อึก อึก
"นี่เหมยลี่ เจ้าจะดื่มอีกนานมั้ย ตั้งแต่เจ้าฟื้นมาก็มีท่าทีประหลาดคนนัก!!! ลูกค้าเจ้าก็ไม่รับ"
อิงเย่ว์นั่งมอง เซียวเหมยลี่ที่กำลังยกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่าด้วยแววตาที่เอือมระอา ตั้งแต่เซียวเหมยลี่ตกน้ำและฟื้นขึ้นมา ก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เซียวเหมยลี่วางจอกสุราในมือลง ก่อนจะจ้องมองอิงเย่ว์
แท้จริงแล้วนางทะลุมิติจากโลกปัจจุบันมาอยู่ในอดีต อยู่ในร่างของสตรีที่มีชื่อและใบหน้าเหมือนกับนางไม่ผิดเพี้ยน นางไม่รู้ว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้น นางกำลังว่ายน้ำอยู่ดีดีก็เกิดหมดสติ มารู้ตัวอีกทีก็ลืมตาตื่นขึ้นมาอยู่ในร่างนี้เสียแล้ว
เซียวเหมยลี่ในร่างนี้เป็นบุตรสาวของสำนักร้อยบุปผา ท่านพ่อท่านแม่ของนางเปิดกิจการที่เกี่ยวกับการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย อีกทั้งยังมีเคล็ดลับความงามอีกมากมายที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
เซียวเหมยลี่คนเก่าเก่งกาจไม่ต่างจากบิดามารดา แต่นางตายจากโลกนี้ไปแล้ว
มีเพียงเซียวเหมยลี่คนใหม่ที่ไม่มีความรู้เรื่องใดเลยสักอย่างนอกจากการกิน การดื่ม และความรู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
การข้ามภพทะลุมิติมาในครั้งนี้ เซียวเหมยลี่ต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก นี่ก็ร่วมหลายเดือนแล้วที่นางมาอยู่ในร่างนี้ นางต้องเริ่มศึกษางานในสำนักร้อยบุปผาใหม่ทั้งหมด และนางเองก็ไม่เข้าใจมันด้วย
โชคดีที่มีอิงเย่ว์ ญาติสนิทที่มีอายุรุ่นเดียวกับนางมาช่วยเหลือ อิงเย่ว์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านน้า ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่เซียวเหมยลี่ มารดาของอิงเย่ว์ตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว บิดาเองก็ตรอมใจตายตามกันไปในเวลาต่อมา อิงเย่ว์จึงกลายเป็นเด็กกำพร้า บิดามารดาของเซียวเหมยลี่สงสารจึงพามาเลี้ยงดูในจวนตระกูลเซียว ทำให้นางกับอิงเย่ว์ค่อนข้างสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
ชีวิตนี้ก็ช่างบัดซบนัก นางอยากกินของหวาน จึงปีนต้นไม้ไปหวังจะเก็บรังผึ้งมากิน แต่กลับถูกผึ้งต่อยปาก ต้องวิ่งไปหาสุรามาดื่มให้ลืมความเจ็บปวด แล้วยังเดินไปชนกับคุณชายเจ้าสำอางนั่นอีก!!!
มันมีอะไรบัดซบกว่านี้อีกไหม!!!
"พอเถิดเหมยลี่ เดี๋ยวเจ้าก็เมาหรอก"
"ข้าไม่เมาหรอกน่าอิงเย่ว์"
"ดื่มยาก่อนเถิด ปากเจ้าน่าเกลียดเกินไปแล้ว"
อิงเย่ว์ยื่นถ้วยยาส่งให้เซียวเหมยลี่ เซียวเหมยลี่รับมันมาดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะเบ้หน้าเพราะยามันช่างขมยิ่งนัก
"เจ้าพักสักวันเถิด อีกเดี๋ยวเจ้าหายดีข้าจะทบทวนงานต่าง ๆ ให้เจ้าอีกครา"
"ทบทวนอีกแล้วหรือ โอ๊ยย!!! ข้าจำไม่ได้หรอก"
"อะไรกันเหมยลี่ แต่ก่อนเจ้าเก่งกาจมีฝีมือไม่น้อย ทั้งเรื่องการปัดเป่าสิ่งไม่ดี อีกทั้งสมุนไพรต่าง ๆ เจ้าก็รู้ดีกว่าข้าเสียอีก เฮ้อ น่าสงสารนัก คงเพราะตกน้ำสมองเจ้าจึงกระทบกระเทือนเช่นนี้ นอนพักก่อนเถิด ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว"
อิงเย่ว์ส่ายหน้าไปมาด้วยความเศร้าสลดก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เซียวเหมยลี่ทิ้งกายลงนอนบนเตียงก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เฮ้อ!!! นี่ข้าต้องอยู่ในร่างนี้ไปอีกนานเท่าใดกันนะ!
เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง ฟางเทียนอวี้ก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเอง หลังจากที่อาบน้ำแช่สมุนไพรเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมานั่งที่ศาลาริมสระบัว พลางยกจอกสุราขึ้นดื่ม มองดูสายฝนที่โปรยปรายเป็นระยะด้วยแววตาที่เรียบเฉย
ปีนี้เขามีอายุสิบเก้าปีแล้ว ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ ฮ่องเต้และเหล่าองค์ชายจะต้องแต่งงานก่อนอายุยี่สิบปี หากช้าไปกว่านี้จะถือว่ามีดวงที่ไม่เป็นมงคล ต้องออกบวชตลอดชีวิต
อยากเห็นหน้าคนตั้งกฎจริง ๆ!!!
"ท่านอ๋อง จะรับของว่างยามบ่ายหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
ฟางเทียนอวี้หันไปมองพ่อบ้านโจวที่กำลังจัดการอุ่นสุราให้เขา ก่อนจะส่ายหน้าไปมาช้า ๆ
"ข้ายังไม่อยากกินสิ่งใด"
พ่อบ้านโจวพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะมองฟางเทียนอวี้ด้วยสายตาที่รักใคร่เอ็นดู
เขาเห็นท่านอ๋องมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นองค์ชายรอง จวบจนได้ตามมารับใช้ที่นอกวังหลวง เพียงมองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้านายของตนมีเรื่องไม่สบายใจ
"ท่านอ๋อง ทรงกังวลเรื่องคู่ครองหรือพ่ะย่ะค่ะ"
ฟางเทียนอวี้วางจอกสุราในมือลง ก่อนจะมองหน้าพ่อบ้านโจวคราหนึ่ง
"ข้าไม่อยากออกบวช หากยังไม่แต่งชายาข้าก็ต้องออกบวช พ่อบ้านโจว ผู้ใดเป็นคนตั้งกฎกัน ข้าอยากจะปาดคอมันยิ่งนัก"
"ท่านอ๋อง!!! จะเอ่ยเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนโน้น นั่นก็คือเสด็จปู่ของพระองค์"
ฟางเทียนอวี้แทบจะพ่นสุราออกจากปาก ท่านปู่นะท่านปู่ เหตุใดจึงตั้งกฎบัดซบนี่ขึ้นมาได้!!!
"จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎได้หรือไม่?"
"เรื่องนี้บ่าวไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ คงต้องทูลถามฝ่าบาทแล้ว"
ฟางเทียนอวี้ส่ายหน้าไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
"ท่านอ๋อง เอาเช่นนี้สิพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้สำนักร้อยบุปผาขึ้นชื่อเรื่องปัดเป่าสิ่งอัปมงคล ผู้คนที่ได้ไปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีมากพ่ะย่ะค่ะ คนป่วยก็หายป่วย คนที่ดวงไม่ดีก็ดีขึ้น"
"มันดีถึงเพียงนั้น"
"พ่ะย่ะค่ะ โธ่ท่านอ๋อง ไม่ลองไม่รู้นะพ่ะย่ะค่ะ"
ฟางเทียนอวี้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เขายกจอกสุราขึ้นดื่มอีกอึกหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่ด้านนอกศาลา ยามนี้หิมะหยุดโปรยปรายแล้ว ท้องฟ้าแจ่มใสขึ้น แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากท้องฟ้า ฟางเทียนอวี้จึงลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากศาลา ตรงไปที่พื้นหญ้าสีเขียว แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
"แสงอาทิตย์เอ๋ย จงอาบไล้ใบหน้าของข้า ให้ทอประกายความหล่อเหลาด้วยเถิด โอวว ประกายความหล่อเหลาจงบังเกิด"
พ่อบ้านโจว "..."
1 ปีต่อมา ยามนี้สายลมฤดูหนาวพัดผ่านมาอีกครา บนพื้นถนนมีหิมะสีขาวปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น ผู้คนต่างพากันซุกกายอยู่ในผ้าห่มที่หนานุ่ม เข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนมีความสุข'โมง' เวลายามสาม เสียงระฆังดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันในยามราตรี เสียงนี้เป็นเสียงสัญญาณของระฆังแจ้งการมรณกรรม เสียงนั้นดังมาจากวังหลวงติดต่อกันหลายครั้ง นอกจากจะเกิดเหตุการณ์ที่ฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ไม่มีผู้ใดปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ ภายในวังหลวงยามนี้ เหล่าขันทีและนางกำนัลกำลังคุกเข่าพลางร่ำไห้กับการจากไปของฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลง ภายในห้องบรรทม ไป๋ฮองเฮากำลังจัดการเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้ฮ่องเต้ฟางเจิ้งหลงเป็นครั้งสุดท้าย เหล่าสนมนางในเองก็โศกเศร้ากับการจากไปของฮ่องเต้ในครานี้ ฟางเทียนอวี้ทำความเคารพพระศพของพี่ชายร่วมมารดาเป็นครั้งสุดท้าย เขานึกเสียใจไม่น้อย ที่ฟางเจิ้งหลงไม่เคยบอกเขาเลยว่าตนเองมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงถึงเพียงนี้ จนกระทั่งวันที่สวรรคตเขาก็ได้มาดูใจพี่ชายคนนี้เพียงไม่นาน ฟางเทียนอวี้หวนนึกถึงคำพูดของฟางเจิ้งหลงที่บอกเขาก่อนจะสวรรคตได้ขึ้นใจ จงปกครองหวงเฉวียนอย่างมีคุณธรรม รักใคร่ราษฎรประหนึ่งลูกใน
แม่ทัพใหญ่เฉินส่งสัญญาณเรียกรวมพลทหารที่แอบซ่อนตัวให้มารวมพล ก่อนจะจัดการสังหารเหล่าชาวบ้านที่ขวางทางจนหมด แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองหลวงทันที แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับจากฟางเจียเอ๋อร์ในขณะที่แม่ทัพใหญ่เฉินกำลังร้อนใจ ก็ปรากฏว่ามีทหารวังหลวงหลายแสนนายที่เข้ามาล้อมกำลังทหารของเขาเอาไว้ แม่ทัพเฉินมีท่าทีตื่นตระหนก ก่อนจะหันไปมองเสียงกีบเท้าม้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆฟางเทียนอวี้!!! มันยังไม่ตายหรอกหรือ!!! แม่ทัพเฉินหน้าซีดเผือดก่อนจะหันไปมองด้านหลังของฟางเทียนอวี้ก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม ยามนี้ฟางเจียเอ๋อร์ถูกจับมัดลากมากับพื้นสภาพสะบักสะบอมเป็นอย่างมาก ลูกพ่อ!!! ฟางเทียนอวี้คร้านจะเอ่ยสิ่งใดให้มากความ เขาจึงหันไปสั่งการทหารทันที "สังหารพวกมันให้หมด แล้วจับตัวแม่ทัพใหญ่เฉินมาให้ข้า" เหล่าทหารที่ได้ยินต่างก็พุ่งเข้าไปรบราฆ่าฟันกับศัตรูตรงหน้าอย่างบ้าเลือด ฟางเทียนอวี้เชิดหน้าขึ้นมองดูเหล่ากบฏถูกสังหารอย่างไร้ความรู้สึก ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ทหารของแม่ทัพใหญ่เฉินก็ถูกสังหารตายไปจนหมด ส่วนแม่ทัพใหญ่เฉินก็ถูกจับกุมในข้อหากบฏ จวนจวิ้นอ๋องถูกรื้อค้น ขันทีและบ่าวรับใช้ทหารปร
เวลาผ่านไปร่วมเดือน พิธีล่าสัตว์ก็มาถึง แม่ทัพใหญ่เฉินยิ้มกริ่มด้วยความพึงพอใจ ได้ยินว่าฝ่าบาททรงไม่เสด็จไปล่าสัตว์เพราะพระวรกายไม่สู้ดี จึงส่งชินอ๋องฟางเทียนอวี้ให้เป็นผู้นำขบวนล่าสัตว์ไปแทน ส่วนฝ่าบาทจะทรงทำพิธีขอพรกลางแจ้งอยู่ที่ลานขอพรในวังหลวงฟางเทียนอวี้นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว เขาสวมชุดสีดำที่ชอบใส่อยู่เสมอ ในปีนี้เขาเป็นผู้นำขบวนออกไปล่าสัตว์แทนฟางเจิ้งหลง โดยมีฟางเจียเอ๋อร์ติดตามไปร่วมล่าสัตว์ในปีนี้ด้วย ฟางเจียเอ๋อร์ปรายตามองฟางเทียนอวี้คราหนึ่งด้วยแววตาที่เย็นชา ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ยามนี้นักฆ่าที่ตระกูลเฉินฝึกฝนเอาไว้ กำลังรอคอยอยู่บนเขา ขอเพียงฟางเทียนอวี้นำขบวนไปจนถึงทางขึ้นเขา เหล่านักฆ่าก็จะบุกลงมาสังหารทันที แม้องครักษ์ของวังหลวงที่ติดตามมาจะมีไม่น้อย แต่นักฆ่าที่เขาเตรียมการเอาไว้ก็มีฝีมือเยี่ยมยอดเช่นเดียวกันเมื่อคิดว่าจะได้ตัดหัวของฟางเทียนอวี้แล้วนำไปมอบให้เซียวเหมยลี่เป็นของกำนัล เขาก็สนุกเต็มทนแล้ว ดูสิว่านางจะทำหน้าเช่นไร ครานี้นางจะได้รู้เสียที ว่าการที่คิดปฏิเสธเขาจะต้องพบกับจุดจบเช่นไร ฟางเทียนอวี้ไม่ได้แสดงท่าทีใดใดเลยสักครา เขายังคงมีใบหน้าเรียบเ
หมอหลวงสวีรีบนำยามาให้เซียวเหมยลี่กินในยามดึกคืนนั้นทันที หลังจากกินยาเข้าไปไม่นานนัก นางก็อาเจียนเป็นโลหิตสีดำออกมา ก่อนจะหมดสติไป ฟางเทียนอวี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกลนลานจนทำสิ่งใดไม่ถูก "หมอหลวงสวี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้!!!" "ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย พระชายาปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ พิษถูกขจัดออกหมดแล้ว แต่ต้องดื่มยาถอนพิษของกระหม่อมต่ออีกสามวัน เพื่อขับพิษที่หลงเหลืออยู่ให้ออกมาจนหมด"เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางเทียนอวี้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะมองดูเซียวเหมยลี่ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ใบหน้าสวยหวานกลับมางดงามมีชีวิตชีวาเช่นเดิมแล้ว เช้าวันต่อมาฟางเทียนอวี้เดินทางเข้าวังหลวงแต่เช้า หลังจากประชุมยามเช้าเสร็จสิ้น เขาก็ตามไปพบฟางเจิ้งหลงที่ห้องทรงอักษรทันที "ร้อนใจเรื่องใด จึงรีบเร่งมาหาข้า ไม่รีบกลับจวนแล้วหรือ?" ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ทิ้งกายลงนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ กันกับฟางเจิ้งหลง ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เฉินหมิงหยวนนำยาถอนพิษมามอบให้เขา และบอกอีกว่าเฉินหมิงหยวนบอกว่าแม่ทัพใหญ่เฉินคิดการไม่ซื่อ หากอยากรู้เรื่องใดเพิ่มก็ให้มาถามกับฟางเจิ้งหลง ฟางเจิ้งหลงมองฟางเท
ฟางเทียนอวี้และเซียวเหมยลี่ใช้เวลาอยู่ที่วัดบนเขาราวครึ่งค่อนวัน ก่อนจะเดินทางกลับถึงจวนในตอนเย็น เซียวเหมยลี่รู้สึกแข็งแรงขึ้นไม่น้อย นางสบายใจขึ้นมากกว่าหลายวันก่อน อีกทั้งยังไม่อ่อนเพลียแล้วด้วย หมอหลวงสวีให้นางดื่มยาบำรุงติดกันมาร่วมเจ็ดวัน ก่อนที่จะทำการถอนพิษ หมอหลวงสวีบอกว่าการถอนพิษอาจจะทรมานในช่วงสามวันแรก แต่เมื่อผ่านไปได้ เซียวเหมยลี่จะค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างกายที่ปกติดังเดิม เซียวเหมยลี่ยกถ้วยยาบำรุงขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะหันไปส่งถ้วยยาคืนให้แก่หมอหลวงสวี "วันพรุ่ง ข้าจะต้องถอนพิษออกจากร่างกายแล้วใช่หรือไม่?" "พ่ะย่ะค่ะพระชายา เอ่อ กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งอยากจะทูลให้ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ" "เรื่องอันใดหรือ?" หมอหลวงสวีหันไปมองหน้าฟางเทียนอวี้คราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ "เดิมทียาถอนพิษชนิดนี้หายากยิ่งนัก ในใต้หล้านี้หนึ่งปีจะปรุงขึ้นมาได้เพียงห้าเม็ดเพราะใช้สมุนไพรพิเศษหลายตัว ยาถอนพิษนี้เพียงได้กินไปเม็ดเดียวก็จะช่วยขับพิษออกจากร่างกายได้ทันที โดยไม่ทรมานพ่ะย่ะค่ะ" ฟางเทียนอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเอ่ยถามหมอหลวงสวีทันที "เราจะหายาถอนพิษนั้นได้จากที่ใด" "ยากนักท่านอ๋อง ยามนี้ไม่
แม่ทัพใหญ่เฉินกลับมาที่จวนของตนเอง โดยไม่ได้สงสัยสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย วันนี้เขาไปที่จวนจวิ้นอ๋องเพื่อหารือกับฟางเจียเอ๋อร์ อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าฝ่าบาทจะทรงออกไปล่าสัตว์ ซึ่งเป็นประเพณีที่กระทำสืบเนื่องต่อกันมาหลายปี เขาจะถือโอกาสนี้สังหารคนตระกูลฟางให้สิ้นซากไปเสีย แล้วผลักดันฟางเจียเอ๋อร์บุตรชายของเขาให้ขึ้นมาเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ จากคำบอกเล่าของไป๋ฮองเฮานางบอกว่าระยะนี้ฝ่าบาททรงไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เขาจะถือโอกาสนี้ลอบส่งคนไปใส่ยาพิษในอาหารเพื่อทำให้พระวรกายอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนไม่สามารถออกนอกวังได้ ในเมื่อออกนอกวังหลวงไม่ได้ ฝ่าบาทที่เป็นคนเคร่งพิธีการทุกอย่าง ย่อมต้องส่งฟางเทียนอวี้ไปทำหน้าที่แทน เขาจะถือโอกาสนี้สังหารฟางเจิ้งหลงในวังหลวง ส่วนฟางเจียเอ๋อร์จะคอยถ่วงเวลาฟางเทียนอวี้เอาไว้ เมื่อเขาบังคับให้ฟางเจิ้งหลงมอบบัลลังก์ให้สำเร็จ ยามนั้นอำนาจจะตกอยู่ในมือของคนตระกูลเฉิน ฟางเทียนอวี้ย่อมไม่มีปัญญาทำสิ่งใดได้อีกนอกจากยอมจำนนอย่างไร้หนทางต่อสู้!!! ยิ่งคิดแม่ทัพใหญ่เฉินก็ยิ่งอารมณ์ดีไม่น้อย เขานับวันรอที่จะเสพสุขกับอำนาจในมือไม่ไหวแล้ว!!! ด้านเฉินหมิงหยวนนั้น เขาเก็บหลักฐานท