Mag-log inสองวันที่แล้ว
บ้านตระกูล วัฒนวานิชเจริญ (บ้านณิชา)
บรรยากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความเงียบงัน เสียงนาฬิกาบนผนังเดินติ๊กต่อกแทบเป็นเสียงเดียวที่ได้ยิน
ณิชา นั่งนิ่งอยู่ตรงข้ามกับพ่อและแม่ ใบหน้าเรียวสวยแฝงความไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะได้ยิน
“ณิชา... ตอนนี้บริษัทของเรากำลังเจอปัญหาทางธุรกิจนะลูก”
น้ำเสียงของ นายประสิทธิ์ เต็มไปด้วยความหนักใจ เขามองสบตากับ ภารดี ภรรยาคู่ชีวิต ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยต่อ
“เราจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูล อภิพัฒน์วัฒนากุล… ข้อเสนอของเขาคือ หนูต้องแต่งงานกับ เจ้าคีย์ — คีรติ ลูกชายคนโตของคุณลุงดำรง”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
“พ่อค่ะ! แม่ค่ะ! หนูไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับใครทั้งนั้น ทำไมต้องให้หนูไปแต่งกับคนแปลกหน้าด้วยล่ะค่ะ!”
เสียงของเธอสั่น เธอลุกขึ้นยืน ดวงตาเริ่มร้อนผ่าวด้วยความอัดอั้น
ณิชา... สาวสังคมผู้เคยมีทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง ความสุขสบาย และอิสรภาพ เธอเรียนจบด้านการออกแบบจิวเวลรี่ กำลังจะเปิดร้านตามความฝัน
แต่ทุกอย่างกลับพังทลายในพริบตา เมื่อธุรกิจของครอบครัวเข้าสู่วิกฤติ
“พ่อคีย์เขาเป็นคนดีนะลูก และเราสองครอบครัวเป็นเพื่อนกัน ลุงดำรงกับป้าอรสาอยากได้หนูเป็นสะใภ้”
ภารดีพูดเสียงอ่อน แววตาเต็มไปด้วยความหวังดี
“หน้าที่การงานเขาก็ดี เป็นถึงประธานบริษัท เขาดูแลลูกได้แน่นอน แม่เชื่อแบบนั้น”
“แม่ค่ะ...”
ณิชาเอ่ยเสียงแผ่ว แววตาสั่นไหว
“ไม่มีทางอื่นจริง ๆ เหรอคะ ที่หนูจะช่วยได้โดยไม่ต้องแต่งงาน? หนูพร้อมทำทุกอย่างนะคะแม่ ทุกอย่างเลยจริงๆ แต่หนูไม่พร้อมจะแต่งงานโดยเฉพาะกับมาเฟียคีรติผู้เสื่อมสมรรถภาพนั้น...”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
นายประสิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาแล้วพูดช้า ๆ
“พ่อรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับลูก... แต่ตอนนี้ ทางเดียวที่จะพยุงธุรกิจของเราไว้ได้ คือการแต่งงานกับพ่อคีย์เท่านั้น”
เสียงสุดท้ายของเขาเหมือนค้อนตอกย้ำชะตากรรมที่เธอไม่อาจหลีกหนีได้
ณิชานั่งทรุดลงกับโซฟา ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
เธอรู้ดีว่าคำว่า ‘แต่งงานเพื่อธุรกิจ’ ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะปฏิเสธได้ แต่หัวใจของเธอ... ยังไม่พร้อมจะยอมรับเลยแม้แต่น้อย
“หนูขอเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวสักสามวันนะคะ คุณพ่อ คุณแม่...”
ณิชาพูดเสียงนิ่ง แต่แววตาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“แล้วหนูจะกลับมา...ให้คำตอบอีกทีค่ะ”
เธอลุกขึ้นจากโซฟา ก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ ประตูบานใหญ่ปิดลงพร้อมเสียงรองเท้าส้นสูงที่ค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที
ณิชาเดินออกจากบ้านด้วยหัวใจหนักอึ้ง แต่ก็เต็มไปด้วยความตั้งใจ
“สามวันเท่านั้น... สามวันฉันจะใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ อยากทำอะไรก็จะทำ”เธอพูดกับตัวเองในใจ
ประสิทธิ์มองตามลูกสาวจนลับสายตา ก่อนหันกลับมามองภรรยา
“คุณ...เราทำแบบนี้ มันจะดีจริงเหรอ สงสารลูกนะ”
น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อห่วงใยกับความรู้สึกผิดชัดเจน
ภารดีหัวเราะเบา ๆ
“ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เราจะได้อุ้มหลานล่ะคุณ”
ภารดีเอนตัวพิงโซฟาอย่างสบายใจ
“ยัยหนูน่ะดื้อจะตาย ถ้าไม่ให้เจ็บตัวบ้าง คงไม่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ หรอก”
“แต่คุณ...”
ประสิทธิ์มองภรรยาด้วยแววตากังวล
“เราทำร้ายจิตใจลูกเกินไปหรือเปล่า”
ภารดีหัวเราะในลำคอ
“เอาน่าคุณ ทุกอย่างต้องสมจริง ถ้าอยากให้แผนได้ผล เราต้องให้เธอรู้จักคำว่า ‘ไม่มี’ บ้าง”
“คุณสั่งระงับบัตรลูกหน่อยค่ะ ให้ใช้สักหนึ่งแสนบาทพอ สามวันเดี๋ยวลูกก็กลับมาเชื่อฉันนะ”
เพื่อภรรยาพูดจบ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์เลขาส่วนตัว
“คุณพรเพ็ญ...”
“สวัสดีค่ะท่าน”
“ช่วยจำกัดวงเงินบัตรเครดิตของคุณณิชาไว้แค่...หนึ่งแสนบาทนะตอนนี้เลย”
เสียงปลายสายตอบรับอย่างนอบน้อม
“รับทราบค่ะ ท่าน”
ประสิทธิ์วางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าพึงพอใจ ก่อนจะหันมามองภรรยาอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณ สามวันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวลูกก็รู้เองว่าโลกจริงมันไม่ได้มีแต่ความสบาย”
ประสิทธิ์ได้แต่ถอนหายใจ มองภาพภรรยาที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาอดคิดไม่ได้ว่า
ลูกสาวของเขา…จะเอาตัวรอดยังไงนะ
เด็กสาวที่เคยติดหรู ใช้เงินวันละแสนถึงล้านบัดนี้ กลับต้องมีเงินติดตัวหนึ่งแสนบาทสำหรับสามวันจะพอใช้ไหม จะปรับตัวได้ไหม?
นายประสิทธิ์ถอนหายใจยาว ความห่วงใยเป็นกังวลปรากฏชัดในสายตา
ภารดีนวดแขนสามีเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มหวาน
“ไม่ต้องห่วงหรอกคุณ ทุกอย่างต้องสมจริง ถ้าอยากให้ลูกสาวเราเรียนรู้โลกจริง ๆ สามวันนี้แหละ จะทำให้เธอรู้จักค่าเงิน รู้จักความลำบาก... และก็รู้ว่าชีวิตไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด”
ประสิทธิ์มองภรรยาด้วยสายตาผสมทั้งรักและสงสาร ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง
“แต่ผมก็อดห่วงลูกไม่ได้จริง ๆ คุณ…”
ภารดีหัวเราะเบา ๆ และมองออกไปนอกหน้าต่าง
“นั่นแหละความเป็นพ่อเป็นแม่ล่ะคุณ แต่บางครั้ง…เราก็ต้องให้ลูกสาวได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง”
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นแฝงรอยแผนการ
สองสามีภรรยารู้ดีว่า สิ่งที่พวกเขากำลังทำ อาจทำให้ลูกสาวของพวกเขาต้องเผชิญความท้าทาย แต่ก็เป็นบทเรียนที่จำเป็นสำหรับชีวิต
งานเลี้ยงบริษัทอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราแขกผู้มีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจต่างทยอยเข้าร่วมทุกคำเชิญ ทุกการจับมือ…ล้วนแฝงไว้ด้วยผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นประสิทธิ์และดำรงคือหนึ่งในผู้ถือบัตรเชิญประสิทธิ์มาพร้อมกับ ณิชาขณะที่ดำรงพา คีรติ มาร่วมงานเช่นเดียวกันและแน่นอน…หากพูดถึงงานที่ผลประโยชน์เดินนำหน้าเช่นนี้ชื่อของ ธันวา ย่อมไม่อาจหายไปจากรายชื่อแขกได้เสียงดนตรีแจ๊สคลอเบา ๆ ลอยอบอวลไปทั่วห้องจัดเลี้ยงแชนเดอเลียร์สะท้อนแสงระยิบระยับเหนือศีรษะณิชาในชุดราตรีสีครีมยาวพลิ้วความเรียบหรูตัดกับผิวขาวผ่อง ทำให้เธอโดดเด่นราวกับแสงจันทร์กลางห้องไม่ว่าจะก้าวไปทางไหน ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เธอโดยไม่รู้ตัวขวัญเดินควงแขนมากับเตชทัตทั้งคู่เป็นที่รู้กันดีในวงสังคมว่ามีแพลนจะแต่งงานกันในกลางเดือนหน้า“ณิชา ทางนี้!”ขวัญเรียกด้วยรอยยิ้มดีใจณิชากำลังจะก้าวเข้าไปหาเพื่อนแต่สายตาของเธอกลับชะงักค้างหญิงสาวผมยาว ผิวขาวลูกครึ่งในชุดราตรีสีดำเข้ารูปยืนเคียงข้างชายคนหนึ่ง…คนที่เธอเคยรักสุดหัวใจ“พี่คีย์…”ณิชาอุทานแผ่วเบา ราวกับกลัวเสียงของตัวเองจะดังเกินไปครึ่งเดือน…ครึ่งเดือนเต
มือของคีรติกำแน่น หัวใจเหมือนถูกบีบจนเจ็บ เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบที่สุด“ขวัญ… ถ้าไปถึงแล้ว ดูแลณิชาก่อนนะ พี่จะไปเดี๋ยวนี้”ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนขวัญจะเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล“พี่คีย์จะมาจริง ๆ เหรอคะ ถ้าณิชารู้ว่าพี่มา ทุกอย่างที่พี่ทำมาก่อนหน้านี้มันจะพังหมดนะคะ”“พี่แค่จะไปดูให้แน่ใจว่านิชาปลอดภัย แค่นั้นจริง ๆ”เขาตอบเสียงหนัก แต่แฝงความห่วงใยที่ปิดไม่มิด“พี่คีย์อดทนไว้นะคะ เพราะถ้ามีใครเห็นพี่แวะเวียนหรือข้องเกี่ยวกับณิชา ข่าวลือที่ปล่อยออกไปจะไม่น่าเชื่อถือทันที”ขวัญเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดต่อ“ไม่ต้องห่วงนะคะ ณิชาขวัญดูแลได้ ขวัญโทรหาพี่เตให้มาช่วยแล้วค่ะ”คีรติหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ขอบใจมากนะขวัญ… งั้นพี่ฝากณิชาด้วย”สายถูกตัดลง แต่ความเป็นห่วงในใจเขากลับหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิม“รักเธอมากแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย มันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง”เขาพึมพำคนเดียวห้อง VIP – Diva Dee Bar“ณิชา… ทำไมดื่มหนักขนาดนี้”ขวัญเอ่ยเสียงหลง เมื่อเห็นเพื่อนรักนอนพับอยู่บนโซฟา ร่างกายอ่อนแรงแทบไม่มีสติเจ๊ดีถอนหายใจยาว สีหน้าฉายแววเป็นห่วง“เจ๊ให้เด็กพามาที่ห้อง
ทันทีที่ณิชาเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับเขา“เพี้ยะ!”ฝ่ามือเล็กฟาดลงบนใบหน้าของคีรติอย่างแรง เสียงดังชัดเจนจนบรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที“อยากบอกเลิก ทำไมไม่บอกต่อหน้าฉันล่ะ มาเฟียสายโหด ความกล้ามีแค่นี้เองเหรอ?”ดวงตาของเธอแดงก่ำ เต็มไปด้วยความโกรธและความเจ็บปวด จนเขาแทบมองไม่เห็นความรักที่เธอเคยมีให้เขาอีกแล้ว“ถ้าไม่รักกันแล้ว ก็บอกกันตรง ๆ ไม่ต้องบอกแล้วหนีหน้าแบบนี้ ไม่ต้องกลัวฉันไม่รั้งใครไว้ทั้งนั้นเพราะณิชาไม่ใช่คนที่รอให้ใครมาบอกเลิกถ้าจะจบ…ฉันจะเป็นคนจบเอง”เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่น“ที่มาวันนี้ ฉันไม่ได้มาทวงความรัก ไม่ได้มาอ้อนวอน แค่อยากมาทำให้ทุกอย่างมันจบ ไม่ต้องค้างคา”ณิชาหยิบบัตรเครดิตที่เขาเคยให้ไว้สองสามใบออกมาจากกระเป๋า แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าเขาเสียงบัตรกระทบโต๊ะดัง แปะ แผ่วแต่หนักหน่วงเหมือนตอกย้ำจุดจบของความสัมพันธ์“ของของคุณ ฉันเอามาคืน และหวังว่าต่อจากนี้ เราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”เธอจ้องหน้าเขาตาเขม็ง“คนหลายใจอย่างคุณ ไม่คู่ควรที่จะมาเคียงข้างฉัน”ณิชาหลับตา กลืนน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาลง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เจ็บปวดที่สุดออกมา
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป อาการของณิชาดีขึ้น เธอจึงกลับมารักษาตัวต่อที่กรุงเทพ“พี่ณิชาอยากทานอะไรบอกพอร์ชได้นะครับ เดี๋ยวพอร์ชออกไปซื้อให้”พอร์ช น้องชายแท้ ๆ เข้ามาช่วยดูแลและเทคแคร์พี่สาวอย่างใกล้ชิด“ยังไม่อยากทานอะไรเลย ช่วงนี้กินไม่ค่อยลง”ณิชาตอบเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองแม่ที่ยืนจ้องเธออยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง“แม่ค่ะ… ณิชาเลิกกับพี่คีย์แล้วนะ เขาบอกเลิกณิชา เขากลับไปหาแฟนเก่าของเขาค่ะ”ภารดีสบตากับลูกสาว เธอรู้ดีว่าณิชากำลังเจ็บปวดมาก แต่ก็ไม่รู้จะช่วยเยียวยาอย่างไร“ถ้าลูกสองคนเลิกกันแบบนี้ งานแต่งก็คงต้องยกเลิก แม่เสียใจด้วยนะลูก”“แม่ไม่คิดจะต่อว่าพี่คีย์เลยเหรอคะ ที่เขาทำกับลูกสาวแม่ได้ถึงขนาดนี้… หนูเจ็บนะคะแม่”น้ำตาของณิชาเริ่มคลอขึ้นจนแทบจะไหล พอร์ชเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเบี่ยงประเด็นทันที"ความรักคือเรื่องของคนสองคน ลูกโตแล้วก็ลองผิดลองถูก แม่ไปยุ่งไม่ได้หรอก แต่แม่จะคุยกับอรสาให้เขาจัดการลูกชายเขาแล้วกัน""ไม่ต้องค่ะแม่ ต่อให้เขากลับมาขอคืนดี ณิชาก็ไม่กลับไปหาเขาแล้ว"ณิชาเม้มปากแน่น“พี่ณิชา ไปเที่ยวต่างประเทศกันไหมครับ แผลพี่ก็ดีขึ้นแล้ว ไปพักผ่อนสักหน่อย เดี๋ยวอะไรก็ดีขึ้นนะพี่
“บอกเลิกแล้ว…ก็อย่ากลับมาอีกแล้วกันคุณคีรติ”คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในหัวไม่ใช่เพราะความแรงของถ้อยคำแต่เพราะคำว่า คุณคีรติ ที่เธอเลือกใช้มันชัดเจนเกินไปชัดเจนว่าเธอโกรธและโกรธเขาจริง ๆคีรติเงยหน้าขึ้น สบตากับเตชทัต แววตาแดงก่ำอย่างคนที่กำลังจะพัง“แค่เธอเรียกกูแบบนั้น…กูก็รู้แล้วว่าณิชาไม่เหลือความอ่อนโยนให้กูอีกแล้ว”เขาหัวเราะแผ่ว ๆ อย่างขมขื่น“กูควรดีใจใช่ไหมวะ ทุกอย่างมันตรงตามแผนเป๊ะแต่ทำไม…ทำไมกูเจ็บแทบขาดใจขนาดนี้”เตชทัตตบไหล่เพื่อนเบา ๆ“อดทนไว้ไอ้คีย์ อีกแค่เดือนเดียว เราจะปิดทุกอย่างให้จบ”คีรติส่ายหน้าช้า ๆ“กูไม่รู้ว่ากูจะทนได้ถึงหนึ่งเดือนไหม”เสียงเขาแผ่วลง“หรือพอถึงตอนนั้น…ณิชาอาจไม่รักกูแล้วจริง ๆ”“ณิชาไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล” เตชทัตพยายามปลอบ“ถ้ามึงได้อธิบาย เธอน่าจะฟังมึง”คีรติหัวเราะในลำคอ“มึงพูดเหมือนไม่รู้จักณิชา”เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า“คุณหนูขี้วีนของกู…ที่ผ่านมาเธอไม่เคยวีนใส่กู เพราะเธอรักแต่จากนี้ไป กูไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะเกลียดกูมากแค่ไหน”เตชทัตถอนหายใจยาว“แล้วจะทำยังไงได้วะ”เขามองเพื่อนอย่างเข้าใจ“มึงเป็นคนเลือกทางนี้เอง ไอ้คีย์”คีรติกำม
อ่านข้อความปรากฏบนหน้าจอพี่ไม่ได้รักณิชาแล้วโลกทั้งใบของณิชาราวกับหยุดหมุนดวงตาที่พร่าเลือนค้างอยู่กับตัวอักษรไม่กี่คำหัวใจเต้นแรงผิดจังหวะ ราวกับถูกกระชากออกจากอกทั้งเป็น“…ไม่รักแล้ว?”เสียงเธอแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยินตัวเองมือที่กำโทรศัพท์เริ่มสั่นน้ำตาหยดลงไม่ขาดสายหยดแล้วหยดเล่า…เหมือนหัวใจที่ร้าวไม่หยุด“โกหก…”ณิชาส่ายหน้าแรง ๆ“พี่โกหก…พี่คีย์โกหกณิชา…”เธอพยายามพิมพ์ตอบแต่ตัวอักษรกลับพร่าเลือนเพราะน้ำตาที่ไหลไม่หยุดจู่ ๆ ความเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นจากหน้าอกแรงจนเธอสะดุ้งเฮือก“อ๊ะ!”มือหนึ่งกุมหน้าอก อีกมือยันเตียงลมหายใจเริ่มติดขัดหัวใจเต้นแรงและถี่ผิดปกติ“หายใจ…หายใจสิณิชา…”เธอพึมพำกับตัวเอง แต่ยิ่งพยายามกลับยิ่งแน่นน้ำตาไหลผสมเสียงสะอื้นร่างกายที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่เริ่มต่อต้าน“เจ็บ…”เธอร้องออกมาเบา ๆความเจ็บที่แผลซี่โครงร้าวปะทุขึ้นทันที เมื่อร่างกายเกร็งจากอารมณ์ที่ถาโถมขวัญที่ยืนอยู่ข้างเตียงตกใจสุดขีด“ณิชา! ณิชา ใจเย็น ๆ ณิชาเป็นอะไร...พยาบาล...พยาบาลค่ะ”เธอรีบกดออดเรียกพยาบาล ก่อนจะพยายามประคองร่างเพื่อนให้เอนลง“พี่คีย์ไม่รักณิชาแล้ว…”ณิชาพูดทั้งน้ำตา“เ







