สองพี่น้องต่างมองหน้ากันช่วยกันคิดหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
เพียงครู่รถม้าจึงหยุดเคลื่อนตัวลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเดินทางมาถึงจวนของตนแล้ว ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินจึงพากันลงจากรถม้า
และเมื่อสองพี่น้องพากันเดินเข้าจวนผ่านรถม้าคันแรกที่พี่ชายและพี่สะใภ้นั่งมา พวกเขาพลันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะว่าหากรถม้าเข้ามาเทียบหน้าจวนแล้วและคนในรถม้าลงมาแล้วรถม้าย่อมต้องเคลื่อนตัวออกไปเพื่อที่บ่าวไพร่จะได้นำรถม้าไปเก็บที่โรงเรือนหลังจวน แต่ทว่ารถม้าคันแรกกลับนิ่ง!
นั่นหมายความว่าคนข้างในยังไม่ลงมา…
สองพี่น้องตระกูลฟงจึงหันหน้าเข้าหากันมองตากันอยู่อึดใจก่อนเคลื่อนกายไปทางรถม้าคันนั้นด้วยความเงียบเชียบไร้สรรพเสียงใดๆ
และแล้วเสียงจากภายในรถม้าพลันดัง
“อ๊ะ! ข้าเจ็บ” เสียงแว่วหวานของฝ่ายสตรีดังออกมา
“ทนหน่อย...ใกล้เสร็จแล้ว” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษพลันดัง
ตามด้วยรถม้าโยกโยนเล็กน้อย
“...!?”
สองพี่น้องนอกรถม้าถึงกับยืนตัวเกร็งอ้าปากแข็งค้างมองหน้ากันนิ่งงัน
ทั้งรูปประโยคต่อคำและรถม้าโยกแบบนั้นคืออันใด!?
ไม่เพียงฟงจินหมิงและฟงลี่หลินเท่านั้นที่มีอาการคิดลึกนิ่งไป สองบุรุษและสามสตรีในอาภรณ์ทหารที่แอบตามพวกเขามาก็มีอาการไม่ต่างกัน
โดยเฉพาะสตรีนามว่าอวี้ถิงที่บัดนี้วิญญาณได้ล่องลอยออกนอกร่างไปเสียแล้ว
ห้านายทหารชายหญิงแอบเดินทางตามขบวนรถม้าของพี่น้องตระกูลฟงมาและได้แอบมายืนรอท่านแม่ทัพของพวกเขาอยู่หลังเพิงใกล้ๆ กับรถม้าที่มาจอดเทียบอยู่หน้าประตูจวน
พวกเขาได้ยินเสียงแปลกประหลาดนั่นไม่แตกต่างพาเอาเข้าใจได้ตรงกันไม่ยากเย็น
เพียงครู่เสียงของสตรีพลันดังอีกระลอกจากภายในรถม้า
“อา...ท่านทิ่มแรงเกินไป”
“...!?”
ทุกคนนอกรถม้ายิ่งอ้าปากกว้างเมื่อได้ยิน
“เจ้าหยุดดิ้นได้หรือไม่ ข้าทิ่มไม่ถนัด” เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังออกมา ตามด้วยรถม้าโยกโยนอีกเล็กน้อยคล้ายกับบุคคลด้านในนั้นกำลังพากัน จัดเปลี่ยนท่า
“...!?”
ครานี้บางคนถึงกับเกิดอาการตัวสั่นขนลุกชูชันไปทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะอวี้ถิง นางถึงกับคิ้วกระตุกจนเป็นตะคริว
เพียงครู่ต่อมาสองสามีภรรยาก็ออกมาจากรถม้าในสภาพที่ไม่แตกต่างจากที่ทุกคนนอกรถม้าได้เข้าใจ
ฟงชินหยางออกมาจากรถม้าก่อนหลิงเวยด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจคล้ายอิ่มเอมกับอะไรบางอย่าง
เขาม้วนผมให้นางได้สำเร็จทั้งยังยกได้สูงอีกด้วย คนอย่างเขาหากลองพยายามแล้วความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกล
หลิงเวยตามหลังฟงชินหยางออกมาจากรถม้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำลามไปถึงลำคอ
นางถูกบุรุษตัวโตฝ่ามือใหญ่หนาดึงผมของนางจนระบมไปหมดทั้งศีรษะตามด้วยปักปิ่นให้นางพลาดจนทิ่มเข้ามาเต็มแรง
สองสามีภรรยาออกจากรถม้ามาโดยไม่รู้ตัวเลยว่าได้สร้างความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ให้กับบรรดาบ่าวไพร่และผู้คนนอกรถม้าจนคิดกันไปถึงไหนต่อไหน ทั้งสองพากันเดินเข้าจวนไปโดยไม่รู้เรื่องอันใดเลย
ฟงจินหมิงและฟงลี่หลินรีบเดินตามพี่ชายและพี่สะใภ้ไปด้วยใจที่เพิ่มระดับความสงสัยในสัมพันธ์ที่รักกันรวดเร็วแต่รักกันเหลือเกินแบบนั้น
ส่วนนายทหารที่แอบตามมาด้วยใจคิดถึงอาหารต้อนรับที่เลิศรสและสุราเลิศล้ำกำลังแอบอยู่หน้าประตูจวนเพื่อรอเวลาอันเหมาะสมช่วงเย็นย่ำให้กลับค่ายไม่ทันตามแผนการหวังผลอาหารและสุรา
พวกเขากำลังสงสัยว่าท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมดุร้ายบ้าพลังตลอดเวลานั้น ยามที่เขาแสดงความรักกับภรรยา เขาจะทำท่าทางอย่างไร อยากเห็นยิ่งนัก!
ภายในศาลาริมสระบัวหน้าเรือนกลางของจวนตระกูลฟงฮูหยินฟงกำลังนั่งบรรเลงเพลงพิณอยู่ภายในศาลาโดยมีผู้นำตระกูลฟงยืนกอดอกฟังภรรยาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่มิเคยเสื่อมแววรักใคร่อยู่ในนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุเข้าวัยกลางคนและมีบุตรชายบุตรสาวโตมากแล้วเสียงเพลงพิณอันเป็นเอกลักษณ์ของฟงฮูหยินทั้งยังไพเราะเสนาะหูดังแว่วมาตามสายลมทำให้พี่น้องตระกูลฟงที่เดินมาตามทางระหว่างเรือนที่ปูด้วยหินอ่อนต่างพากันเดินมาตามเสียงเพลงนั้นอย่างเหม่อลอยโดยมิได้นัดหมาย“ท่านพ่อตกหลุมรักท่านแม่ด้วยเพลงนี้ล่ะ ท่านแม่เคยเล่าให้ข้าฟังเมื่อครั้งแรกที่พวกท่านเจอกัน ท่านแม่กำลังบรรเลงเพลงพิณในงานสมโภชแห่งวังหลวง” เสียงหวานใสของฟงลี่หลินเอ่ยขึ้นมา“อ่า...แล้วท่านแม่ตกหลุมรักท่านพ่ออย่างไร” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยตามอย่างเข้าใจความนัยของน้องสาว“ท่านแม่บอกว่าท่านพ่อเป็นคนเดินเข้ามาบอกรักกับท่านแม่แบบตรงๆ อย่างองอาจเยี่ยงชายชาติทหารต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารหลายคน นั่นจึงทำให้ท่านแม่ประทับใจในความกล้าหาญของท่านพ่อ การบอกรักใครสักคนต่อหน้าพยานมากมายเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง” ฟงลี่หลินรีบตอบคำ“อืม...” ฟงจินหมิงยักคิ้วใ
“เจ้าค่ะท่านแม่” หลิงเวยรีบรับคำในทันที การเล่นพิณเป็นสิ่งที่นางชื่นชอบยิ่งนัก“เช่นนั้นลองแสดงฝีมือให้ทุกคนได้ดูชมดีหรือไม่” ซินหรูยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นจับประคองลูกสะใภ้ให้เข้าไปนั่งยังตำแหน่งหลังเครื่องสายหลิงเวยนั่งลงตามคำของแม่สามีก่อนจะเริ่มวาดนิ้วไปบนพิณตรงหน้า นางลองดีดเส้นสายของมันเพื่อประเมินเสียงแต่ละเส้นครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงที่ตนเคยแต่งเอาไว้ใช้บรรเลงภาพของสตรีงดงามท่วงท่านุ่มนวลอ่อนช้อยหวานล้ำกำลังนั่งอยู่หลังพิณแกะสลักแสนวิจิตรตามด้วยเส้นเสียงของเครื่องสายที่สั่นเบาๆ ตามจังหวะเรียวนิ้วของหญิงสาวสร้างบรรยากาศคล้ายสรวงสวรรค์ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นภายในศาลาเพลงที่หลิงเวยใช้บรรเลงนั้นเป็นเพลงที่นางเขียนขึ้นด้วยตนเอง นางบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกเดียวดายคล้ายนกน้อยในกรงเล็กที่ต้องการอิสระได้โผบินไปกับผองเพื่อนที่รู้ใจนางจินตนาการว่าได้บินไปในท้องฟ้ากว้างใหญ่ด้วยความรู้สึกเย็นสบายยามเมื่อสายลมโบกโบยผ่านปีกเล็กๆ ของนางภายใต้ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างมีนกหลายตัวที่โผบินไปกับนาง กางปีกเคียงข้างกันถลาไปด้วยกันอย่างจริงใจ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วนางหาได้มีอย่างนั้นไม่ บ
หลังจากเงียบงันไปอึดใจฟงชินหยางพลันได้สติก่อนหลิงเวยจึงเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มตรงมุมปากพาเอาใบหน้าคมเข้มสว่างไสว“เจ้าคงเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนดีหรือไม่”ชายหนุ่มกล่าวกับภรรยาคนงามข้างกายอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหลือเกิน เขาต้องพานางออกไปจากอันตรายตรงหน้าภรรยาของเขาช่างโง่งม“เอ่อ...” หลิงเวยเริ่มอึกอัก นางไม่อยากเข้าเรือนไปกับสามีผู้ดุร้าย นางอยากอยู่ตรงนี้กับทุกคนในครอบครัว แต่ว่านางกำลังทำพลาดไป อยากร้องไห้เสียจริงหญิงสาวเริ่มสบสนกับตนเอง นางมิรู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงทำได้แค่เพียงเงยหน้าขึ้นมองคนตัวใหญ่พลางเม้มริมฝีปากแน่นๆ กะพริบตาปริบๆ คล้ายกับนักโทษต้องอาญาถูกนายเหนือหัวตัดสินโทษทัณฑ์แล้วต้องถูกเพชฌฆาตตรงหน้านำตัวไปประหารฟงชินหยางก้มมองนางตรงหน้าด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย นางกำลังทำหน้าตาอย่างนี้ นางกำลังทำมารยาร้ายกาจใส่เขาอีกแล้วชายหนุ่มคิดในใจได้อย่างนั้นจึงไม่ต้องการมองใบหน้าของนางในยามนี้อีกต่อไป เขาจึงดึงเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่เขาสวมใส่เอาไว้ด้านนอกให้ปกคลุมนางตั้งแต่ศีรษะลงไปแล้วดึงนางเข้ามาให้ใบหน้าฝังในแผงอกของเขาและใช้ฝ่ามือใหญ่หนาอีกข้างจับกดศีรษะนางเอาไว้จนจมมิดกับ
“หยางเอ๋อร์ปล่อยเวยเอ๋อร์ก่อนดีหรือไม่” ซินหรูรีบเตือนสติบุตรชายเมื่อเห็นว่าหลิงเวยคล้ายจมเข้าไปในแผงอกจนจะสิงเข้าไปในร่างกันอย่างนั้นฟงชินหยางจึงหรี่ตามองนางในอ้อมแขนพร้อมกระซิบกระซาบเสียงลอดไรฟัน “กลับไปรอข้าที่เรือน” “ไม่เอา” หลิงเวยยังคงมีจุดยืน นางเข้มแข็งมากในเรื่องนี้ชายหนุ่มยิ่งนึกเข่นเขี้ยว เขาพอจะดูออกว่านางต้องการทำมารยาใส่คนในครอบครัวของเขา ฮึ! ไม่มีทาง“ไม่กลับใช่หรือไม่”หลิงเวยพยักหน้าน้อยๆ พยายามมองสู้สายตามืดดำของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เช่นนั้นก็อยู่กับข้า ห้ามห่าง นี่คือคำสั่ง!”“...”จบคำจึงยอมปล่อยหลิงเวยออกจากอ้อมแขนแต่ยังคงปรายสายตาคมดุเข้าฟาดฟันตรึงนางเอาไว้แน่น“นี่ก็ใกล้มื้อเย็นแล้ว แม่ขอตัวไปดูในโรงครัวเสียหน่อย” ซินหรูเอ่ยขึ้นพลางหมุนตัวเดินไปกับฟงซือหลางสามีของตนหลิงเวยเห็นอย่างนั้นจึงทำท่าจะผละไปเพื่อเดินตามหลังแม่สามีแต่กลับถูกฝ่ามือใหญ่หนาโอบจับกระชับเอวเอาไว้แน่นฟงลี่หลินได้แต่มองพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตาปริบๆ ในขณะที่ฟงจินหมิงนึกอิจฉาขึ้นทุกที“พวกเจ้าอยู่ทานมื้อเย็นก่อนกลับแล้วกัน” ฟงซือหลางเอ่ยมาทางเหล่าลูกน้องทหารนอกศาลาก่อนเดินจากไปกับฮูหยิน ของต
“อาซ้อ!”เสียงเรียกจากฟงลี่หลินทำหลิงเวยที่กำลังเดินคอตกครุ่นคิดหนักหน่วงพลันหลุดออกจากภวังค์“อาซ้ออยู่กับข้าก่อน ไม่ต้องกลับเรือน” ฟงลี่หลินที่ยังคงยืนอยู่ในศาลากับฟงจินหมิงมองเห็นทั้งหมด นางจึงเดินออกมาจากในศาลาตรงเข้าจับข้อมือของหลิงเวยเอาไว้พลางชำเลืองสายตามองไปทางสตรีนางหนึ่งที่พี่ใหญ่จ้องมองเมื่อครู่“สตรีนางนั้นเป็นใครไยมองพี่ใหญ่อย่างนั้น อาซ้อรู้จักหรือไม่” นางถามพี่สะใภ้เสียงแข็งกระด้างรู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาหลิงเวยได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ปฏิเสธตามตรง นางไม่รู้จักใครทั้งนั้น กับสามียังแค่รู้จักกันก่อนแต่งงานเพียงสามวัน หญิงสาวถึงกับถอนหายใจลากยาวใบหน้าหมองเศร้าจิตตกเหลือเกิน“หรือจะเป็นคนรักของพี่ใหญ่” ฟงจินหมิงที่ยืนอยู่กับฟงลี่หลินเริ่มวิเคราะห์ เขาช่างสงสัยในทุกๆ เรื่องแห่งชีวิตฟงลี่หลินได้ยินพลันผงะ “ได้อย่างไร พี่ใหญ่แต่งงานแล้ว หากเป็นคนรักของพี่ใหญ่จริง ไยพี่ใหญ่ถึงต้องแต่งกับอาซ้อ ไยไม่แต่งกับสตรีนางนั้น” นางช่วยพี่รองวิเคราะห์อย่างเข้มแข็งพาเอาคนฟังใจเต้นแรง “ถ้าหาก...” หลิงเวยเริ่มกล่าวเสียงเบา“ถ้าหากสตรีผู้นั้นเป็นคนรักของชินหยาง...” นางจะทำอย่างไร นางยังไม่ทันได้เต
“ในเมื่อเจ้ามีญาติอยู่ในเมืองหลวง” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยคำอีกคราด้วยน้ำเสียงเย็นชามากกว่าเดิม “ข้าจะทำเรื่องย้ายเจ้าเข้าไปประจำการที่เมืองหลวง รับจดหมายนี่ไป” กล่าวจบก็ยื่นจดหมายส่งตัววางเอาไว้บนโต๊ะทำงานให้สตรีตรงหน้าได้หยิบไปด้วยตนเองอวี้ถิงถึงกับตาโตตะลึงงันจ้องมองจดหมายตรงหน้าอย่างงุนงง อะ...อะไรกัน!???“ออกไปได้แล้ว” ฟงชินหยางเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบกับทหารทุกนายหลังจากเสร็จสิ้นธุระอันสลักสำคัญทุกประการเขาควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม ต่อให้ต้องฆ่าคนเขาก็จะทำชายหนุ่มคิดอย่างนั้นพลางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเกินบรรยาย…เวลาอาหารค่ำมาถึงทุกชีวิตจึงรวมตัวกันภายในห้องอาหารบนโต๊ะอาหารอันใหญ่โตของจวนตระกูลฟงประกอบไปด้วยอาหารหลากหลายหน้าตาน่าทาน พาเอาอาซิ่นและอาตู้จิตใจเบิกบานทานอาหารอย่างรื่นเริง พวกเขาทั้งสองช่างเห็นแก่กินยิ่งนัก การทานอาหารร่วมกันจึงดำเนินไปภายในบรรยากาศเป็นกันเองเวลาผ่านไป...บรรยากาศหลังมื้ออาหารเย็นดำเนินไปด้วยสุรารสดีหลายไหถูกลำเลียงออกมาอย่างไม่มีหวงแหนเนื่องจากจวนตระกูลฟงนิยมหมักเหล้าเองและชอบแจกจ่ายเป็นทุนเดิม ในยามนี้อาซิ่นกับอาตู้ดื่มเหล้าอย่างมีค
เวลาดึกดื่นยามจื่อ(23.00-24.59)หลังจากที่ฟงชินหยางสั่งการบ่าวไพร่ให้พาแขกที่เป็นลูกน้องทหารทั้งห้าเข้าพักที่เรือนรับรองเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงพาเรือนร่างสูงใหญ่พร้อมอารมณ์โกรธกรุ่นใบหน้าคมคร้ามฉายแววอำมหิตเดินทางมายังเรือนนอนของน้องเล็กในทันที“พี่ใหญ่!” ฟงลี่หลินถึงกับตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ใหญ่ของนางที่คล้ายกับท่านจอมมารมาดทะมึนเดินมาเคาะประตูห้องกลางดึกอย่างนี้“เมียพี่อยู่ไหน?” ฟงชินหยางถามเสียงเย็น เขายังมิได้เข้าหอกับนางเลยจะแยกกันนอนได้อย่างไร คืนนี้เขาต้องจัดการนางให้หลายท่า“หลับไปแล้ว พี่ใหญ่กลับไปเลย” ฟงลี่หลินเบ้ปากบอกอย่างแง่งอนประหนึ่งว่าเป็นเมียพี่ชายเสียเองฟงชินหยางมีหรือจะฟังเขาพาร่างสูงกำยำของตนเดินอาดๆ เข้ามายังห้องด้านในสุดจนมาเจอเตียงนอนขนาดใหญ่ที่ภรรยาตัวดีของเขากำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่เมื่อเขาเจอตัวการที่ทำให้อาหารมื้อค่ำหมดรสชาติเนื่องจากถูกฟาดด้วยสายตาคาดโทษ เขาจึงรีบโน้มตัวลงอุ้มร่างบางเจ้าปัญหาของเขาขึ้นแนบอกในทันที“พี่ใหญ่จะทำอะไร หยุดนะ! ไม่นะ!” ฟงลี่หลินถามขึ้นอย่างตกอกตกใจเมื่อพี่สะใภ้ของนางกำลังจะถูกมารลักพาตัว ฟงชินหยางเริ่มหรี่ตามองน้องเล็กของตนอย่างเข่น
นางปรือตามองเขาพลางเรียกขาน“ชินหยาง...” เสียวแว่วหวานเอ่ยเรียกเขาพร้อมดวงตาหยาดเยิ้มใบหน้าแดงก่ำมีน้ำตาหยดลงมาใส่ใบหน้าของเขานางกำลังร่ำไห้เหมือนที่นางชอบทำไม่เคยเปลี่ยน“เจ้าคนใจร้าย”“...”แต่ที่เปลี่ยนไปคือนางด่าเขานางช่างกล้า! เมาแล้วด่าเป็นแน่นอนว่าเขาย่อมเป็นเช่นนั้น เขาเป็นมากกว่าใจร้ายเพราะว่าเขาทั้งโหดเหี้ยมโหดร้ายฆ่าคนได้ง่ายดายไม่มีละเว้นนี่ถือว่านางชมเขามันเป็นคำชม!“ข้ามีดีอะไรอย่างนั้นหรือ” นางเริ่มเอ่ยวาจาพึมพำบ่นคำออกมาแผ่วเบาด้วยใบหน้าง้อง้ำปลายจมูกเชิดรั้นสีแดงๆ“ข้าน่ะไม่ควรมีดีอันใด เพลงที่แต่งเอาไว้ไม่ควรบรรเลง ภาพที่วาดเอาไว้ยังต้องเก็บซ่อน กาพย์กลอนที่ร่ายเอาไว้ยังต้องฉีกทิ้ง ใบหน้าก็ไม่ควรแต่งแต้มเติมสีชาด ความงามของข้าไม่เคยจำเป็น ท่านรู้หรือไม่ ความสามารถของข้ามันคือปัญหา มันทำให้ข้าไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุข บุรุษทั้งหลายไม่ควรเจอข้า แต่ท่าน...ท่าน...เจ้าคนใจร้าย” “...”นางชมเขาอีกแล้ว!นี่นางเป็นอันใดมากหรือไม่ ไยร้ายกาจยิ่งนัก นางช่างร้ายกาจกับเขาเสียจริง ไม่เคยมีใครชมเขาถึงเพียงนี้!และก็นางบ่นพึมพำอีกสองสามประโยคด้วยใบหน้าเช่นเดิม ริมฝีปากอิ่มน่ากดจ
ริมศาลาขนาดเก้าเสากลางบึงสระบัวขนาดใหญ่ภายในจวนแห่งชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นเฉินชินอ๋องยังคงอารมณ์ดีมองฟงชินหยางอย่างนึกชมชอบในตัวบุรุษตรงหน้าไม่สร่างซา หากได้เขาคนนี้มาเป็นบุตรเขยเขาคงนอนตายตาหลับเป็นแน่แท้เสียงเพลงพิณยังคงแว่วดังพาทำนองน่าฟังขับกล่อมทุกผู้คนให้ถูกครอบงำด้วยสำเนียงเสียงแว่วหวานกังวานใสเคล้าคลอไปกับอากาศในยามสายของวันสบายๆ ผสมผสานสายลมเอื่อยเฉื่อยที่โลมไล้รอบเรือนกายของบุคคลทั้งหมดที่กำลังยืนอยู่ทางด้านนอกของศาลาอันใหญ่โตโอ่อ่า จู่ๆ เสียงทุ้มห้าวของบุรุษร่างใหญ่กำยำพลันดังทำลายบรรยากาศอันดีงามเสียสิ้น“กระหม่อมมีภรรยาอยู่แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”“...”เสียงนั้นเป็นเสียงของฟงชินหยาง เขาเลือกที่จะเอ่ยกับชินอ๋องตามตรงว่าเขามีภรรยาแล้ว เมื่อในวันนี้ชินอ๋องเองก็เลือกที่จะเอ่ยกับเขาตามตรงเช่นเดียวกัน เขาสังเกตได้ตลอดมาว่าธิดาของชินอ๋องชมชอบเขา หากแต่เขาไม่อาจปฏิเสธออกมาตามตรงได้แต่อย่างใด เนื่องจากจินเยว่ชิงและพระชายาเพียงทำท่าทางก้ำกึ่งตามแบบฉบับสตรีสูงศักดิ์มิได้เปิดเผยความนัยแบบตรงไปตรงมา เขาจึงทำได้แค่เพียงรอเวลานี้เพื่อที่จะให้ชินอ๋องได้ตัดสินใจเอ่ยกับเขาออกมา เขาจ
ในวันนี้ชินอ๋องเฉินจิ้นเหอส่งคนมาเชิญฟงชินหยางให้ไปร่วมดื่มน้ำชาเสวนาพาทีพร้อมเดินหมากล้อมกันตามปกติวิสัย ฟงชินหยางจึงเดินทางไปยังจวนของชินอ๋องในยามสายของวันโดยพาทหารหญิงคนสนิทข้างกายไปด้วยกันตามติดด้วยทหารหน้าบากนายหนึ่งตามไปด้วยอย่างมึนๆบุรุษร่างหนาใบหน้ามีแผลเป็นลากยาวหนวดเครารุงรังผู้นี้ยังคงทำหน้าที่อันหลากหลายได้ดีในทุกๆ วันไม่ว่าจะเป็นองครักษ์พิทักษ์พี่สะใภ้ เป็นหน่วยข่าวกรองไม่เปิดเผยตัวตนให้พี่ใหญ่ ทั้งยังเป็นหน่วยกล้าตายในสังกัดค่ายทหารได้อย่างแนบเนียน หลิงเวยและฟงจินหมิงเดินขนาบข้างมากับฟงชินหยางจนกระทั่งเข้ามายังภายในจวนก่อนจะถูกเชื้อเชิญจากข้ารับใช้ภายในจวนให้เดินตามไปยังทิศทางที่ข้ารับใช้บอกกล่าวว่าชินอ๋องทรงนั่งประทับรออยู่แล้วเป็นนานภายในศาลากลางสระบัวเพียงไม่นานบุคคลทั้งหมดจึงเดินมาถึงศาลาหลังใหญ่ขนาดเก้าเสาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางบึงสระบัวขนาดกว้างขวางเมื่อฟงชินหยางเดินมาจนถึงศาลานั้น เสียงเพลงพิณแว่วหวานส่งสำเนียงทำนองเสียงใสพลันดังกังวานอยู่ภายในศาลาฟงชินหยางถึงกับชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน หลิงเวยและฟงจินหมิงเองก็ไม่ต่างกัน ทั้งหมดพากันชะงักงันยืนตรึงอยู่กับท
“อันใดหรือเจ้าคะ” จินฮวาเอ่ยถามทหารหญิงคนสนิทของท่านแม่ทัพฟงในทันทีเมื่อมองเห็นผ้าปักงดงามล้ำค่ามากมายตรงหน้า “สำหรับลูกน้อยของเจ้าที่กำลังจะเกิดมา หวังว่าเจ้าคงไม่รังเกียจ” หลิงเวยบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานจริงใจ“เอ่อ...มันงดงามมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ธรรมดาเลย บุตรของข้ามิอาจเอื้อมเจ้าค่ะ” จินฮวาเอ่ยอย่างเกรงใจ ทุกวันนี้ท่านแม่ทัพฟงก็ดูแลพวกเราสองสามีภรรยาเป็นอย่างดีมากแล้ว“ข้ามีเยอะทีเดียว เจ้าอย่าได้เกรงใจ” หลิงเวยยังคงตั้งใจจริงจังในการขอโทษสตรีตั้งครรภ์ตรงหน้าจึงไม่คิดจะยินยอมให้จินฮวาปฏิเสธ “หากเจ้าไม่รับข้าเกรงว่าท่านแม่ทัพคงไม่พอใจ”“อา...เจ้าค่ะ” จินฮวายิ้มจนตาหยีรีบรับผ้าปักทั้งหมดเอาไว้ นางยอมรับว่าชมชอบอยู่ไม่น้อย ฝีมือปักผ้านี้ นางนั่งทำสิบปียังเทียบไม่ได้ “ผ้าปักพวกนี้ใส่ได้ทั้งบุตรสาวและบุตรชาย ไม่ว่าเจ้าจะได้บุตรเป็นชายหรือหญิงย่อมใช้ได้ทั้งหมด” “ขอบคุณแม่นางมากๆ เจ้าค่ะ ขอบคุณจริงๆ”สองสาวเพียงส่งยิ้มให้กันพร้อมเสียงหัวเราะสดใสดังกังวานคุยกันถูกปากถูกคอในเรื่องบุตรที่จะมีในไม่ช้าทำเอาในเวลาต่อมาเป็นฝ่ายบุรุษบ้างที่ต้องกลับกลายเป็นฝ่ายรอให้ฝ่ายสตรีเสวนาพาทีกันจนพอใจ
หลิงเวยสังเกตเห็นอาการตื่นเต้นนั้นของฟงชินหยาง นางจึงเริ่มขมวดคิ้วพันมุ่นเริ่มขัดเคืองฉับพลัน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยถามคำใด สตรีตั้งครรภ์นางหนึ่งก็เดินนวยนาดเข้ามายังห้องโถงแห่งนี้“ท่านแม่ทัพฟง” เสียงอ่อนหวานของสตรีตั้งครรภ์ดังขึ้นทำให้หลิงเวยยิ่งเพิ่มระดับความขุ่นเคืองมองค้อนฟงชินหยางขวับๆฟงชินหยางเห็นหลิงเวยส่งสายตาสวยหวานพิฆาตมองมาจึงได้แต่เสียวสันหลังวาบๆ อย่างไม่เข้าใจอันใด ไยรู้สึกหนาว!จินฮวาผู้ไม่เข้าใจอันใดในบรรยากาศแปลกประหลาดจึงพาท้องกลมๆ ของตนเองมานั่งยังเก้าอี้บนโต๊ะอาหารตามวิสัยที่เคยกระทำมาเนื่องด้วยว่าท่านแม่ทัพฟงอนุญาตให้นางเป็นกรณีพิเศษ หลิงเวยเห็นสตรีตั้งครรภ์นางนี้ลงนั่งที่โต๊ะอาหารกับฟงชินหยางอย่างนั้นยิ่งเพิ่มระดับความโกรธกรุ่นจึงเอ่ย“ท่านแม่ทัพฟง” น้ำเสียงหวานล้ำแต่กลับแฝงความเย็นเยียบไม่ธรรมดาของหลิงเวยทำเอาฟงชินหยางถึงกับขนลุกชูชันนั่งตัวตรงแข็งทื่อกลายร่างเป็นก้อนหินก้อนใหญ่หลิงเวยยังคงเอ่ย “ท่านบอกแก่ข้าว่าไม่มีภรรยา เห็นได้ชัดว่าท่านโกหก!” ฟงชินหยางเลิกคิ้วคมเข้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบซ่อนคลื่นสั่นไหวในอารมณ์ในแบบที่ไม่เคยเป็นกับใคร “ย่อมเป็น
หลายวันผ่านไป...ภายในค่ายทหารยังคงฝึกหนักเสียงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างดังเดิม มีการซ้อมเคลื่อนพลเคลื่อนทัพดังเดิม มีการผลิตอาวุธอันทรงพลังตามคำสั่งของท่านแม่ทัพตามเดิม มีกฎระเบียบที่แสนจะเคร่งครัดไม่มีลดหย่อนดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมและเพิ่มเติมมาก็คือท่านแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยอยู่เหนือผู้ใดกำลังถูกสตรีอัปลักษณ์นางหนึ่งครอบงำ หลิงเวยยังคงดูแลจัดการเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ดูแลทำแผลที่ได้รับจากการฝึกหนักดูแลเรื่องอาหารการกินให้ฟงชินหยางเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะยังคงตีเนียนทำตัวเป็นเพียงทหารหญิงรับใช้คนสนิทให้เขาโดยหาได้เปิดเผยฐานะจริงๆ ของตนไม่ ด้วยยังคงยึดมั่นในคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ฟงชินหยางก็ยังคงให้ความร่วมมือกับภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน เขาย่อมตามใจภรรยาในทุกๆ เรื่องโดยไม่ถามหาเหตุผลอันใดให้มากความ ในยามกลางวันนางอยากเป็นทหารหญิงรับใช้ให้เขาก็ให้เป็นไป เพียงแต่ในยามค่ำคืนนางต้องตามใจเขาในทุกกระบวนท่าลีลารักที่เขามอบให้ภายในห้องโถงของเรือนท่านแม่ทัพฟงบนโต๊ะอาหารที่มีกับข้าวมากมายหน้าตาน่าทานถูกจัดการเป็นพิเศษเพื่อท่านแม่ทัพฟงแต่เพียงผู้เดียวหลิงเวย
ฟงชินหยางเฝ้ากลืนกินภรรยาตัวน้อยตักตวงความสุขจากร่างบางนุ่มนิ่มพร้อมตอบกลับจัดให้ด้วยความสุขไม่ต่างกันหลิงเวยแหงนหน้าปรือตามองคนตัวใหญ่ด้วยสายตาหยาดเยิ้มฉ่ำน้ำสบเข้าไปในดวงตาคู่คมที่กำลังทอประกายร้อนแรงก่อนถูกเขาปล้นลมหายใจด้วยจุมพิตเร่าร้อนเคล้าคลึงด้วยอารมณ์รัญจวนให้ยิ่งกระพือหวามไหวหัวใจเต้นเร่าๆ แทบทะลุออกมานอกอก ปลายลิ้นของทั้งสองโรมรันพัลวันก่อนจะลากไล้พันกันอีกเพียงครู่แล้วปล่อยออกจากกันเพื่อให้อิสระในการส่งเสียงครางครวญยามเมื่อเส้นทางปลายฝันเริ่มกระชั้นเข้ามาซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็มิรู้ได้ เส้นทางฝั่งฝันระยิบระยับของพวกเขาช่างมีมากเส้นนักหนา พวกเขาไต่เส้นฝันกันทั้งวันทั้งคืนไม่รู้กี่เส้นต่อกี่เส้น กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเตียงตั่งขาโก่งขางอคนสองคนร่างสองร่างที่กำลังสอดประสานเข้าออกรุนแรงยังคงเร่าร้อนไต่ระดับพายุอารมณ์โดยไม่มีเก็บข่มใดๆกายหนาหยาบแกร่งกระแทกกระทั้นกระตุ้นเร้าให้ร่างบางสั่นสะท้านขึ้นลงไม่หนักไม่เบามอบความกระสันเสียวซ่านสาดเข้าใส่จนมีบางอย่างสาดกระเซ็นคล้ายระลอกคลื่นของสายธารคล้ายลาวาร้อนฉ่าท่วมทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มอ่อนนุ่มจนชุ่มชื้นถึงแม้จะมิได้เอื้อนเอ่ย ถึงแ
หลิงเวยหน้าแดงก่ำไม่สร่างซาเมื่อถูกบุรุษตัวใหญ่หนากระทำตามใจไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทว่านางยังคงเชื่อฟังคำสั่งของแม่สามีเป็นอย่างดีถึงการปลอมตัวในครั้งนี้“ท่านไม่ควรทำตัวอย่างนี้กับสตรีแปลกหน้า” หลิงเวยเอ่ยคำเพื่อตักเตือนฟงชินหยางขณะถูกเขาช้อนร่างขึ้นอุ้มแล้วพานางมาวางบนเตียงนอนเตียงเดิมหลังจากที่เขาเข้ามาหานางตามคำเรียกหาแล้วพานางอาบน้ำใส่ผ้าแต่ทว่าเขากลับถอดผ้าของนางออกแล้วอุ้มนางมาที่เตียงนอน นางยังขาสั่นอยู่เลยทำต่อไม่ไหวเสียแล้ว“ลืมเรื่องเมื่อคืนแล้วหรือไร ไยความจำสั้น นี่มิใช่ว่าเราควรทำความรู้จักกันให้มากเข้าไว้หรอกหรือ” ฟงชินหยางยังคงให้ความร่วมมือในการปลอมตัวของภรรยาตัวน้อยเป็นอย่างดีขณะกำลังขึ้นคร่อมนางแบบทั้งตัว“หากว่าเรารู้จักกันแล้วอย่างไร ภรรยาของท่านคงไม่ยินดี” หลิงเวยตีมึนถามเจ้าของแผงอกแข็งตึงที่กำลังเบียดเสียดกับหน้าอกนุ่มๆ ของนางอย่างต้องการลองหยั่งเชิงเขา“อา...ข้าจะบอกว่าอย่างไรดี อืม...” ฟงชินหยางทำท่าคิดหนักบางอย่าง “ข้าควรบอกว่ายังไม่มีภรรยา”“...!”และอีกคราที่หลิงเวยต้องส่งค้อนวงใหญ่ใส่ฟงชินหยางชายหนุ่มไม่สนใจดวงตาสวยใสที่กำลังมองค้อนขวับๆ ตรงหน้า เขายังคงก้มหน
“เจ้าหน้าบาก”“...!”เส้นเสียงทุ้มห้าวคำรามออกมาจากแม่ทัพฟงผู้ยิ่งใหญ่ทำเอาคนถูกเรียกถึงกับหางคิ้วกระดิกมุมปากกระตุกไม่คิดจะถามชื่อแซ่กันเลยรึพี่ใหญ่!ฟงชินหยางยืนถมึงทึงเอ่ยสั่งการเสียงดังไปทางบุรุษตัวโตที่ใบหน้ามีหนวดเครารุงรังพร้อมรอยแผลเป็นลากยาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กลางลานกว้าง “เจ้าจงตามไปไต่สวนห้าคนนี้ร่วมกับรองแม่ทัพจิ่น เข้าใจหรือไม่เจ้าหน้าบาก”ฟงจินหมิงจึงลุกขึ้นยืนนิ่งๆ จ้องมองฟงชินหยางด้วยมาดไม่ธรรมดาพร้อมสายตาคมกล้าเอ่ยออกมา “ขอรับท่านแม่ทัพฟง”ฮึ่ม! ชื่อเจ้าหน้าบากก็ได้!“ออกไปให้หมด!” แม่ทัพหนุ่มคำรามอีกคราพาเอาเหล่าทหารกล้ารีบประสานมือเสียงดังพรึ่บพั่บก้มหัวคำนับแล้วรีบหมุนตัวจากไปอย่างไวฟงชินหยางจึงเดินตรวจตราภายในค่ายตามวิสัย ทุกทิศที่สายตาคมปลาบมองปราดไป เหล่าทหารทั้งหลายได้แต่อกสั่นขวัญแขวนรีบตรึงตัวขึงขังทำหน้าที่รับผิดชอบของตนเองอย่างเต็มกำลังคนใดฝึกยิ่งฝึกหนัก คนใดแบกหามยิ่งแบกหาม คนใดกวาดลานยิ่งกวาดลาน คนใดแอบหลับยิ่งต้องตื่นเต็มตาหาไม่แล้วคงไม่แคล้วได้หลับไปตลอดกาล ความเจ้ากฎเจ้าระเบียบเที่ยงตรงไม่อาจดูแคลน ความโหดเหี้ยมแต่เปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรมไม่อา
บนเตียงนอนหนานุ่มภายในห้องนอนของเรือนประจำตำแหน่งแม่ทัพหลิงเวยสะลึมสลือตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดหัวตุบๆ รู้สึกพะอืดพะอมทั้งยังอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมากมายนักนางพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งพลันรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางหว่างขาและยิ่งปวดหนึบยิ่งกว่าตั้งแต่ช่วงเอวลงไปนางรู้สึกคล้ายเอวจะเคล็ดเสียด้วยอา...สะโพกระบมไปหมดผิวเนื้อของนางถึงขั้นบวมน้ำเลยเชียวหญิงสาวนั่งระลึกถึงเรื่องราวเมื่อยามค่ำคืนอันร้อนแรงถึงจิตถึงใจกับฟงชินหยางสามีของนางนางพอจะจำได้เลือนรางว่านางรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ดื่มเหล้าของเขาเข้าไปหลังจากนั้นบนเตียงนอนนี้นางก็ถูกเขาจัดการเสียหลายท่าไม่ว่าจะเป็น นอนหงายฉีกขา นั่งผสานชันเข่า นอนคว่ำโก่งโค้ง นอนคว่ำคร่อมหลัง คลานเข่าเดินหน้า กึ่งนอนที่ขอบเตียง กระทั่งท่ายืนหันหน้าหันหลัง เขาขืนใจนางได้ทุกท่วงท่าด้วยลีลาร้ายกาจ แต่...อืม...หรือว่าเป็นนางที่ขืนใจเขาหลิงเวยสลัดศีรษะเบาๆ กะพริบตาขึ้นลงไล่ความมึนงงให้หลุดออกไป เห็นได้ชัดว่าในเหล้านั้นมียาบางอย่าง หากนางไม่เป็นคนดื่มมันแน่นอนว่าคนที่ดื่มมันย่อมต้องเป็นฟงชินหยางและหากว่านางมิได้เข้ามาแทรกกลางแน่นอนว่าคนที่มานอนที่เตียงนี่ย่