Share

บทที่ 10

Author: ไห่ตงชิง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึง

เมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”

เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”

ปึง

หลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”

ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที

เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจ

เขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบท

ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพื่อปราบปรามผู้คน ซึ่งเทียบเท่ากับการล้มล้างกฎเกณฑ์ของราชสำนักโดยสิ้นเชิง

เหลยนั่วซานทั้งตกใจทั้งโมโห ในความคิดของเขา แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังต้องสร้างสมดุลระหว่างการเมืองกับเสนาบดีเช่นพวกเขาในราชสำนัก องค์รัชทายาทเป็นเพียงผู้ดูแลประเทศเท่านั้น กล้าดีอย่างไรมาท้าทายกฎเกณฑ์?

“องค์รัชทายาท ท่านต้องการสังหารกระหม่อมหรือ?”

เหลยนั่วซานจ้องเขม็งไปที่หลี่เฉิน คิดว่าหลี่เฉินคงไม่กล้าแตะต้องเขา

มิฉะนั้นขุนนางทั้งบุ๋นบู๊จะต้องเคลื่อนไหว ขับไล่องค์รัชทายาท

“องค์รัชทายาทท่านต้องคิดให้รอบคอบ เมื่อทำเช่นนี้แล้ว มันจะทำให้จิตใจของขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เย็นชา และจะไม่มีใครกล้าช่วยองค์รัชทายาทจัดการปัญหา”

คำขู่ที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะ

“ลากเสนาบดีที่ไม่เชื่อฟังคนนี้ไปประหารให้ข้า!”

เมื่อหลี่เฉินสั่ง องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพาก็ไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ขุนนางขั้นอะไร ด้วยวิธีล้างสมองมาหลายปีของหน่วยงานบูรพา แนวคิดเรื่องอำนาจสูงสุดของฮ่องเต้ถูกจารึกไว้ในกระดูกของพวกเขา

องครักษ์เสื้อแพรสองสามนายพุ่งเข้ามาดุจหมาป่าดั่งพยัคฆ์ จับเหลยนั่วซานทั้งซ้ายขวาแล้วลากออกไป

ครั้งเหลยนั่วซานตื่นตระหนกมาก

เขาพบว่าความเชื่อมั่นและความมั่นใจของเขาเป็นเหมือนเรื่องตลกไร้สาระต่อหน้าหลี่เฉิน

หลี่เฉินไม่มีความตั้งใจที่จะเล่นตามกฎเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้ตั้งแต่ต้น

“องค์รัชทายาท! ท่านโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะโน้มน้ามใจขุนนางได้อย่างไร?”

หลี่เฉินพูดอย่างเย็นชา “หัวของนักวิชาการหอเหวินหยวนคนหนึ่ง ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้ากลัวข้าได้ เช่นนั้นก็เพิ่มหัวของเสนาบดีกรมครัวเรือนไปอีกหนึ่ง แล้วข้าจะดูสิว่า กระดูกแข็งๆ ของนักวิชาการ จะทนดาบคมๆ ของข้าได้หรือไม่”

“เจ้าคิดว่าข้าจะเล่นสิ่งที่เรียกว่าการประนีประนอมและสมดุลกับเจ้าแล้วค่อยๆ ดึงพลังกลับคืนมา? เจ้าคิดมากไปแล้ว หากเป็นจ้าวเสวียนจีก็อาจจะพอมีคุณสมบัติอยู่บ้าง แต่กับเจ้า ที่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น เสนาบดีกรมครัวเรือนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง กลับกล้าเข้ามาร่วมการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่า ผลที่ตามมาจากการเลือกข้างผิดเป็นเช่นไร”

สิ้นประโยคของหลี่เฉิน เขาก็โบกแขนเสื้อ องครักษ์เสื้อแพรก็ลากเหลยนั่วซานที่กรีดร้องและดิ้นรนออกไป โดยไม่พูดไม่จาสักคำ

จากนั้นเสียงกรีดร้องก็หยุดกะทันหันนอกประตูตำหนัก

ผ่านไปสักพัก องครักษ์เสื้อแพรนายหนึ่งก็กลับมาหาหลี่เฉิน โดยกุมศีรษะมนุษย์ที่เปื้อนเลือดไว้ในมือ นั่นเป็นหัวของเหลยนั่วซาน ดวงตาของเขาเบิกกว้างคล้ายตายตาไม่หลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ

“องค์รัชทายาท ขุนนางทรยศเหลยนั่วซานถูกสำเร็จโทษแล้ว”

“พอดีเลยพระคลังว่างเปล่า ไปค้นบ้านของเหลยนั่วซาน ยึดทรัพย์สินทั้งหมด ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนในสามชั่วโคตรถูกลดระดับเป็นทาส และส่งไปที่กองทัพ ส่วนผู้หญิงที่อายุมากกว่าสิบสี่ปีจะถูกส่งเข้ากองทัพ ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่หญิง ส่วนคนแก่ คนอ่อนแอและเด็กจะถูกไล่ออกจากเมืองหลวง และจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหลวง”

“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกสวีฉังชิงผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมครัวเรือนมา ข้าอยากจะรู้ว่าวันนี้ จะต้องตัดหัวกรมครัวเรือนไปกี่คน ถึงจะหาคนที่สามารถจัดการเรื่องราวให้ข้าได้”

อย่างไรก็ตาม เสนาบดีกรมครัวเรือนนั้นเป็นขุนนางขั้นที่ 2 และเป็นผู้นำกรมคนหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นหนึ่งใ นเสาหลักของจักรวรรดิ

แต่เหลยนั่วซานก็ถูกตัดหัวเช่นนี้

ความวุ่นวายที่เกิดจากเหตุการณ์นี้รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคนส่วนใหญ่ได้ยินข่าว พวกเขาคิดว่าพวกเขาฟังผิด หรือคิดว่าองค์รัชทายาทบ้าไปแล้ว

หลี่เฉินไม่สนใจว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

เขามองไปที่สวีฉังชิงซึ่งรีบมาจากกรมครัวเรือน และกำลังหอบหายใจแฮ่กๆ อยู่

“กระหม่อม ผู้ช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมครัวเรือน สวีฉังชิง เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปีๆ ”

เทียบกับเหลยนั่วซานแล้ว สวีฉังชิงรู้กฎเกณฑ์กว่ามาก

หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว เขาก็ก้มศีรษะค้อมเอว ลดสองมือลง โดยไม่กล้ามองหน้าหลี่เฉิน เขาคุกเข่าลงโดยตรง และแซ่ซ้องว่าทรงพระเจริญ

ในเวลานี้ สวีฉังชิงรู้เพียงว่าเหลยนั่วซาน หัวหน้าของตนนั้นถูกเรียกไปยังตำหนักบูรพา แต่เรียกไปทำไม แล้วคนอยู่ที่ไหน เขาไม่รู้เลย

อย่างไรก็ตาม ในห้องโถงใหญ่ มีคราบมากมายที่แม้ว่าจะทำความสะอาดแล้ว แต่ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นคราบเลือด ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“ไม่ต้องพิธีรีตอง”

หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “เหลยนั่วซานตายแล้ว”

“หัวของเขาถูกวางไว้ข้างๆ เจ้าเมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้ว หากเจ้าดูให้ดี เจ้าน่าจะมองเห็นร่องรอยที่เหลืออยู่”

สวีฉังชิงหนังตากระตุก เขาตกใจจนไม่กล้าหายใจเข้า

หัวของเขากำลังแล่นฉิว และเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นวิกฤตครั้งใหญ่ และมันก็เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาอีกด้วย

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสในรอบหมื่นปี ที่จะก้าวข้ามอุปสรรคที่ทำให้เจ้าหน้าที่นับไม่ถ้วนต้องสิ้นหวังตลอดชีวิตของการเป็นขุนนางขั้นที่สอง เลื่อนไปเป็นเสนาบดีขุนนางขั้นที่หนึ่ง

หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในช่วงสั้นๆ สวีฉังชิงก็พูดทันทีว่า “กระหม่อมไม่รู้เหลยนั่วซานก่ออาชญากรรมอะไร แต่เนื่องจากองค์รัชทายาททรงโกรธมาก ดังนั้นเขาจึงสมควรตาย”

หลี่เฉินหัวเราะขึ้นมา และพูดว่า “เจ้าฉลาดกว่าเขามาก”

สวีฉังชิงก้มหน้า ไม่กล้ามองหลี่เฉิน เขากล่าวว่า “กระหม่อมรู้แค่ว่าฮ่องเต้พระวรกายมังกรไม่ดีนัก และไม่สามารถจัดการกิจการของประเทศได้ และองค์รัชทายาทก็เป็นผู้ควบคุมดูแลประเทศ ดังนั้นจึงต้องฟังองค์รัชทายาท”

หลี่เฉินเริ่มพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้เขาไม่มีรากฐานเลยในราชสำนักอาจกล่าวได้ว่าคนของจ้าวเสวียนจีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

และเขาจำเป็นต้องจัดตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาอย่างเร่งด่วน เพื่อควบคุมอำนาจของตัวเอง

ดังนั้นสำหรับการเลือกสมาชิกเข้าทีมนั้น สิ่งแรกคือการฉลาดเพียงพอและมีความทะเยอทะยานเพียงพอ อย่างที่สองคือความสามารถ

คนที่ฉลาดเกินไป จะไม่ติดตามเขาในเวลานี้

มีเพียงคนฉลาดและทะเยอทะยานเท่านั้นที่จะติดตามเขาในตอนที่รากฐานของเขาอ่อนแอ เพื่อที่จะได้รับรางวัลมากขึ้น หากเขาชนะในอนาคต

สำหรับความสามารถ ถ้าหากผ่านประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในแวดวงขุนนางมาได้หลายปี และสามารถปีนจากขั้นที่หก ขึ้นมาเป็นขั้นที่สองได้ คนแบบนี้จะขาดความสามารถได้อย่างไร?

“ลองดูนี่สิ”

หลี่เฉินไม่ยกเรื่องของเหลยนั่วซานขึ้นมาพูดอีก แต่โยนสาส์นกราบทูลข้อราชการมณฑลหนานเหอไปตรงหน้าสวีฉังชิง

สวีฉังชิงถือสาส์นกราบทูลข้อราชการด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพ แล้วอ่านอย่างละเอียด

ทันทีที่เขาเห็นเนื้อหานี้ เขาก็รู้ว่าองค์รัชทายาทกำลังทำอะไรอยู่

สวีฉังชิงวางสาส์นกราบทูลข้อราชการลง และกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “องค์รัชทายาท ภัยพิบัติในมณฑลหนานเหอได้เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มีการส่งสาส์นกราบทูลข้อราชการมากกว่าสิบครั้ง แต่ละครั้งยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ”

“แล้วทำไมเราไม่บรรเทาภัยพิบัติล่ะ?” หลี่เฉินถาม

“ท้องพระคลังว่างเปล่า”

สวีฉังชิงประสานมือ แล้วตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ตอนนี้ท้องพระคลังมีเพียง 3.7 ล้านตำลึง แม้แต่เงินเดือนที่ใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศก็ยังไม่เพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงการบรรเทาภัยพิบัติเลย มณฑลหนานเหอต้องการบรรเทาสาธารณภัย หากไม่มีถึงห้าล้านตำลึงก็ไม่อาจรับมือไหว มันเป็นแค่หยดเดียวในถังเท่านั้นองค์รัชทายาท”

“ข้าจำได้ว่าท้องพระคลังมีรายได้จากภาษีถึง 60 ล้านตำลึงทุกปี แต่ทำไมมันว่างเปล่าจัง ?” หลี่เฉินขมวดคิ้วถาม

สวีฉังชิงยิ้มอย่างขมขื่น “เงินเดือนของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ต่างๆ ภัยแห้งแล้งทางภาคเหนือกินเวลานานกว่าหนึ่งปี น้ำท่วมในภาคใต้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว และค่าใช้จ่ายทางทหารก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ยังมี...”

พูดถึงตรงนี้ สวีฉังชิงก็ได้ตระหนักว่าได้พูดเรื่องที่ไม่ควรออกไป จึงรีบปิดปากไม่กล้าพูดต่อ

“เจ้าพูดมา ข้าจะไม่ลงโทษเจ้า” หลี่เฉินพูดอย่างใจเย็น

สวีฉังชิงได้ยินดังนั้น จึงกัดฟันพูดอย่างกล้าหาญว่า “ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป อ๋องศักดินา เช่น หานอ๋อง ชูอ๋อง จ้าวอ๋อง จิ่งหยางอ๋องและคนอื่นๆ ต่างเริ่มไม่จ่ายเงินสมทบประจำปีด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นรายได้ส่วนใหญ่จึงหายไป”

หลี่เฉินหรี่ตา

อ๋องศักดินา!

ในระบบต้าฉิน หลังจากอ๋องศักดินาได้ศักดินาแล้ว พวกเขาจะมีอำนาจทางการทหาร อำนาจทางการเมืองและสิทธิในการเก็บภาษีในดินแดน แค่ต้องจ่ายส่วยประจำปีจำนวนหนึ่งให้กับราชสำนักทุกปี ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นประเทศซ้อนประเทศอีกที

สองร้อยปีหลังจากสถาปนาราชวงศ์ฉิน อ๋องศักดินาเหล่านี้ก็กลายเป็นมะเร็งก้อนใหญ่

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลี่เฉินไม่ได้พูดอะไรมากเรื่องอ๋องศักดินา

ตอนนี้ฮ่องเต้อาจจะสิ้นพระชนม์เมื่อใดก็ได้ และจักรวรรดิจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย หลี่เฉินไม่ต้องพูดเลยว่าอยากจะโค่นล้มอ๋องศักดินาเพียงใด เพราะเหล่าเสด็จลุงพวกนั้นก็กำลังรอให้ฮ่องเต้สิ้นพระชมน์ เพื่อที่จะได้ชูธงโค่นล้มเขา

ดังนั้นการจะมุ่งเป้าไปที่อ๋องศักดินาจะต้องรอจนกว่าเขาจะขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ

ส่วนตอนนี้ เริ่มแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในประเทศก่อน

“ภัยพิบัติเกิดขึ้นมานานหลายปี ราชสำนักได้จัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ข้ารู้ว่าเจ้าหน้าที่ด้านล่างไม่สามารถจัดการกับพวกเขาโดยไม่เปื้อนน้ำมันได้ จงส่งรายงานชื่อผู้ทุจริต เจ้าหน้าที่ที่เจ้ารู้จัก มอบมันให้หน่วยงานบูรพา แล้วหน่วยงานบูรพาจะจัดการมัน”

หลี่เฉินซึ่งกำลังขาดแคลนเงินให้ความสนใจกับเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตเป็นอย่างมาก

ยิ่งประเทศยากจน ก็มีคนสองกลุ่มเทานั้นที่ร่ำรวยขึ้น

กลุ่มแรกคือเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต กลุ่มที่สองคือพ่อค้า

“ยังมี ราคาเมล็ดพืช น้ำมัน ข้าว บะหมี่และของใช้จำเป็นอื่นๆ ตอนนี้ราคาเท่าไหร่?”

สวีฉังชิงตกใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้ยินคำว่าหน่วยงานบูรพา แต่เมื่อได้ยินคำถามเขาก็รีบตอบโดยสัญชาตญาณ “ราคาพุ่งสูงขึ้น ราคาข้าวขึ้นถึงระดับไร้สาระแล้ว เมื่อต้นปี 5 เหรียญทองแดงก็ซื้อข้าวใหม่คุณภาพดีได้หนึ่งจิน แต่ตอนนี้ แม้แต่ข้าวเก่าที่ขึ้นราก็ยังหาซื้อไม่ได้ ถ้าไม่มีเงิน 30 เหรียญทองแดง”

“ข้าวในตลาดกระจุกตัวอยู่ในมือของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ที่ร่วมมือกันดันราคาให้สูงขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กรมครัวเรือนเคยขอยืมเมล็ดพืชจากพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวง ในนามของราชสำนัก แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ได้รับอะไรเลย แต่พวกเขาไม่เพียงไม่ให้ ยังมาร่องห่มร้องไห้หาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม น่ารังเกียจจริงๆ!”

“เจ้าไปเรียกรวมตัวพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้ง 3 รายในเมืองหลวงมา บอกว่าพรุ่งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงในตำหนักบูรพา”

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา “มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเงินในช่วงวิกฤตของประเทศ พ่อค้าเหล่านี้มักจะทำเงินได้มากมายในช่วงวิกฤตของประเทศเสมอ คิดจะสร้างความมั่งคั่งบนเรื่องนี้งั้นหรือ ราวกับว่าดาบของราชสำนักจะร่วงใส่คอพวกเขา?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App
Comments (1)
goodnovel comment avatar
ต.ตระกูล แก้ว
นุกนุกมากมากคับ
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 14

    “ท่านราชเลขาธิการ องค์รัชทายาทอายุน้อยไฟแรงกล้า บุ่มบ่ามเหลือเกิน ท่านในฐานะราชเลขาธิการ ต้องห้ามมิให้องค์รัชทายาทบังอาจเช่นนี้”ต้าหลี่ซื่อชิงซุนปั๋วหลี่เอ่ยด้วยความฉุนเฉียวด้านข้าง เถิงไหวอี้แห่งกรมยุติธรรมก็เอ่ยปาก “ใต้เท้าซุนพูดถูกต้องแล้ว ราชสำนักให้ความสำคัญกับราชเลขาธิการ หากปล่อยให้องค์รัชทายาทหนุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายต่อไป คิดดูสิว่าเมื่อวันหนึ่งฮ่องเต้ทรงหายประชวรขึ้นมา แล้วได้เห็นสภาพเมืองหลวงที่วุ่นวาย ราษฎรโกรธแค้น ต้องทรงพิโรธจนล้มป่วยอีกแน่ ท่านราชเลขาธิการ ยามนี้เราคงต้องหาทางจัดการกับองค์รัชทายาทหนุ่มน้อยเสียแล้ว” จ้าวเสวียนจีหลับตาลงชั่วครู่ แล้วเอ่ยกับมหาอำมาตย์พระที่นั่งเจี้ยนจี่หวังเถิงฮ่วนที่เป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการและกำลังก้มศีรษะดื่มน้ำชาด้วยเสียงราบเรียบ “สหายหวัง ท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้”หวังเถิงฮ่วนวางถ้วยน้ำชาลงเบาๆ และตอบว่า “องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ เพิ่งเริ่รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทราบเพียงใช้อำนาจเอาชีวิตคน แต่ทรงไม่เข้าใจว่าเบื้องหลังของอำนาจนั้น

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 15

    นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวชิงหลานเริ่มจับมือของหลี่เฉิน และเขาค่อย ๆ บีบผิวอันอ่อนนุ่มของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮามีแผนเช่นไร”จ้าวชิงหลานหักมือของเขาออกและพบว่าไม่อาจสลัดทิ้งได้ จึงเพิกเฉยต่อการกระทำที่เอาเปรียบของ หลี่เฉิน แล้วรีบเอ่ยว่าอย่างลาลาน “เหตุใดองค์รัชทายาทไม่ยอมละการสำเร็จราชการแทนไว้ก่อน เพราะราชสำนักตรงหน้าเจ้าก็ยังไม่คุ้นเคย เรียนรู้อยู่ข้างกายราชเลขาธิการไปก่อน รอถึงเวลาอันเหมาะสม ราชเลขาธิการย่อมคืนอำนาจให้ท่านรักษาการแทน” หลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวชิงหลานจะคิดถึงเขาในยามนี้ เขาได้ยินคำพูดของนางก็มิได้โกรธเคือง เพียงเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ฮองเฮาช่างเป้นลูกสาวที่ดีของตระกูลจ้าวเสียจริง ๆ เจ้าคิดทุกอย่างเพื่อราชเลขาธิการ เจ้าบอกว่านี่เป็นทางออกที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย จริง ๆ แล้วต่างจากการที่ข้าถูกปลดตรงไหนหรือ”จ้าวชิงหลานขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แล้วแผนขององค์รัชทยาทคืออะไร”“ข้าจะทำอะไร พูดกับเจ้า มิใช่เท่ากับบอกราชเลขาธิการหรอกหรือ”หลี่เฉินหัวเราะจาง ๆ ยกมือขึ้นแล้วกอดเอวของจ้าวชิงหลานไว้ในอ้อมแขนของเขา และเอ่ยประชิดหูของนาง “ในเมื่อพ่อของเจ้าเนรคุณ ถ้าเช่นนั้นข้า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 16

    เมื่อเห็นว่าองค์ชายเก้ากำลังจะเปิดม่านประตูและความลับระหว่างนางกับหลี่เฉินจะถูกเปิดเผย จ้าวชิงหลานก็รู้สึกว่าลมหายใจหยุดลงชั่วขณะหากองค์ชายเก้าเห็นฉากตรงหน้าขึ้นมาจริง ๆ นางและหลี่เฉินจะทำอะไรได้อีก นอกจากสังหารเขาและปิดปากเขาเล่าหลี่เฉิน หลี่เฉิน!จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนก โดยหวังว่าเขาจะหาทางหยุดองค์ชายเก้าได้นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องพึ่งพาหลี่เฉินเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาทว่าหลี่เฉิน...ในยามนี้ มือของเขากลับไม่หยุด แต่ปลดสายรัดหน้าท้องของชุดชั้นในจ้าวชิงหลานออกดวงตาของจ้าวชิงหลานเบิกกว้างขณะที่รู้สึกว่าร่างกายคลายตัวขณะนี้ นางสงสัยจริง ๆ ว่าหลี่เฉินคือคนบ้ากามกลับชาติมาเกิดนางมีความคิดที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและต่อสู้กับไอ้สารเลวผู้นีให้รู้แล้วรู้รอดตายไปด้วยกัน!ด้านนอก มือขององค์ชายเก้าได้ยื่นผ่านม่านประตูออกมาแล้ว เพียงแต่ต้องยกขึ้นเพื่อดูทุกสิ่งในห้องพักทันใดนั้น จ้าวชิงหลานรู้สึกถึงความเบาบนร่างกายของนาง และหลี่เฉินก็ลงจากร่างกายของนางจริง ๆฉะนั้น เมื่อองค์ชายเก้าเปิดม่านประตู เขาเห็นฮองเฮานอนอยู่บนตั่งนอนด้วยใบหน้าแดงก่ำและความลำบาก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 17

    “องค์ องค์รัชทายาทเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด”เมื่อจ้าวหรุ่ยเห็นหลี่เฉิน ก็หวาดกลัววิญญาณแทบหลุดออกจากร่างนางไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนเห็นนางซ่อนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ หากถูกค้นพบ ชะตากรรมของนางจะต้องเศร้าหมองมากกว่าของเฉินจื้อเป็นล้านเท่าอย่างแน่นอน“ทำไม มีความลับอะไรที่กลัวข้าเห็นรึ”คำพูดของหลี่เฉินทำให้หัวใจของจ้าวหรุ่ยทะยานถึงลำคอ นางฝืนยิ้มและเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หยุดเย้าแหย่หม่อมฉันเสียที หม่อมฉันไม่มีความลับอันใดกับองค์รัชาทายาททั้งนั้น”หลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยว่า “ไม่เลว ยิ่สงบเสงี่ยมและเชื่อฟังขึ้นมากแล้ว”ขณะเอ่ย มือของหลี่เฉินก็ยื่นไปถึงเอวของจ้าวหรุ่ยแล้วจ้าวหรุ่ยรู้สึกสับสน รีบกดมือของหลี่เฉินและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “องค์รัชทายาท ข้ายังไม่พร้อม”“เจ้าต้องเตรียมอะไรอีก ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี”คำพูดของหลี่เฉินฟังดูเหมือนผู้ร้ายแต่เมื่อเขายกมือขึ้นเพื่อแก้ผ้าคาดเอวของจ้าวหรุ่ยออก กลับมีผ้าสีชมพูอ่อนนุ่มชิ้นหนึ่งหลุดออกจากหน้าอกในฐานะผู้หญิง ย่อมอ่อนไหวต่อสิ่งนี้มากที่สุดจ้าวรุ่ยมองเห็นอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตกจากอ้อมแขนของหลี่เฉินนั้นคือสายรัดหน้าท้องของผู้หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 18

    หลี่เฉินดูงุนงงและเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...อย่างไรเสียไปอาบน้ำก่อนเถิด...”ขณะเอ่ย หลี่เฉินพลิกตัวและลุกขึ้นจากเตียง อุ้มจ้าวหรุ่ยไว้ที่เอว แล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของจ้าวหรุ่ยตามคำสั่งของหลี่เฉิน นางกำนัลได้เตรียมน้ำร้อนไว้ให้พร้อมแล้ว องค์รัชทายาทผู้องอาจแห่งตำหนักบูรพาเข้าห้องน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่จึงโอบอวลไปด้วยไอร้อนระอุ หลี่เฉินวางจ้าวหรุ่ยลง ยกมือถอดชุดคลุมของนางออกจ้าวหรุ่ยใบหน้าแดงก่ำ คลุมเสื้อผ้าของตนแล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท หม่อมฉันลงมือเอง”“ข้าสนุกกับขั้นตอนนี้น่ะ”หลี่เฉินหัวเราะเสียงเบา และถอดผ้าบางชั้นนอกสุดที่จ้าวหรุ่ยสวมใส่ออกนิ้วเท้าสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเหยียบย่ำบนแท่นหินที่ยังเปียกด้วยน้ำ ผ้าคลุมสีแดงชั้นบางตกลงมาบนพื้น ม้วนตัวเป็นก้อน กลมกลืนไปกับนิ้วเท้าสีชมพูอ่อน เร้าให้ผู้คนอยากรู้ว่าใต้ฝ่าเท้าอันขาวเนียนนี้ซ่อนความงดงามใดไว้เสื้อผ้าหลุดทีละชิ้น จนท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสายรัดหน้าท้องและชุดชั้นในของนางเท่านั้น จ้าวหรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ขัดขืนไม่ให้หลี่เฉินถอดออกอย่างสุดกำลังในยุคสมัยศักดินา แนวคิดเรื่องพรหมจรรย์ของผ

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1067

    สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1066

    ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1065

    “ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1064

    เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1063

    ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1062

    “เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1061

    จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1060

    ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1059

    “จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status