หลังจากจัดการไป๋เล่อชิงแล้ว
ซืออวิ๋นไม่ลืมที่จะดึงเส้นเถาวัลย์ที่ถูกตัดออกมา จากนั้นก็กระชากจนต้นหลุดลุ่ย กระทั่งมองหาร่องรอยถูกมีดตัดไม่เจอ โยนเถาวัลย์นั้นลงหน้าผาไปอย่างไม่ลังเล หลักฐานชิ้นสำคัญถูกทำลายจนสิ้น
ที่เหลือก็แค่รอเพียงเวลาให้ทอดยาวเนิ่นนาน ซืออวิ๋นรอจนแน่ใจว่าสำเร็จค่อยเป็นฝ่ายกรีดร้องบ้าง
“กรี๊ด...ไม่นะ! ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยด้วย”
รอบด้านเดิมทีไม่มีใคร แต่เพราะเสียงกรีดร้องจึงเริ่มมีคนวิ่งเข้ามา
อันที่จริงพวกเขาวิ่งมาตั้งแต่เสียงกรีดร้องครั้งแรกของไป๋เล่อชิงแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทันวิ่งมาถึงที่นี่ก็มีเสียงกรีดร้องของซืออวิ๋นอีก
แน่นอนว่าทุกคนล้วนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
“เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?” เณรน้อยวิ่งเข้ามาถาม
ซืออวิ๋นมีสีหน้าที่แตกตื่นตกใจเสียขวัญอย่างยิ่ง นางพูดอย่างเป็นกังวลไร้รอยพิรุธใด
“ลูกสะใภ้ของข้าเจ้าค่ะ นางบอกข้าว่าขอออกมาเดินเล่นรับลม พอข้ามาตาม ก็ทันเห็นนางพลัดตกลงไป ไม่แน่ใจว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่”
“ฆ่าตัวตาย!”
เณรน้อยกับพระลูกวัดต่างหันมองหน้ากันอย่างตะลึงลาน การฆ่าตัวตายถือเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์ ผู้กระทำการฆ่าตัวตายถือว่าผิดมหันต์
หลังจากนั้น
ในอารามที่เคยเงียบสงบพลันมีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย
สามวันแล้วที่ซืออวิ๋นยังคงออกตามหาลูกสะใภ้ด้วยตัวเองอย่างเคร่งเครียด
ทว่ายังหาไม่เจอเสียที ไม่ว่าตีนหน้าผาหรือลำธารล้วนไม่เจอไป๋เล่อชิง
“เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ” ซืออวิ๋นย้ำกับสาวใช้คนสนิท “ข้าจะออกหาเอง พวกเจ้าตามมาก็พอ”
หลายคนที่เห็น ล้วนเข้าใจว่านางเป็นห่วงจากใจ ลงแรงด้วยตัวเองขนาดนี้ ช่างเป็นแม่สามีที่ประเสริฐนัก
หากแต่แท้ที่จริงนั้น ซืออวิ๋นกำลังกังวลยิ่งยวด เนื่องจากไป๋เล่อชิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แน่ว่าอาจจะยังไม่ตาย ซึ่งนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายจะกลับมาพร้อมปัญหาใหญ่ ถึงอย่างไรก็ต้องหาตัวให้เจอก่อนใคร พลิกแผ่นดินก็ยอม หากเจอเป็นศพถึงจะนอนหลับได้สนิท
ดังนั้น ภาพที่ชาวบ้านเห็นทุกวันหลังเกิดเรื่องก็คือ แม่สามีผู้นี้ยอดเยี่ยม รักใคร่ลูกสะใภ้เป็นที่สุด นางลงแรงออกเดินทางตามหาลูกสะใภ้อย่างยากลำบากด้วยตัวเอง ใช้ความพยายามอย่างมาก ไป๋เล่อชิงได้แม่สามีที่ดีไร้ที่ติ
เรื่องนี้จวนสกุลไป๋เดิมทีก็ตกใจแต่กลับไม่คิดเคลือบแคลงสิ่งใด ความเศร้าเสียใจก็หาได้มีไม่ นึกแค่ว่าต้องยืดสายสัมพันธ์เกี่ยวดองนี้ไม่ให้ขาดหายก็เท่านั้น
พวกเขาคิดจะส่งน้องสาวต่างมารดาของไป๋เล่อชิงเข้ามาเป็นสะใภ้ตัวตายตัวแทน กำหนดวันมงคลเอาไว้เลย พอไว้ทุกข์เสร็จก็แต่งทันที
เพียงแต่ซืออวิ๋นยังไม่พยักหน้ารับ
หึ! สะใภ้คนใหม่ของนางต้องเป็นคุณหนูผู้สง่างามจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น
นางปรารถนาสตรีร่ำรวยรุ่งโรจน์จากเมืองหลวง
แน่นอนว่าความคิดนี้ของซืออวิ๋นไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ทุกคนต่างคิดไปว่าซืออวิ๋นผูกพันธ์รักใคร่เพียงสะใภ้เก่าอย่างไป๋เล่อชิงจึงไม่ยอมเปิดใจให้ก็เท่านั้น
หลังจากจัดการไป๋เล่อชิงแล้วซืออวิ๋นไม่ลืมที่จะดึงเส้นเถาวัลย์ที่ถูกตัดออกมา จากนั้นก็กระชากจนต้นหลุดลุ่ย กระทั่งมองหาร่องรอยถูกมีดตัดไม่เจอ โยนเถาวัลย์นั้นลงหน้าผาไปอย่างไม่ลังเล หลักฐานชิ้นสำคัญถูกทำลายจนสิ้น ที่เหลือก็แค่รอเพียงเวลาให้ทอดยาวเนิ่นนาน ซืออวิ๋นรอจนแน่ใจว่าสำเร็จค่อยเป็นฝ่ายกรีดร้องบ้าง“กรี๊ด...ไม่นะ! ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยด้วย”รอบด้านเดิมทีไม่มีใคร แต่เพราะเสียงกรีดร้องจึงเริ่มมีคนวิ่งเข้ามา อันที่จริงพวกเขาวิ่งมาตั้งแต่เสียงกรีดร้องครั้งแรกของไป๋เล่อชิงแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทันวิ่งมาถึงที่นี่ก็มีเสียงกรีดร้องของซืออวิ๋นอีก แน่นอนว่าทุกคนล้วนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ“เกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?” เณรน้อยวิ่งเข้ามาถามซืออวิ๋นมีสีหน้าที่แตกตื่นตกใจเสียขวัญอย่างยิ่ง นางพูดอย่างเป็นกังวลไร้รอยพิรุธใด“ลูกสะใภ้ของข้าเจ้าค่ะ นางบอกข้าว่าขอออกมาเดินเล่นรับลม พอข้ามาตาม ก็ทันเห็นนางพลัดตกลงไป ไม่แน่ใจว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่”“ฆ่าตัวตาย!” เณรน้อยกับพระลูกวัดต่างหันมองหน้ากันอย่างตะลึงลาน การฆ่าตัวตายถือเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์ ผู้กระทำการฆ่าตัวตายถือว่าผิดมหันต์ หลังจากนั้น ในอารามที่เคยเ
“แม้เป็นแค่อนุต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นคนรักของท่านพ่อ” เห็นไป๋หลินทำท่าโต้แย้งแต่ไป๋เล่อชิงไม่ปล่อยให้ทำเช่นนั้น นางรีบว่าต่อ “ว่าแต่พี่หญิงเถอะ เป็นสตรีออกเรือนแล้ว ไฉนถึงมาทำตัวปากร้ายวาจายาวยื่นอยู่เรือนผู้อื่นเช่นนี้ได้ มิใช่ว่าถูกบ้านสามีขับไล่ออกมากระมัง”ลมหายใจไป๋หลินพลันสะดุดกึกแต่เพียงครู่เท่านั้นก็เชิดหน้า กัดฟันยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้รับความเมตตาจากแม่สามีให้กลับมาเยี่ยมบ้านได้ตามอัธยาศัย วันนี้ถึงได้ติดตามท่านแม่มา”“อ้อ...ข้าก็นึกว่าท่านทะเลาะเบาะแว้งกับฉางเฟิงจึงหนีกลับบ้านเดิมมาเสียอีก”ไป๋เล่อชิงเพียงคาดเดาเอาจากนิสัยของฉางเฟิง โดยหารู้ไม่ว่า ‘ถูกต้อง’ ทั้งหมด ไป๋หลินเพิ่งจับได้ว่าฉางเฟิงซุกซ่อนอนุนอกจวน มิหนำซ้ำนังแพศยานั่นก็กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ในขณะที่นางเพิ่งเริ่มบำรุงร่างกายให้พร้อมในท้องที่ยังว่างเปล่าเรื่องราวคาวโลกีย์นี้ทำนางโกรธเจียนคลั่งจึงกลับจวนมาฟ้องมารดา และใช่ นางรอให้เขาตามมาง้อแต่เขายังไม่มา และนางจะกลับเองได้อย่างไร จำต้องรออย่างเบื่อหน่าย จึงตามมารดามาที่นี่คลายเหงา“เจ้าเดาถูกเช่นนี้ แสดงว่าจงใจทิ้งฉางเฟิงให้ข้า เพื่อหนีไปแต่งให้คุณชายอู๋จริงๆ สินะ” ไป
เมื่อปรับตัวทำใจได้แล้วไป๋เล่อชิงก็ล่ำลาสหาย เดินทางกลับเข้าเรือนสกุลอู๋ ครั้นมาถึงจึงได้เห็นว่ามีรถม้าจอดอยู่หน้าประตู นั่นคือแขกมาเยือนโดยมิได้นัดหมาย จะเป็นใครไปมิได้นอกจากคนจากสกุลไป๋ บ้านเดิมของไป๋เล่อชิงตั้งแต่อู๋หมิงถูกทาบทามไปเป็นกุนซือจอมทัพและข่าวนี้ถูกแพร่ไปถึงจวนไป๋ ทั้งบิดาและนายหญิงใหญ่ต่างก็กลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่ เรื่องตัดบุตรสาวอย่างไป๋เล่อชิงพวกเขาทำเหมือนไม่เคยพูด ทำตัวเป็นบ้านเดิมที่เมตตารักใคร่บุตรสาวที่ออกเรือนอย่างลึกซึ้งประหนึ่งผูกพันมาก ตอนนี้ยังไปมาหาสู่ทำตัวสนิทสนมกับสกุลอู๋ยิ่งนักไป๋เล่อชิงเร่งฝีเท้าเข้าเรือนทันที เมื่อมาถึงทางเข้าโถงรับรอง นางหรี่ตาเพ่งพิศมองเข้าไป เห็นซืออวิ๋นผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งตำแหน่งประธานโถง นายหญิงไป๋นั่งอยู่ไม่ไกล และอีกคนนั่งด้านข้างของนายหญิงไป๋ก็คือ...หญิงสาวชะงักกึกไม่กล้าเดินต่อเมื่อเห็นคนผู้นั้นก่อนนี้มีนายหญิงใหญ่หรือมีเพียงตัวแทนสกุลไป๋ที่มาเยือน ทว่าวันนี้กลับมีบิดาผู้หยิ่งทะนงมาด้วย คาดว่าคงได้ข่าวเรื่องที่อู๋หมิงมีสตรีอื่นข้างกายนั่นแล ไป๋เล่อชิงรีบเปลี่ยนทิศ ไม่คิดเดินเข้าโถงรับรอง ไม่อยากทักทายผู้อาวุโสคนใด
ที่หอน้ำชา เฉิงเอินปลอบโยนไป๋เล่อชิงที่นั่งจิบชาทั้งน้ำตา“เอาเถิดน่า หน้าที่ของกุนซือไม่ต้องจับดาบออกรบ อย่างน้อยสามีของเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินไป”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังเศร้ามิคลาย “หากข้ายังไม่ชอบอู๋หมิงก็คงดี ไหนเลยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ปานนี้ เหงามากด้วย”ครานี้เป็นเฉิงเอินบ้างที่พยักหน้า ถอนหายใจดังเฮ้อ...รู้สึกทั้งเหงาแล้วก็เศร้าตามสหายจนห่อเหี่ยวไปหมดหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งปี“เวลาล่วงเลยจนยามนี้แล้วแท้ๆ ยังร้องไห้อยู่อีก” เฉิงเอินถามไป๋เล่อชิงทันทีที่เจอหน้าแล้วได้เห็นดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำมีน้ำเอ่อคลอเจียนหยาดหยดลงมา นางรีบรินน้ำชาแล้วสั่ง “นั่งๆ อ่ะ จิบชาก่อน ค่อยๆ พูดจา”ไป๋เล่อชิงนั่งลงตามการฉุดมือของเฉิงเอินแล้วว่า “ข่าวคราวล่าสุดที่มากับจดหมายของหลานชายแม่สามี” นางสูดจมูกกลั้นน้ำตาแล้วว่าต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องใด”“เรื่องของอู๋หมิงปะไร ทุกครั้งก็เป็นเช่นนั้น” เฉิงเอินนิ่วหน้ากล่าว ครั้งก่อนได้ฟังว่าอู๋หมิงสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนอ๋องอย่างยิ่ง ต่อมาได้ฟังว่าอู๋หมิงต้องเดินทางไปที่ใดมิอาจทราบ เร้นกายไปไม่นานก็กลับมา
ไป๋เล่อชิงห่อเหี่ยวถึงขั้นพร่างพรูพร่ำพรรณนาเปลืองคำมากมายจนหายใจไม่ทันกระนั้นวาจาต่อมาของอู๋หมิงพลันทำให้ไป๋เล่อชิงหยุดพร่ำเพ้อในใจ“ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจ”ไป๋เล่อชิงก้มหน้าหลุบตา ไม่อยากเข้าใจสักนิด หึ! แต่ปากบอก “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่านพี่ที่สุด” “ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”ไป๋เล่อชิงชะงักเล็กน้อย “ช่ะ” เงยหน้ามองเขา “ชอบหรือ?”“อืม”นางเบิกตา เขาชอบนาง อา...“แล้วข้าเป็นเช่นไรหรือ?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้“ถ่อมตัวเรียบง่ายและเชื่อฟัง ไม่ฟูมฟายเหนี่ยวรั้ง”สิ้นวาจาชื่นชมจากสามี คนเป็นภรรยาก็ยิ้มแห้ง หลุบตามิกล้ามองเขาตรงๆ นางกัดฟันกลั้นใจเอาไว้ปะไร“มาเถอะเข้าห้องกัน คืนนี้ข้าอยากอำลาเจ้าด้วยดี”ความหมายอันลึกซึ้งนี้ล้วนรู้ดีระหว่างสามีภรรยา ทำเอาพวงแก้มไป๋เล่อชิงแดงซ่าน ตัวเกร็งแข็งค้างทันใดอู๋หมิงยื่นมือ “ราตรียาวนาน แต่เวลาไม่รอใคร มัวชักช้าอยู่ไย”“หืม?” ไป๋เล่อชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมา ครั้นเงยหน้ามองเขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะ...อู๋หมิงยิ้ม....หญิงสาวกะพริบตา นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มมิน่าเชื่อว่ายามที่ริมฝีปากที่มักปิดสนิทนี้แย้มออก จะทำอู๋หมิงรูปงามชวนมองปานนั้นไป๋เล่อชิงยื่
ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก” เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง” อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้นซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...” ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง เขาลอบชำเลื