได้ยินพี่สาวกล่าวเสียงเหยียดเบาๆ แต่เย็นเยียบว่า “จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ ไม่พอใจเสียแล้ว อยากด่าข้าหรือ ต้องการงัดข้อกับข้ากระมัง เอาสิ กล้าหรือไม่? นังลูกอนุ!”ไป๋เล่อชิงสูดลมหายใจกัดฟันกรอดกระซิบกลับว่า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นแค่ลูกภรรยารองนี่นา คงไม่กล้าเสียเวลาอันมีค่ามาคอยหาเรื่องลูกของนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ คนปกติที่มีจิตสำนึก ย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอ เขาไม่ทำกัน ข้าเองก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง จรรยาต่ำ ศีลธรรมไม่มีเสียด้วย ข้าไม่กล้างัดข้อกับคนอย่างพี่หญิงหรอก เพราะมันเสียเวลา และไม่คุ้มค่าอะไรเลย”“เจ้า!” ไป๋หลินหน้าชาทันใด วาจานี้ไยมิใช่ด่านาง ว่าเหมือนพวกไร้อารยะ ทำตัวไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทำตัวถ่อย ชอบเสียเวลาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้ แท้จริงไป๋เล่อชิงไม่ได้ด่าทอถึงขั้นนั้น แต่ไป๋หลินร้อนตัวไปเองและคิดวาจาหยาบคายได้เองตามวิสัย ไป๋หลินกล่าวต่อเสียงเครียด “เดี๋ยวนี้เก่งกาจเหลือเกินนะ ไม่เหมือนตอนอยู่จวนไป๋ หรือเจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วจะทำตัวเหิมเกริมอย่างไรก็ได้ จำไว้ สามีผู้ต่ำต้อยของเจ้า ไม่อาจช่วยเจ้าได้หรอก เอาเวลาไปหาลู่ทางให้ส