เซียวเหมยลี่ดึงทึ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออกจนหมด เผยให้เห็นผิวกายขาวผ่อง เรือนกายสาวที่งดงาม ฟางเทียนอวี้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขาไม่เคยพบเจอสตรีใดที่งดงามราวเทพธิดาสวรรค์เช่นนี้มาก่อนเลย
เมื่อความหลงใหลเข้ามาครอบคลุมจิตใจ ฟางเทียนอวี้จึงยื่นมือไปโอบรัดรอบเอวบางของนาง ก่อนจะจับตัวนางพาดบ่า แล้วพาไปที่เตียงนอนทันที
เขาไม่ได้แตะต้องสตรีมานานแล้ว!!!
เซียวเหมยลี่ในยามนี้เพราะฤทธิ์สุราทำให้นางหลงใหลมัวเมาตามฟางเทียนอวี้อย่างว่าง่าย ฟางเทียนอวี้จูบนางอย่างดุดัน ในขณะที่มือหนาใหญ่ก็บีบเคล้นดอกบัวงามสองเต้าที่ใหญ่โตราวกับภูเขาอย่างเมามัน เขาเลื่อนใบหน้าลงมาจูบไซ้ซอกคอขาวนวลเนียนของนาง และยังขบเม้มมันจนเกิดเป็นรอยแดงที่ลำคอขาวผ่อง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าให้ต่ำลงมาอีก แล้วจึงครอบริมฝีปากกลืนกินจุกสวยสีชมพูชูช่อของนางอย่างเอร็ดอร่อย
"อ๊ะ อื้อ ท่านอ๋อง!!!"
เซียวเหมยลี่แอ่นอกงามให้เขาเชยชมอย่างไม่กระดากอาย รสสัมผัสจากปลายลิ้นที่แลบเลียยอดปทุมถันสร้างความเสียวซ่านให้แก่นางเป็นอย่างมาก ยามที่เขาดูดดึงขบเม้มยอดบัวงามของนาง เซียวเหมยลี่ก็ถึงกับต้องซู้ดดปากด้วยความสุขสม
ฟางเทียนอวี้แลบลิ้นลากเลียลงมาตามท้องน้อยของนาง ก่อนจะใช้มือจับเรียวขาสวยให้แยกออกจากกัน เผยให้เห็นกลีบบุปผางามสีชมพูที่ยังไม่ผลิบาน อีกทั้งยังโหนกนูนไร้เส้นไหมดกดำมาบดบังความงามเบื้องหน้า
เขาใช้นิ้วแบะกลีบกุหลาบงามให้แยกออกจากกัน เผยให้เห็นเม็ดเกสรสีสวยที่รอให้เขาเชยชม ฟางเทียนอวี้ไม่รอช้า เขารีบโน้มใบหน้าลงไป แล้วแลบลิ้นเลียเม็ดเกสรสีหวานของนางอย่างหยอกเย้า ยามที่ปลายลิ้นสัมผัสซอกหลืบบุปผางาม เซียวเหมยลี่ก็สะดุ้งเฮือก มือทั้งสองข้างขยำผ้าปูที่นอนเอาไว้แน่น ก่อนจะส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเสียวกระสัน
"ฮือออ อ๊าาา"
ฟางเทียนอวี้ดูดเม้มเม็ดสวยของนางอย่างหยอกล้อ แล้วจึงกระดกลิ้นแลบเลียซอกหลืบบุปผางามอย่างถี่ระรัว นิ้วมือหนาใหญ่ค่อย ๆ สอดแทรกเข้าไปในรูสวยของนางทีละน้อยเพื่อเปิดช่องทางรัก ความคับแน่นทำให้นิ้วใหญ่พาดผ่านเข้าไปได้เพียงสองนิ้ว ฟางเทียนอวี้ค่อย ๆ ขยับนิ้วของตนเองเข้าออกผ่านรูรักของนางอย่างช้า ๆ แล้วจึงเร่งจังหวะให้ถี่เร่ามากยิ่งขึ้น
"อ๊าส์ เสียวเพคะ!!!"
เซียวเหมยลี่ขยับกายบิดเร่าไปมาอย่างห้ามไม่ไหว นางไม่เคยรู้สึกเสียวสะท้านเช่นนี้มาก่อนเลย
เมื่อเห็นว่านางเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว ฟางเทียนอวี้จึงเร่งจังหวะทั้งมือและลิ้นให้ถี่ระรัวมากขึ้นกว่าเดิม เซียวเหมยลี่ส่งเสียงครางไม่ได้ศัพท์ พร้อมกับยกสะโพกลอยหวือขึ้นมากลางอากาศ
"อื้อฮือ ฮืออ ไม่ไหวแล้วเพคะ อ๊าาา ลิ้นมันโดน... อื้ออ!!!"
ร่างกายของเซียวเหมยลี่กระตุกเกร็งหลายครา นางเสร็จสมอารมณ์หมายและมีความสุขไม่น้อย
ฟางเทียนอวี้ที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงลุกขึ้นมายืนที่ด้านล่างเตียงนอน ก่อนจะดึงนางให้ลุกขึ้นมานั่ง เขาไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำก็บดเบียดท่อนเนื้อท่อนเอ็นใหญ่ยาวเข้ามาในปากนางจนแทบมิดลำ
เซียวเหมยลี่ตาเหลือกค้างรู้สึกอยากจะอาเจียน แต่เพราะฟางเทียนอวี้จับศีรษะของนางเอาไว้นางจึงไม่สามารถผละออกจากกายของเขาได้
ฟางเทียนอวี้ค่อย ๆ ขยับสะโพกสอบเข้าออกผ่านริมฝีปากสวยของนางช้า ๆ และเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เซียวเหมยลี่ยื่นมือสวยไปจับเอวหนาใหญ่ของเขาเอาไว้ เพื่อรอรับการกระแทกที่เขามอบให้นาง
อ๊อก อ๊อก
"โอววว เสียวยิ่งนัก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าปากเจ้าจะทำให้ข้าเสียวได้ถึงเพียงนี้ซี้ด!!!"
เขาเร่งจังหวะให้เร็วมากยิ่งขึ้นจนศีรษะของเซียวเหมยลี่สั่นคลอนตามแรงกระแทก ฟางเทียนอวี้สุขสมจนส่งเสียงครางออกมาลั่นห้องนอน ก่อนที่ร่างของเขาจะกระตุกเกร็ง น้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งกระฉูดเข้าไปในลำคอของเซียวเหมยลี่จนมันไหลย้อยออกมาตามมุมปากสวยของนาง ฟางเทียนอวี้ผละออกจากกายของนาง เซียวเหมยลี่เงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน ในดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อย นางกลืนน้ำรักของเขาลงคออย่างไม่รังเกียจ
ท่วงท่าที่เย้ายวนของนางยิ่งกระตุ้นอารมณ์ของฟางเทียนอวี้ให้พลุ่งพล่านมากขึ้นกว่าเดิม เขาผลักนางลงไปนอนหงายบนเตียง ก่อนจะขึ้นคร่อมนางเอาไว้ แล้วจ้องมองนางอย่างหื่นกระหาย
"ในเมื่อเจ้าคิดยั่วยวนข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าจำไม่มีวันลืม!!!"
1 ปีต่อมา ยามนี้สายลมฤดูหนาวพัดผ่านมาอีกครา บนพื้นถนนมีหิมะสีขาวปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น ผู้คนต่างพากันซุกกายอยู่ในผ้าห่มที่หนานุ่ม เข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนมีความสุข'โมง' เวลายามสาม เสียงระฆังดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันในยามราตรี เสียงนี้เป็นเสียงสัญญาณของระฆังแจ้งการมรณกรรม เสียงนั้นดังมาจากวังหลวงติดต่อกันหลายครั้ง นอกจากจะเกิดเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ไม่มีผู้ใดปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ ภายในวังหลวงยามนี้ เหล่าขันทีและนางกำนัลกำลังคุกเข่าพลางร่ำไห้กับการจากไปของฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลง ภายในห้องบรรทม ไป๋ฮองเฮากำลังจัดการเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลงเป็นครั้งสุดท้าย เหล่าสนมนางในเองก็โศกเศร้ากับการจากไปของฮ่องเต้ในครานี้ ฟางเทียนอวี้ทำความเคารพพระศพของพี่ชายร่วมมารดาเป็นครั้งสุดท้าย เขานึกเสียใจไม่น้อย ที่ฟางเจิ้งหลงไม่เคยบอกเขาเลยว่าตนเองมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงถึงเพียงนี้ จนกระทั่งวันที่สวรรคตเขาก็ได้มาดูใจพี่ชายคนนี้เพียงไม่นาน ฟางเทียนอวี้หวนนึกถึงคำพูดของฟางเจิ้งหลงที่บอกเขาก่อนจะสวรรคตได้ขึ้นใจ จงปกครองหวงเฉวียนอย่างมีคุณธรรม รักใคร่ราษฎรประหนึ่งลูกใน
แม่ทัพใหญ่เฉินส่งสัญญาณเรียกรวมพลทหารที่แอบซ่อนตัวให้มารวมพล ก่อนจะจัดการสังหารเหล่าชาวบ้านที่ขวางทางจนหมด แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองหลวงทันที แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับจากฟางเจียเอ๋อร์ในขณะที่แม่ทัพใหญ่เฉินกำลังร้อนใจ ก็ปรากฏว่ามีทหารวังหลวงหลายแสนนายที่เข้ามาล้อมกำลังทหารของเขาเอาไว้ แม่ทัพเฉินมีท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะหันไปมองเสียงกีบเท้าม้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆฟางเทียนอวี้!!! มันยังไม่ตายหรอกหรือ!!! แม่ทัพเฉินหน้าซีดเผือดก่อนจะหันไปมองด้านหลังของฟางเทียนอวี้ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม ยามนี้ฟางเจียเอ๋อร์ถูกจับมัดลากมากับพื้นสภาพสะบักสะบอมเป็นอย่างมาก ลูกพ่อ!!! ฟางเทียนอวี้คร้านจะเอ่ยสิ่งใดให้มากความ เขาจึงหันไปสั่งการทหารทันที "สังหารพวกมันให้หมด แล้วจับตัวแม่ทัพใหญ่เฉินมาให้ข้า" เหล่าทหารที่ได้ยินต่างก็พุ่งเข้าไปรบราฆ่าฟันกับศัตรูตรงหน้าอย่างบ้าเลือด ฟางเทียนอวี้เชิดหน้าขึ้นมองดูเหล่ากบฏถูกสังหารอย่างไร้ความรู้สึก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ทหารของแม่ทัพใหญ่เฉินก็ถูกสังหารตายไปจนหมด ส่วนแม่ทัพใหญ่เฉินก็ถูกจับกุมในข้อหากบฏ จวนจวิ้นอ๋องถูกรื้อค้น ขันทีและบ่าวรับใช้ทหารปร
เวลาผ่านไปร่วมเดือน พิธีล่าสัตว์ก็มาถึง แม่ทัพใหญ่เฉินยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจ ได้ยินว่าฝ่าบาททรงไม่เสด็จไปล่าสัตว์เพราะพระวรกายไม่สู้ดี จึงส่งชินอ๋องฟางเทียนอวี้ให้เป็นผู้นำขบวนล่าสัตว์ไปแทน ส่วนฝ่าบาทจะทรงทำพิธีขอพรกลางแจ้งอยู่ที่ลานขอพรในวังหลวงฟางเทียนอวี้นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว เขาสวมชุดสีดำที่ชอบใส่อยู่เสมอ ในปีนี้เขาเป็นผู้นำขบวนออกไปล่าสัตว์แทนฟางเจิ้งหลง โดยมีฟางเจียเอ๋อร์ติดตามไปร่วมล่าสัตว์ในปีนี้ด้วย ฟางเจียเอ๋อร์ปรายตามองฟางเทียนอวี้คราหนึ่งด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ยามนี้นักฆ่าที่ตระกูลเฉินฝึกฝนเอาไว้ กำลังรอคอยอยู่บนเขา ขอเพียงฟางเทียนอวี้นำขบวนไปจนถึงทางขึ้นเขา เหล่านักฆ่าก็จะบุกลงมาสังหารทันที แม้องครักษ์ของวังหลวงที่ติดตามมาจะมีไม่น้อย แต่นักฆ่าที่เขาเตรียมการเอาไว้ก็มีฝีมือเยี่ยมยอดเช่นเดียวกันเมื่อคิดว่าจะได้ตัดหัวของฟางเทียนอวี้แล้วนำไปมอบให้เซียวเหมยลี่เป็นของกำนัล เขาก็สนุกเต็มทนแล้ว ดูสิว่านางจะทำหน้าเช่นไร ครานี้นางจะได้รู้เสียที ว่าการที่คิดปฏิเสธเขาจะต้องพบกับจุดจบเช่นไร ฟางเทียนอวี้ไม่ได้แสดงท่าทีใดใดเลยสักครา เขายังคงมีใบหน้าเรียบเ
หมอหลวงสวีรีบนำยามาให้เซียวเหมยลี่กินในยามดึกคืนนั้นทันที หลังจากกินยาเข้าไปไม่นานนัก นางก็อาเจียนเป็นโลหิตสีดำออกมา ก่อนจะหมดสติไป ฟางเทียนอวี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกลนลานจนทำสิ่งใดไม่ถูก "หมอหลวงสวี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!!!" "ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย พระชายาปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ พิษถูกขจัดออกหมดแล้ว แต่ต้องดื่มยาถอนพิษของกระหม่อมต่ออีกสามวัน เพื่อขับพิษที่หลงเหลืออยู่ให้ออกมาจนหมด"เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางเทียนอวี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะมองดูเซียวเหมยลี่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ใบหน้าสวยหวานกลับมางดงามมีชีวิตชีวาเช่นเดิมแล้ว เช้าวันต่อมาฟางเทียนอวี้เดินทางเข้าวังหลวงแต่เช้า หลังจากประชุมยามเช้าเสร็จสิ้น เขาก็ตามไปพบฟางเจิ้งหลงที่ห้องทรงอักษรทันที "ร้อนใจเรื่องใด จึงรีบเร่งมาหาข้า ไม่รีบกลับจวนแล้วหรือ?" ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทิ้งกายลงนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ กันกับฟางเจิ้งหลง ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เฉินหมิงหยวนนำยาถอนพิษมามอบให้เขา และบอกอีกว่าเฉินหมิงหยวนบอกว่าแม่ทัพใหญ่เฉินคิดการไม่ซื่อ หากอยากรู้เรื่องใดเพิ่มก็ให้มาถามกับฟางเจิ้งหลง ฟางเจิ้งหลงมองฟางเท
ฟางเทียนอวี้และเซียวเหมยลี่ใช้เวลาอยู่ที่วัดบนเขาราวครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเดินทางกลับถึงจวนในตอนเย็น เซียวเหมยลี่รู้สึกแข็งแรงขึ้นไม่น้อย นางสบายใจขึ้นมากกว่าหลายวันก่อน อีกทั้งยังไม่อ่อนเพลียแล้วด้วย หมอหลวงสวีให้นางดื่มยาบำรุงติดกันมาร่วมเจ็ดวัน ก่อนที่จะทำการถอนพิษ หมอหลวงสวีบอกว่าการถอนพิษอาจจะทรมานในช่วงสามวันแรก แต่เมื่อผ่านไปได้ เซียวเหมยลี่จะค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างกายที่ปกติดังเดิม เซียวเหมยลี่ยกถ้วยยาบำรุงขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะหันไปส่งถ้วยยาคืนให้แก่หมอหลวงสวี "วันพรุ่ง ข้าจะต้องถอนพิษออกจากร่างกายแล้วใช่หรือไม่?" "พ่ะย่ะค่ะพระชายา เอ่อ กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งอยากจะทูลให้ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ" "เรื่องอันใดหรือ?" หมอหลวงสวีหันไปมองหน้าฟางเทียนอวี้คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ "เดิมทียาถอนพิษชนิดนี้หายากยิ่งนัก ในใต้หล้านี้หนึ่งปีจะปรุงขึ้นมาได้เพียงห้าเม็ดเพราะใช้สมุนไพรพิเศษหลายตัว ยาถอนพิษนี้เพียงได้กินไปเม็ดเดียวก็จะช่วยขับพิษออกจากร่างกายได้ทันที โดยไม่ทรมานพ่ะย่ะค่ะ" ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเอ่ยถามหมอหลวงสวีทันที "เราจะหายาถอนพิษนั้นได้จากที่ใด" "ยากนักท่านอ๋อง ยามนี้ไม่
แม่ทัพใหญ่เฉินกลับมาที่จวนของตนเอง โดยไม่ได้สงสัยสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย วันนี้เขาไปที่จวนจวิ้นอ๋องเพื่อหารือกับฟางเจียเอ๋อร์ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าฝ่าบาทจะทรงออกไปล่าสัตว์ ซึ่งเป็นประเพณีที่กระทำสืบเนื่องต่อกันมาหลายปี เขาจะถือโอกาสนี้สังหารคนตระกูลฟางให้สิ้นซากไปเสีย แล้วผลักดันฟางเจียเอ๋อร์บุตรชายของเขาให้ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ จากคำบอกเล่าของไป๋ฮองเฮานางบอกว่าระยะนี้ฝ่าบาททรงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เขาจะถือโอกาสนี้ลอบส่งคนไปใส่ยาพิษในอาหารเพื่อทำให้พระวรกายอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถออกนอกวังได้ ในเมื่อออกนอกวังหลวงไม่ได้ ฝ่าบาทที่เป็นคนเคร่งพิธีการทุกอย่าง ย่อมต้องส่งฟางเทียนอวี้ไปทำหน้าที่แทน เขาจะถือโอกาสนี้สังหารฟางเจิ้งหลงในวังหลวง ส่วนฟางเจียเอ๋อร์จะคอยถ่วงเวลาฟางเทียนอวี้เอาไว้ เมื่อเขาบังคับให้ฟางเจิ้งหลงมอบบัลลังก์ให้สำเร็จ ยามนั้นอำนาจจะตกอยู่ในมือของคนตระกูลเฉิน ฟางเทียนอวี้ย่อมไม่มีปัญญาทำสิ่งใดได้อีกนอกจากยอมจำนนอย่างไร้หนทางต่อสู้!!! ยิ่งคิดแม่ทัพใหญ่เฉินก็ยิ่งอารมณ์ดีไม่น้อย เขานับวันรอที่จะเสพสุขกับอำนาจในมือไม่ไหวแล้ว!!! ด้านเฉินหมิงหยวนนั้น เขาเก็บหลักฐานท