“แม้เป็นแค่อนุต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นคนรักของท่านพ่อ” เห็นไป๋หลินทำท่าโต้แย้งแต่ไป๋เล่อชิงไม่ปล่อยให้ทำเช่นนั้น นางรีบว่าต่อ “ว่าแต่พี่หญิงเถอะ เป็นสตรีออกเรือนแล้ว ไฉนถึงมาทำตัวปากร้ายวาจายาวยื่นอยู่เรือนผู้อื่นเช่นนี้ได้ มิใช่ว่าถูกบ้านสามีขับไล่ออกมากระมัง”
ลมหายใจไป๋หลินพลันสะดุดกึก
แต่เพียงครู่เท่านั้นก็เชิดหน้า กัดฟันยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้รับความเมตตาจากแม่สามีให้กลับมาเยี่ยมบ้านได้ตามอัธยาศัย วันนี้ถึงได้ติดตามท่านแม่มา”
“อ้อ...ข้าก็นึกว่าท่านทะเลาะเบาะแว้งกับฉางเฟิงจึงหนีกลับบ้านเดิมมาเสียอีก”
ไป๋เล่อชิงเพียงคาดเดาเอาจากนิสัยของฉางเฟิง โดยหารู้ไม่ว่า ‘ถูกต้อง’ ทั้งหมด
ไป๋หลินเพิ่งจับได้ว่าฉางเฟิงซุกซ่อนอนุนอกจวน มิหนำซ้ำนังแพศยานั่นก็กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ในขณะที่นางเพิ่งเริ่มบำรุงร่างกายให้พร้อมในท้องที่ยังว่างเปล่าเรื่องราวคาวโลกีย์นี้ทำนางโกรธเจียนคลั่งจึงกลับจวนมาฟ้องมารดา และใช่ นางรอให้เขาตามมาง้อแต่เขายังไม่มา และนางจะกลับเองได้อย่างไร จำต้องรออย่างเบื่อหน่าย จึงตามมารดามาที่นี่คลายเหงา
“เจ้าเดาถูกเช่นนี้ แสดงว่าจงใจทิ้งฉางเฟิงให้ข้า เพื่อหนีไปแต่งให้คุณชายอู๋จริงๆ สินะ”
ไป๋เล่อชิงแค่นเสียงเย็น “พี่หญิงช่างตื้นเขินยิ่งนัก ตอนนั้นข้าห้ามท่านแล้วแต่เป็นท่านที่ดึงดันจะแย่งชิงเอง”
“เจ้า!” ไป๋หลินกัดฟันกรอดแววตาลุกโชนดุจไฟ ทำท่าเอื้อมมือขึ้นมาตบตีน้องสาวสั่งสอน ทว่าจังหวะนั้น ผู้อาวุโสในโถงเรือนพลันเดินพลางสนทนาออกมา
“ข้าต้องขอตัวก่อน งานที่จวนเยอะนัก มีคนรอให้ผู้แซ่ไป๋สะสางหลายคน ต้องขออภัยที่ไม่อาจรั้งอยู่นาน”
ไป๋เหวินซั่วกล่าวโดยมีนายหญิงไป๋กล่าวสำทับ
“วันนี้ไม่รบกวนแล้ว เอาไว้ข้าจะมาจิบชาชมบุปผากับนายหญิงอู๋เพื่อคลายเหงาบ่อยๆนะเจ้าคะ”
“ยินดีๆ” ซืออวิ๋นตอบรับพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมไมตรี
ทุกคนหันมาเห็นไป๋เล่อชิงกับไป๋หลินพอดี
“ลูกๆทักทายกันเสร็จแล้วกระมัง” นายหญิงไป๋ถาม
พวกนางทั้งสองที่เมื่อครู่กำลังจะตีกันจึงรีบเก็บมือฉีกยิ้มหวานล้ำกล่าวพร้อมกันว่า
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ไป๋เหวินซั่วที่ไม่เคยสนใจไป๋เล่อชิงวันนี้กลับใส่ใจพร้อมคลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้แล้วกล่าวเสียงทุ้มเอ็นดู “ชิงเอ๋อร์ช่วยดูแลเรือนแทนนายหญิงอู๋ให้ดี อย่าบกพร่องเล่า”
ไป๋เล่อชิงได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เพราะความนัยของบิดาเหมือนให้นางยึดอำนาจดูแลเรือนจากแม่สามีกระนั้น นางจึงเพียงยิ้มแห้งยอบกายนอบน้อมแต่ไม่ตอบรับคำใด
คนของจวนไป๋ขึ้นรถม้าจากไป ยามนี้เหลือเพียงนางกับแม่สามี ไป๋เล่อชิงให้รู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย เพราะคำพูดของบิดาล้วนแฝงนัยทั้งสิ้น
หวังว่าแม่สามีจะไม่เก็บเอามาใส่ใจจนคิดมาก แล้วเอาความกับนางนะ
ไป๋เล่อชิงคิดพลางลอบเหลือบตามองแม่สามีอย่างระมัดระวัง พบว่าอีกฝ่ายมิได้มีสีหน้ากังวลอันใด มิหนำซ้ำยังมีรอยยิ้มประดับมุมปากเฉกตอนที่พูดคุยกับคนจวนไป๋
บางทีแม่สามีอาจมิได้คิดมากขนาดนั้น
“แม้เป็นแค่อนุต่ำศักดิ์แต่ก็เป็นคนรักของท่านพ่อ” เห็นไป๋หลินทำท่าโต้แย้งแต่ไป๋เล่อชิงไม่ปล่อยให้ทำเช่นนั้น นางรีบว่าต่อ “ว่าแต่พี่หญิงเถอะ เป็นสตรีออกเรือนแล้ว ไฉนถึงมาทำตัวปากร้ายวาจายาวยื่นอยู่เรือนผู้อื่นเช่นนี้ได้ มิใช่ว่าถูกบ้านสามีขับไล่ออกมากระมัง”ลมหายใจไป๋หลินพลันสะดุดกึกแต่เพียงครู่เท่านั้นก็เชิดหน้า กัดฟันยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้รับความเมตตาจากแม่สามีให้กลับมาเยี่ยมบ้านได้ตามอัธยาศัย วันนี้ถึงได้ติดตามท่านแม่มา”“อ้อ...ข้าก็นึกว่าท่านทะเลาะเบาะแว้งกับฉางเฟิงจึงหนีกลับบ้านเดิมมาเสียอีก”ไป๋เล่อชิงเพียงคาดเดาเอาจากนิสัยของฉางเฟิง โดยหารู้ไม่ว่า ‘ถูกต้อง’ ทั้งหมด ไป๋หลินเพิ่งจับได้ว่าฉางเฟิงซุกซ่อนอนุนอกจวน มิหนำซ้ำนังแพศยานั่นก็กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ในขณะที่นางเพิ่งเริ่มบำรุงร่างกายให้พร้อมในท้องที่ยังว่างเปล่าเรื่องราวคาวโลกีย์นี้ทำนางโกรธเจียนคลั่งจึงกลับจวนมาฟ้องมารดา และใช่ นางรอให้เขาตามมาง้อแต่เขายังไม่มา และนางจะกลับเองได้อย่างไร จำต้องรออย่างเบื่อหน่าย จึงตามมารดามาที่นี่คลายเหงา“เจ้าเดาถูกเช่นนี้ แสดงว่าจงใจทิ้งฉางเฟิงให้ข้า เพื่อหนีไปแต่งให้คุณชายอู๋จริงๆ สินะ” ไป
เมื่อปรับตัวทำใจได้แล้วไป๋เล่อชิงก็ล่ำลาสหาย เดินทางกลับเข้าเรือนสกุลอู๋ ครั้นมาถึงจึงได้เห็นว่ามีรถม้าจอดอยู่หน้าประตู นั่นคือแขกมาเยือนโดยมิได้นัดหมาย จะเป็นใครไปมิได้นอกจากคนจากสกุลไป๋ บ้านเดิมของไป๋เล่อชิงตั้งแต่อู๋หมิงถูกทาบทามไปเป็นกุนซือจอมทัพและข่าวนี้ถูกแพร่ไปถึงจวนไป๋ ทั้งบิดาและนายหญิงใหญ่ต่างก็กลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่ เรื่องตัดบุตรสาวอย่างไป๋เล่อชิงพวกเขาทำเหมือนไม่เคยพูด ทำตัวเป็นบ้านเดิมที่เมตตารักใคร่บุตรสาวที่ออกเรือนอย่างลึกซึ้งประหนึ่งผูกพันมาก ตอนนี้ยังไปมาหาสู่ทำตัวสนิทสนมกับสกุลอู๋ยิ่งนักไป๋เล่อชิงเร่งฝีเท้าเข้าเรือนทันที เมื่อมาถึงทางเข้าโถงรับรอง นางหรี่ตาเพ่งพิศมองเข้าไป เห็นซืออวิ๋นผู้เป็นเจ้าบ้านนั่งตำแหน่งประธานโถง นายหญิงไป๋นั่งอยู่ไม่ไกล และอีกคนนั่งด้านข้างของนายหญิงไป๋ก็คือ...หญิงสาวชะงักกึกไม่กล้าเดินต่อเมื่อเห็นคนผู้นั้นก่อนนี้มีนายหญิงใหญ่หรือมีเพียงตัวแทนสกุลไป๋ที่มาเยือน ทว่าวันนี้กลับมีบิดาผู้หยิ่งทะนงมาด้วย คาดว่าคงได้ข่าวเรื่องที่อู๋หมิงมีสตรีอื่นข้างกายนั่นแล ไป๋เล่อชิงรีบเปลี่ยนทิศ ไม่คิดเดินเข้าโถงรับรอง ไม่อยากทักทายผู้อาวุโสคนใด
ที่หอน้ำชา เฉิงเอินปลอบโยนไป๋เล่อชิงที่นั่งจิบชาทั้งน้ำตา“เอาเถิดน่า หน้าที่ของกุนซือไม่ต้องจับดาบออกรบ อย่างน้อยสามีของเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินไป”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังเศร้ามิคลาย “หากข้ายังไม่ชอบอู๋หมิงก็คงดี ไหนเลยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ปานนี้ เหงามากด้วย”ครานี้เป็นเฉิงเอินบ้างที่พยักหน้า ถอนหายใจดังเฮ้อ...รู้สึกทั้งเหงาแล้วก็เศร้าตามสหายจนห่อเหี่ยวไปหมดหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งปี“เวลาล่วงเลยจนยามนี้แล้วแท้ๆ ยังร้องไห้อยู่อีก” เฉิงเอินถามไป๋เล่อชิงทันทีที่เจอหน้าแล้วได้เห็นดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำมีน้ำเอ่อคลอเจียนหยาดหยดลงมา นางรีบรินน้ำชาแล้วสั่ง “นั่งๆ อ่ะ จิบชาก่อน ค่อยๆ พูดจา”ไป๋เล่อชิงนั่งลงตามการฉุดมือของเฉิงเอินแล้วว่า “ข่าวคราวล่าสุดที่มากับจดหมายของหลานชายแม่สามี” นางสูดจมูกกลั้นน้ำตาแล้วว่าต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องใด”“เรื่องของอู๋หมิงปะไร ทุกครั้งก็เป็นเช่นนั้น” เฉิงเอินนิ่วหน้ากล่าว ครั้งก่อนได้ฟังว่าอู๋หมิงสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนอ๋องอย่างยิ่ง ต่อมาได้ฟังว่าอู๋หมิงต้องเดินทางไปที่ใดมิอาจทราบ เร้นกายไปไม่นานก็กลับมา
ไป๋เล่อชิงห่อเหี่ยวถึงขั้นพร่างพรูพร่ำพรรณนาเปลืองคำมากมายจนหายใจไม่ทันกระนั้นวาจาต่อมาของอู๋หมิงพลันทำให้ไป๋เล่อชิงหยุดพร่ำเพ้อในใจ“ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจ”ไป๋เล่อชิงก้มหน้าหลุบตา ไม่อยากเข้าใจสักนิด หึ! แต่ปากบอก “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่านพี่ที่สุด” “ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”ไป๋เล่อชิงชะงักเล็กน้อย “ช่ะ” เงยหน้ามองเขา “ชอบหรือ?”“อืม”นางเบิกตา เขาชอบนาง อา...“แล้วข้าเป็นเช่นไรหรือ?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้“ถ่อมตัวเรียบง่ายและเชื่อฟัง ไม่ฟูมฟายเหนี่ยวรั้ง”สิ้นวาจาชื่นชมจากสามี คนเป็นภรรยาก็ยิ้มแห้ง หลุบตามิกล้ามองเขาตรงๆ นางกัดฟันกลั้นใจเอาไว้ปะไร“มาเถอะเข้าห้องกัน คืนนี้ข้าอยากอำลาเจ้าด้วยดี”ความหมายอันลึกซึ้งนี้ล้วนรู้ดีระหว่างสามีภรรยา ทำเอาพวงแก้มไป๋เล่อชิงแดงซ่าน ตัวเกร็งแข็งค้างทันใดอู๋หมิงยื่นมือ “ราตรียาวนาน แต่เวลาไม่รอใคร มัวชักช้าอยู่ไย”“หืม?” ไป๋เล่อชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมา ครั้นเงยหน้ามองเขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะ...อู๋หมิงยิ้ม....หญิงสาวกะพริบตา นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มมิน่าเชื่อว่ายามที่ริมฝีปากที่มักปิดสนิทนี้แย้มออก จะทำอู๋หมิงรูปงามชวนมองปานนั้นไป๋เล่อชิงยื่
ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก” เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง” อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้นซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...” ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง เขาลอบชำเลื
ลู่หว่านเองก็เข้าใจอารมณ์แรกรักนั้นจึงกล่าว “แค่ยิ้มเองนะ หากเขาหัวเราะนับว่าหล่อเหลากว่านี้มาก”ไป๋เล่อชิงพลันตาโต “พี่สะใภ้เคยเห็นหรือ?”“แน่นอน ตอนที่เฉิงอวี่ของข้าร่วมร่ำสุรากับอู๋หมิง พวกเขามักมีเรื่องเล่าขบขันมากมาย ข้าเองก็แอบเห็นสามียามที่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี ช่างน่ามองนัก แม้อู๋หมิงจะดูดี แต่ไม่มีใครหล่อเหลาเท่าเฉิงอวี่ของข้าหรอกนะ”ลู่หว่านยิ้มหวานดวงตาพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงสามีเฉิงเอินถึงขั้นส่ายหน้าทำเสียงเอือมระอา “พี่สะใภ้น่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว” “เจ้า!” ลู่หว่านหน้าม้านตีไหล่น้องสามีเบาๆทีหนึ่งอย่างขวยเขินล้อเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันเลือกซื้อผ้าอย่างตั้งใจ มีเพียงไป๋เล่อชิงที่แอบมองอู๋หมิงอยู่บ่อยครั้ง นี่คือการซื้อของที่นางรู้สึกอุ่นใจที่สุดเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งตีปะทุขึ้นกลางอกจนทะลักล้นใจ นั่นคือความรู้สึกอันใดคงไม่ต้องสงสัยนานนัก“ชิงชิง มิใช่ว่าแอบชอบสามีตัวเองแล้วกระมัง?” เฉิงเอินกระทุ้งแขนถามไป๋เล่อชิงเขินอายจะแย่แต่นางก็ยิ้มแล้วยอมรับว่า “ใช่ ไม่ผิดใช่หรือไม่?”“โอ้! ช่างกล้า”“ข้ากล้ายิ่งกว่านี้ ตอนก่อนแต่งปะไร”“โอว นั