로그인“หนูอยากกินไอ้นั่น ขอไปซื้อนะคะ” พิชนันท์ชี้ไปที่ร้านขายน้ำหวานที่แช่จนเป็นเกล็ดน้ำแข็งที่เด็กๆ เรียกว่าตัวดูด มีน้องชายฝาแฝดเดินตามไป
ธาดาขมวดคิ้วเมื่อเห็นลูกทานอาหารแบบนี้
“จะดีหรือพราวให้ลูกกินขนมพวกนี้” เขาถามในขณะที่เดินตามลูกไปยังรถเข็นคันเล็กขายไอติมน้ำหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้กินทุกวัน”
พิชชาเลิกสนใจผู้ปกครองคนนั้น เธอเดินตามไปจ่ายเงินให้ลูกไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเพราะตอนเธอเป็นเด็กก็ชอบเหมือนกัน แต่ธาดาผู้ที่ไม่เคยทานของพวกนี้ถึงกับทำสีหน้ายุ่งยากใจ
“เอาแพนเค้กด้วยนะฮะแม่” ณพิชย์หันมาบอกมารดาที่พยักหน้ารับทันที เด็กชายจึงหันไปสั่ง
“แพนเค้กรูปไดโนเสาร์ห้าอันฮะ เอ้ย..เอาสิบอันดีกว่า” ธาดาได้ยินลูกสั่งขนมมากไปจึงเข้าไปคุยด้วย
“เดี๋ยวพ่อจะพาไปกินข้าว พุทซื้อนิดหน่อยก็พอนะครับลูก” เขายอมรับว่าไม่สนิทใจหากจะให้ลูกทานอาหารที่ขายกันริมถนนแบบนี้ แต่ถ้าขัดไม่ได้ก็จะให้ทานเพียงแค่ให้หายอยาก
“งั้นเอาห้าอันพอครับลุง” เด็กชายเปลี่ยนใหม่เมื่อรู้ว่าพ่อจะพาไปกินข้าว
“แล้วแพรวล่ะคุณไปไหนแล้ว” ธาดาหันมาถามหญิงสาวเมื่อเขาไม่เห็นลูกสาว
“โน่นค่ะ ไปซื้อขนมครกไข่นกกระทา” พิชชาชี้ไปที่อีกร้านหนึ่งขายขนมครกไข่นกกระทาที่เด็กๆ ชอบมากจนทำไม่ทัน
“คอเรสเตอรอลสูงมาก ทำไมคุณยอมให้ลูกกิน” ธาดาบ่นอย่างไม่ชอบใจ
“ก็ไม่ได้กินเยอะแยะนี่คะ เด็กๆ วิ่งเล่นแป็บเดียวก็เผาผลาญหมดแล้ว” พิชชาอมยิ้ม เธอชี้ไปที่อีกร้านที่อยู่ห่างออกไป
“โน่นค่ะ ของโปรดอีกอย่าง น้ำตาลปั้นตาพุทชอบมาก” เธอชี้ไปที่ร้านค้าที่มีน้ำตาลหลากสีขาวเขียวแดง ถูกปั้นเป็นรูปต่างๆ เช่น ไก่ หัวใจ นกแก้วเสียบไม้ไว้รอขาย มีเด็กหลายคนรุมล้อมส่งเสียงเซ็งแซ่
“ผมว่าเราหาโรงเรียนใหม่ให้ลูกดีไหม” การจะห้ามเด็กไม่ให้ซื้อขนมหน้าโรงเรียนอาจจะยากไป สู้ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ไม่อนุญาตให้มีร้านค้ามาขายของแบบนี้ง่ายกว่า
พิชชาส่ายหน้าเหมือนเขาพูดอะไรไร้สาระ
“แค่นี้เองค่ะความสุขของเด็ก คติของฉันคือเลี้ยงลูกให้มีความสุขและมีภูมิคุ้มกัน ไม่สำอางเกินไปไม่อนามัยเกินไป ถามจริงตอนคุณเป็นเด็กคุณไม่เคยกินเหรอ”
ธาดาส่ายหน้าปฏิเสธ ตาเขายังมองเด็กๆ ที่กินขนมอย่างหมายมาดว่าจะทำให้ลูกกินขนมไม่มีประโยชน์น้อยลงให้ได้
“ไม่เคยกินหรือไม่เคยเป็นเด็กค่ะ ฉันว่าคนแบบคุณนี่น่าจะเกิดแล้วแก่เลยแน่ๆ”
ธาดาจ้องหน้าคนพูดแต่เขาไม่ว่าอะไร รอจนเด็กๆ ซื้อขนมเสร็จจึงพาขึ้นรถออกจากบริเวณหน้าโรงเรียน คู่แฝดตื่นเต้นที่เห็นพ่อขับรถเอง
“โห..พ่อขับรถเอง” ณพิชย์พูดตามองมือแข็งแรงจับพวงมาลัยอย่างสนใจ เด็กชายปีนขึ้นมาเกาะพนักเบาะที่นั่งคนขับ
“พุทนั่งลงดีๆ ค่ะอย่าปีน ไม่งั้นแม่จะให้นั่งคาร์ซีทนะ” พิชชาดุลูกชาย
“ครับ วันนี้ลุงฌานไม่มาพ่อเลยขับรถเอง พุทนั่งลงดีๆ เดี๋ยวล้มแล้วจะไม่หล่อนะ”
“แล้วเราจะไปไหนกันคะแม่” พิชนันท์ถามมารดา
“จะไปซื้อเสื้อผ้าที่จะไปเที่ยวพรุ่งนี้ไงคะ”
“จะไปกินข้าวด้วยฮะแม่ พ่อบอก” ณพิชย์หันมาทางมารดาทำท่าจะปีนข้ามมาเบาะหน้า
“นั่งดีๆ ลูกจะถึงแล้วถ้าดื้อพรุ่งนี้เราจะไม่ไปไหนกันนะคะ” พิชชาปรามลูกชาย
เย็นวันนั้นธาดาออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ แม้ว่าพิชชาจะบอกว่าเธอไม่อยากได้เงินของเขา
“ให้ผมจ่ายเถอะทริปนี้ผมเป็นคนจะพาลูกไป เอาไว้คุณจะพาลูกไปเที่ยวที่ไหนคุณค่อยจ่ายเอง”
จากนั้นเขาพาพิชชาและเด็กๆ ไปทานอาหาร ในระหว่างที่พิชชาไปตักสลัดมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะพี่ใหญ่” เธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพิชชา หน้าตายิ้มแย้มสดใส
“อ้าว มายังไงเรา” ธาดาละสายตาจากลูกชายหญิงหันไปมองคนที่มาทัก พบว่าเป็นญาติผู้น้องของเขาเอง เมธิชาเป็นลูกของน้าที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณเกตุวดี
“มาทานอาหารกับเพื่อนค่ะ” เมธิชามองเด็กชายหญิงที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างสนใจเป็นพิเศษ ปกติเธอไม่เห็นญาติผู้พี่จะสนิทกับเด็กคนไหนแบบนี้
“น้องพุท น้องแพรวสวัสดีอามีนก่อนครับลูก” ธาดาบอกเด็กๆ และแนะนำให้รู้จักกับน้องสาว
“มีนนี่ลูกพี่ พุทกับแพรวเป็นฝาแฝด”
เมธิชาตาโต เธอไม่เคยรู้เลยว่าญาติผู้พี่มีครอบครัวแล้ว หญิงสาวยิ้มให้เด็กๆ เอ็นดูหน้าตาน่ารักของทั้งคู่
“สวัสดีค่ะ พุทกับแพรวเหรอคะ น่ารักจัง” เมธิชารับไหว้หลานและถามธาดาต่อ
“มีนไปทำงานต่างจังหวัดไม่เท่าไหร่ ไม่เห็นรู้เลยว่าพี่ใหญ่มีครอบครัวแล้ว แล้วแฟนพี่ล่ะคะ”
“นั่นไง แม่เจ้าแฝดมาแล้ว” ธาดามองไปทางด้านหลังของญาติสาวเธอจึงหันตามไป เห็นผู้หญิงสวยจัด ผิวพรรณหน้าตาดีท่าทางมั่นใจในตัวเอง เป็นคนในแบบที่เมธิชาแปลกใจพอสมควร เธอคิดว่าธาดาชอบผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานเสียอีก
“พราวครับ นี่มีนน้องผม มีนเป็นลูกของน้าแท้ๆ ของผมเอง”
พิชชายิ้มให้หญิงสาวที่ดูน่าจะวัยเดียวกับเธอ
“สวัสดีค่ะคุณมีน ทานด้วยกันไหมคะ”
“เรียกชื่อเฉยๆ ก็พอค่ะพี่พราว” เมธิชาเรียกเธอตามศักดิ์ที่หญิงสาวคิดว่าพิชชาเป็นพี่สะใภ้
“งั้นก็เรียกพราวเฉยๆ เหมือนกันก็ได้ค่ะ ไม่ต้องมีพี่หรอก” พิชชาพูดยิ้มๆ เธอขยับเก้าอี้ให้เมธิชานั่งด้วย
“ไม่ได้ค่ะ พี่พราวเป็นพี่สะใภ้ต้องเรียกพี่ถูกแล้ว”
พิชชาทำสีหน้าตกใจ เธอจะปฏิเสธแต่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา
“อุ๊ยเพื่อนมีนมาแล้ว ขอตัวก่อนนะคะพี่ใหญ่ พี่พราว อาไปแล้วค่ะเด็กๆ ไว้เจอกันใหม่” เมธิชารีบร้อนไปหาเพื่อนที่นัดไว้ พิชชาได้แต่อ้าปากค้างพูดไม่ทัน
“ปล่อยไปจะดีเหรอคะคุณพราว” ปาณีไม่เห็นด้วยเท่าใดที่พิชชาไม่เอาเรื่องพนักงานสองคนนั้น“ดีค่ะ พราวเพิ่งมาที่นี่ยังไม่อยากสร้างศัตรู แต่ถ้าสองคนนั้นไม่เลิกพฤติกรรมแบบนี้ต่อไปคุณใหญ่ก็รู้เอง” พิชชาตอบปาณีจึงไม่ถามอะไรอีก พิชชายกเครื่องดื่มเข้าไปในห้องเอง หญิงสาววางให้ธาดาเห็นเขาคร่ำเคร่งกับเอกสารจึงไม่ชวนคุย เธอเปิดโทรศัพท์คุยงานกับลูกน้องทางออนไลน์เกี่ยวกับการย้ายฟาร์มฟาร์มใหม่ที่ย้ายไปมีโรงเรือนที่เธอสั่งติดตั้งใหม่จำนวนเท่ากับของเดิมเพื่อให้ผักที่ขนย้ายไปมีที่ลงทันที ส่วนโรงเก่าจะได้ทำการฆ่าเชื้อก่อนเริ่มการเพาะปลูกรอบใหม่ทั้งพิชชาและธาดาต่างคนต่างทำงานตัวเองจนกระทั่งปาณีเข้ามาเพื่อนำเอกสารมาให้ธาดา“นี่ค่ะที่คุณใหญ่เอกสารของลูกค้าเคสที่คุณอยากดูรายละเอียด” “ขอบคุณครับ” ธาดาปิดเอกสารที่อ่านอยู่ หันมาสนใจแฟ้มอันใหม่ที่เลขาเพิ่งนำเข้ามา เขาเปิดดูแบบฟอร์มและรายละเอียดต่างๆ ไปจนถึงภาพประกอบทรัพย์สินที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้และเป็นตามที่คิดจริงๆภาพของที่ดินแปลงในโฉนดปรากฎว่าเป็นฟาร์มผักไฮโดรของพิชชา มันถูกระบุว่าเป็นกิจการของนายพายัพผู้ขอสินเชื่อ ชายหนุ่มใช้กระดาษโน้ตเขียนแปะท
บ่ายวันนั้นคุณเกตุวดีขอกลับบ้านเพราะไม่สะดวกใจที่จะพบใครคนอื่นอีก ท่านเริ่มรู้สึกว่าใครต่อใครต่างพากันมาจนไม่ได้พักผ่อนเมื่อมารดาจะกลับบ้านธาดาจึงแยกไปที่ทำงานโดยที่พาพิชชาไปด้วย หญิงสาวมองตึกสูงอันเป็นสาขาใหญ่ของธนาคารที่เป็นธุรกิจของครอบครัวเสขสุรักษ์อย่างทึ่งในใจจริงอยู่ว่าเธอไม่ลำบาก แต่ฐานะเดิมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเศรษฐี ตอนไปบ้านเขาที่ยังคงบรรยากาศบ้านแบบเก่ามีความเป็นครอบครัวที่สมาชิกใกล้ชิดกันจึงไม่เกร็งเท่ากับการมาที่ทำงานแบบนี้ ชายหนุ่มพาเธอเดินตรงจากชั้นจอดรถส่วนตัวเข้าไปที่ลิฟต์ผู้บริหาร หญิงสาวมองระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างแปลกตา ต้องมีการสแกนนิ้วมือก่อนที่จะเปิดประตูเข้าภายในอาคาร ลิฟต์พาเขาและเธอขึ้นไปชั้นบนสุดของอาคาร“ลิฟต์ตัวอื่นด้านหน้าจะมาถึงได้แค่ชั้นสิบ พนักงานทั่วไปก็ขึ้นมาได้แค่ชั้นสิบ ส่วนชั้นสิบเอ็ดจะมีแค่ลิฟต์ตัวนี้ที่ผมกับผู้บริหารคนอื่นๆ กับบรรดาผู้ช่วยที่จะใช้ได้” ธาดาอธิบายพลางแตะเอวเธอให้เดินออกจากลิฟต์ ชายหนุ่มพาเธอเดินตรงไปยังห้องในสุด บนนี้บรรยากาศเงียบมากจนเธอคิดว่าหากเข็มสักเล่มหล่นพื้นก็น่าจะได้ยิน“คุณณีนี่คุณพราวภรรยาผม
วันรุ่งขึ้นที่โรงพยาบาล คุณเธียรกับคุณเกตวดีหน้าเครียดเมื่อลูกชายและสะใภ้ไปถึง“มีอะไรกันครับพ่อ” ชายหนุ่มสังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรหรือใครมาพูดอะไรกับบิดามารดา“เอ่อ... ลูกไม่ไปทำงานเหรอวันนี้” คุณเธียรลำบากใจเพราะเห็นพิชชามาด้วย เกรงว่าเธอจะคิดมาก“ผมลาครับว่าจะไปช่วยพราวขนของให้เสร็จ”“ดีลูก ย้ายมาอยู่ด้วยกันนะแม่จะได้สบายใจ” คุณเกตุวดีจับมือพิชชา “มีอะไรรึเปล่าคะคุณแม่” เธอเองก็สงสัยเหมือนธาดาว่าอนันต์คงไม่ยอมหยุด หญิงสาวนึกไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้รุ่นพี่ที่เคยแสนดีแบบเขา กลายเป็นคนน่ารังเกียจแบบนี้“ก่อนที่ลูกสองคนจะมา หมออนันต์เขาพาผู้หญิงกับเด็กมาบอกว่าเป็นหลานของพ่อแม่ เป็นลูกตาใหญ่” คุณเกตุวดีเป็นคนพูดเองในขณะที่ท่านยังจับมือพิชชาไว้“ผมไม่เชื่อ” ธาดาพูดทันที หากอนันต์เอาสเปิร์มของเขาไปใช้กับคนอื่นมันควรจะสารภาพในวันแรกที่ถูกฌานพาตัวมาเค้นความจริงที่บ้านเสขสุรักษ์แล้ว“แม่ก็ไม่เชื่อ หนูพราวไม่ต้องกังวลนะลูก” “แล้ว... ถ้าเด็กคนนั้นเป็นลูกคุณใหญ่จริงๆ ล่ะคะ”คำถามของพิชชาทำให้ทุกคนในห้องเงียบงัน “ถ้าจริงผมจะเอามันเข้าคุก จะฟ้องถอนใบอนุญาตของไอ้หมอนั่น มันจะทำมาหากินใ
แต่เย็นนั้นเกิดเหตุร้ายคือคุณเกตุวดีลื่นหกล้มในห้องน้ำ หญิงสูงวัยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เนื่องจากท่านอายุมากแล้วคุณหมอเจ้าของไข้จึงแนะนำให้เอ็กซเรย์ร่างกายในวันรุ่งขึ้น “แพรวจะอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าค่ะ” พิชนันท์บอกในห้องพักผู้ป่วยทำให้คุณย่ายิ้มแก้มปริ“ไม่ต้องหรอกลูก วันจันทร์หนูต้องไปโรงเรียนนะคะ โรงเรียนหนูอยู่ไกลด้วยสิ” ท่านลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างแสนรัก“พุทก็อยากอยู่ด้วยฮะย่า” ณพิชย์พูดขึ้นบ้าง เด็กชายอยากอยู่รพ.ตั้งแต่คราวแม่ตกบันไดแล้ว“ไม่ได้เหมือนกันค่ะพุทต้องไปโรงเรียนเหมือนแพรวนะลูก” ท่านหันมากอดหลานชายที่ปีนขึ้นมายืนบนเก้าอี้ใกล้เตียงผู้ป่วย“พุทลงมาก่อน” พิชชาดุลูกชาย เธอคิดว่าสักวันณพิชย์จะต้องมีการตกลงจากที่สูงบ้างไม่วันใดก็วันหนึ่ง##############“พราวว่าเราย้ายมาอยู่กันที่นี่ดีไหมคะ” เหตุการณ์ที่แม่สามีลื่นล้มทำให้เธอรู้สึกว่าท่านทั้งสองควรมีลูกหลานอยู่ด้วย เธอรู้ว่าธาดาห่วงแม่มาก แต่เขาอาจจะไม่กล้าเอ่ยปากขอมาอยู่ที่นี่“แล้วพราวจะไปทำงานไหวเหรอ หรือว่าย้ายออฟฟิศมาใกล้หน่อยดีไหมครับ” ธาดาไม่อยากให้เธอขับรถไกลไปทำงานมากกว่าวันละห้าสิบกิโล“ความจริงช่วงนี้พราวกั
เช้ามืดวันรุ่งขึ้นพิชชาลุกไปเข้าห้องน้ำ เธอกลับมานอนต่อก็ถูกรวบตัวไปกอดทันที“คุณใหญ่ ฮื้อ...พราวจะนอน” เธอปัดป้องแต่ถูกรูดชุดนอนออกจากตัวโยนลงข้างเตียงอย่างรวดเร็วธาดาใช้ปากปิดปากเธอ กลืนเสียงห้ามให้หายไป พิชชาอึกอักก่อนจะอ่อนแรงลง สองมือเปลี่ยนจากดันตัวเขาออกเป็นโอบกอดเขาแน่น ชายหนุ่มจูบวนเวียนที่ริมฝีปากอิ่มมือใหญ่นวดเฟ้นทรวงอก ปลายนิ้วบดบี้ยอดถันจนเธอครางเสียงระโหย เขาเลื่อนริมฝีปากลงมาตามผิวเนื้อนวล ใต้คางที่เริ่มมีตอหนวดขึ้นทำให้พิชชาห่อตัวด้วยความจั๊กจี้ “อื้อ... คุณใหญ่ขา...” เธอครางในลำคออย่างคาดหวัง มือของเขาเลื่อนลงไปจนถึงเนินหน้าท้อง ใช้เข่าดันเรียวขาเธอให้กว้างขึ้นแทรกตัวเองลงไปจรดจมูกลงบนท้องน้อยต่ำลงไปเรื่อยๆ การจูบดูดดึงบริเวณนั้นทำให้พิชชาตัวสั่นด้วยความปรารถนา หญิงสาวกระชากไหล่เขาให้ขึ้นมาหาเธอ“พอแล้วค่ะ พราวจะ...” เธอเงียบเพราะจุกจากการที่ธาดาผลักดันตัวเองเข้าไปในซอกหลืบหนึบแน่นจนสุดในคราวเดียว เสียงครางเล็กๆ เริ่มดังเมื่อเขาขยับตัวเนิบนาบ“พราวครับ เปลี่ยนกันนะ” เขากระซิบข้างหูด้วยถ้อยคำที่เธอไม่เข้าใจ และต้องตกใจเมื่อถูกพลิกตัวให้เป็นเ
เย็นวันศุกร์ในสัปดาห์ต่อมาธาดาและพิชชาพาลูกมานอนที่บ้านเสขสุรักษ์ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ทีแรกที่นี่เด็กทั้งสองมีห้องส่วนตัวที่คนเป็นพ่อจัดให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มา มีของเล่นในห้องที่ช่วยเสริมทักษะด้านต่างๆ อย่างเต็มที่“แม่เล่านิทานให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ” พิชนันท์กอดเอวมารดาในห้องนอนเจ้าหญิงของเธอ“เขาฟังด้วย” ณพิชย์ที่เข้ามาพร้อมธาดารีบวิ่งเข้ามากระโดดขึ้นเตียงคู่แฝด“นี่ห้องเขานะพุท” พิชนันท์ตอบ“แต่ตัวเป็นพี่เขาไง” เด็กชายเถียงจนมารดาหัวเราะ“พุทจะฟังก็มานั่งฟังดีๆ ค่ะ แพรวจะให้แม่เล่าเรื่องอะไรคะ” “นี่ค่ะแม่” เด็กหญิงชูสมุดนิทานเรื่องลูกหมูสามตัว พิชชารับมาเปิดอ่านโดยที่เด็กทั้งสองนอนลงข้างกัน พิชชานั่งข้างนึงอีกข้างเป็นธาดาที่ฟังเงียบๆหญิงสาวเริ่มอ่านนิทาน ทำเสียงเป็นจังหวะให้เด็กๆ รู้สึกสนุกสนานจนธาดาเริ่มเคลิ้มจะหลับ แต่พิชนันท์กับณพิชย์ฟังตาใส“และในที่สุด ลูกหมูทั้งสามตัวก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในบ้านหลังที่สาม โดยที่เจ้าหมาป่าไม่สามารถจะพังบ้านของพวกมันได้อีกต่อไป” “ถ้าเจ้าลูกหมูมีพี่น้องคนที่สี่จะสร้างบ้านด้วยอะไรฮะแม่” ณพิชย์โพล่งขึ้นมา“ก็บ้านปูนไง” พิชนันท์







