ฟงชินหยางก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนด้วยอารมณ์คุกรุ่นที่มีมาตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนจนกระทั่งเข้าพิธีช่วงเช้าและยิ่งโกรธหนักในยามนี้เมื่อมองเห็นใบหน้าของเจ้าสาวเป็นอย่างนั้น
นางวางยาปลุกกำหนัดเขา ได้เสียกับเขาจนต้องแต่งงานกันด้วยแผนการอันแยบยลของนาง แต่เหตุไฉนนางถึงทำท่าทางอย่างนั้นกัน ไยไม่ยินดี ไยต้องร้องไห้
ชายหนุ่มยิ่งมองยิ่งนึกสงสัยระคนเข่นเขี้ยวจนต้องถามเสียงเข้ม “ร้องไห้ทำไม?”
หลิงเวยสะดุ้งอีกหนึ่งทีก่อนตอบเสียงเบา
“ข้า...ข้ามิได้ร้องไห้”
“ไม่ได้ร้องไห้ แล้วที่ทำอยู่คืออันใด อย่าบอกว่าเสียใจ”
ฟงชินหยางยังคงดุดันในน้ำเสียงพร้อมสายตาคมกล้าสาดใส่อย่างกราดเกรี้ยวทั้งยังเย้ยหยันในที
นางควรจะดีใจที่ทำกับเขาได้สำเร็จ นางควรจะดีใจที่ทำให้พยัคฆ์อย่างเขาต้องเสียท่าพลาดพลั้งอย่างน่าอับอาย
หญิงสาวไม่ตอบคำ นางไม่จำเป็นต้องต่อความยาวสาวความยืดให้เขามีอารมณ์คุกรุ่นไปมากกว่านี้ นางจึงยกฝ่ามือขึ้นแล้วใช้ชายผ้าซับน้ำตาให้หมดไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นสู้สายตาของเขา นางกำลังพยายามทำใจดีสู้เสือที่สุดในชีวิต
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเดียวกันถึงกับหางตากระตุกอีกหนึ่งคราเมื่อมองเจ้าสาวของตน
ใบหน้าของนางยามนี้ต้องบอกว่าไม่ค่อยๆ จะเหมือนสตรีปกติสักเท่าไหร่ นางร้องไห้จนดวงตาบวมปูดแดงช้ำใบหน้าแดงก่ำพองออกเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นจนเริ่มซับสีเลือด ทั้งยังกล้าถลึงตาจ้องมองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
มองจากเนื้อตัวของนางที่กำลังสั่นเทานั่น อวัยวะภายในเคลื่อนที่แล้วกระมัง
ฟงชินหยางยิ่งมองยิ่งต้องขมวดคิ้วพันกันแน่น นางจะทำมารยาไปเพื่อการใด ในเมื่อทุกอย่างช่างชัดเจน
ห้องพักของเขาที่ผูกรายปีเอาไว้ไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาพักได้ นางแอบเข้ามาแล้ววางยาเขาทั้งยังนอนยั่วยวนเขาบนเตียงนอนของเขา นางใช้ตนเองเป็นเครื่องมืออย่างไร้ยางอาย พวกลูกน้องของตระกูลนางก็มายืนรอเป็นพยานกดดันเขากันอย่างพร้อมเพรียง แผนการของนางลึกล้ำออกปานนั้น
“เจ้าช่างงดงามแต่ทำตัวเยี่ยงนี้ช่างน่าเสียดาย”
ชายหนุ่มในอาภรณ์เจ้าบ่าวเริ่มเอ่ยคำตามตรง
เขามีนิสัยตรงไปตรงมาเยี่ยงชายชาติบุรุษตามหน้าที่การงานที่เป็นทหารทระนงองอาจ มิได้ต้องใส่หน้ากากเสมือนขุนนางในรั้วในวัง
และยิ่งเกลียดที่สุดคือสตรีเจ้าเล่ห์เจ้ามารยาเห็นแล้วพาหงุดหงิด ยามเข้าวังแต่ละครั้งต้องทนกับรอยยิ้มหวาดหยดแต่พร้อมเชือดเฉือนให้ตายตก สหายร่วมรบของเขายังต้องตายไปด้วยพิษน้ำผึ้งของอิสตรี รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาอย่างกล้าแกร่งแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับสตรียิ้มหวาน
เขาเองในยามนี้ก็คงไม่ต่าง ฮึ! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“หยุดเล่นงิ้วเสียที ข้ารำคาญ” ฟงชินหยางกล่าวปิดท้ายเสียงเข้มใบหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตกอยู่ในภวังค์ของตนเมื่อครู่
หลิงเวยได้แต่ถลึงตาจ้องมองเขาอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ หากนางมารยาเป็นดังคำเขาว่ามาก็คงดี แต่นางทำไม่เป็นและไม่ได้เล่นงิ้วอะไร
หญิงสาวยังคงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นดังเดิม นางไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าอย่างไร ส่งยิ้มให้เขาดีหรือไม่แต่นางยิ้มไม่ออกเอาเสียเลย
ฟงชินหยางส่งสายตาดุดันเข้าฟาดฟันสตรีตรงหน้าอีกอึดใจก่อนพรู่ลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วเริ่มปรับอารมณ์ของตนให้เข้าที่เข้าทาง
เขาได้รับวันหยุดยาวให้พักผ่อนได้สามเดือนหลังจากไปประจำการที่ค่ายทหารห่างไกลถึงสามปี วันหยุดยาวนี้ได้มาเพราะสิ้นศึกหนักเมื่อไม่นานมานี้เพื่อให้ได้มีเวลากับครอบครัว ใช้เวลากับท่านพ่อท่านแม่ที่แก่ชรา พวกท่านภาคภูมิใจในตัวของเขามาแต่ไหนแต่ไรอีกทั้งน้องๆ ทั้งสองของเขาที่มิเคยเคลือบแคลงอันใดในตัวพี่ชายอย่างเขา และงานแต่งงานที่รวบรัดนี่ก็นำพาให้คนในครอบครัวเข้าใจผิดกันไปแล้วจนสิ้น ว่าสตรีตรงหน้านางนี้เป็นคนรักของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ดูสีหน้าของทุกคนในพิธีแต่งงานนั่นประไร ยิ้มแย้มกันจนปากจะฉีกถึงรูหู
เขาไม่เคยรู้สึกเสียการควบคุมตัวตนอย่างนี้มาก่อนเลย ปกติเขามักจะเยือกเย็นพูดน้อยต่อยหนัก
แต่ยามนี้เห็นทีจะถนอมคำพูดเอาไว้มิได้ เห็นทีคงต้องพูดให้หนักและต่อยให้หนักอีกด้วย
"จะหนีไปไหน?"เส้นเสียงหวานห้วนของหญิงสาวผู้ต้องการเป็นเพียงน้องสาวของชายที่นางพึงใจตะโกนถามทันใดเมื่อถูกเขาหลบหนีไม่รับการคารวะกัน"ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!" ชายผู้ถูกอาวุธร้ายแรงด้วยการคุกเข่าเตรียมโขกศีรษะอย่างนั้นรีบคำรามพลางพากายงามหลบเลี่ยงเต็มที่"อย่าหนีนะ!""หยุดเดี๋ยวนี้!""พี่รอง""หยุด!"ทั้งสองยังคงไม่ยอมต่างตะโกนคำรามเสียงขรมวุ่นวายดังลั่นห้องโถงของเรือนชานเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ…หลี่ลี่เหมยเริ่มหอบเหนื่อย นางเดินตาม เขากลับหนี นางคุกเข่าพร้อมคารวะ เขากลับสลัดกายหลบเลี่ยงซ้ายขวา นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอ มิได้มีวรยุทธ์มีกำลังวังชา เวลาไล่ล่าเพียงเท่านี้ก็ผลาญพลังนางไปแล้วจนหมดสิ้น"หยุดเดี๋ยวนี้นะ..." หญิงสาวเริ่มหมดแรงเสียงแหบแห้งขึ้นทุกที ฟงจินหมิงเห็นหลี่ลี่เหมยหมดแรงแล้วอย่างนั้นจึงรีบปรี่เข้าประชิดร่างนุ่มที่ชุ่มด้วยเหงื่อไคลก่อนจับนางอุ้มขึ้นในทันใดเขาจักจับนางมัดเอาไว้มิให้ลุกออกมาคุกเข่าคารวะกัน!หลี่ลี่เหมยที่เหนื่อยเหลือเกินในยามนี้ทำได้เพียงตัวพับตัวอ่อนหมดเรี่ยวหมดแรงแม้แต่จะคิดดิ้นหนี นางจึงกลายร่างเป็นนางมนุษย์ไร้กระดูกปล่อยให้เขาลงโทษทัณฑ์แต่โดยดี“ข้าชอบท่า
สตรีดื้อดึงร้ายกาจบ้าอำนาจนางนี้ เขาควรจัดการกับนางอย่างไรดี เขาที่จัดการกับใครๆ ได้ง่ายดายไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรู้สึกยุ่งยากใจเท่ากับสตรีนางนี้เลย ให้ตาย!“ข้าเคยบอกแก่เจ้าแล้วว่าข้าจะฆ่าเจ้าเมื่อใดก็ได้หากเจ้าไม่เชื่อฟังข้า” เส้นเสียงทุ้มใหญ่เริ่มคำราม เขาจะไม่มีทางยอมให้นางทำตัวร้ายกาจอย่างนี้ หากนางทำตัวไม่ดีเป็นสตรีไม่ดีแล้วจะบอกกับลูกๆ ว่าอย่างไร “ข้าเคยบอกแก่ท่านเช่นกันว่าท่านช่วยข้าแล้วต้องช่วยข้าตลอดไป ข้าจะอยู่กับท่าน ไม่ไปไหนทั้งนั้น” เสียงหวานแหลมเอ่ยอย่างไม่มียินยอมใดๆนางไม่มีทางยอมให้เขาเป็นบุรุษเหลวไหล ต้องเสื่อมเกียรติเสียศักดิ์ศรี เพราะหลงกลหลงมารยาของสตรีนางใดทั้งนั้น หากเขาพ่ายแพ้ให้มารยาชั้นต่ำ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด“หากเจ้ายังทำตัวเยี่ยงนี้อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” ชายหนุ่มก้มหน้าคำรามเสียงเครียด“ทำไม? ข้าทำตัวอย่างไร!” หญิงสาวหน้าเชิดคอตั้งเดินเข้าใส่“เจ้าช่างร้ายกาจ”“เฮอะ! ข้าร้ายกาจแต่ท่านโง่งม”"ลี่เหมย!" ฟงจินหมิงถึงกับเรียกนาง อารมณ์ของเขายามนี้คล้ายไฟกองใหญ่ "เจ้าต่างหากที่โง่งมไม่เคยเข้าใจสิ่งใด"“ท่านนั่นล่ะ!" หลี่ลี่เหมยยิ่งเสียงสูง "แค่สตรีนาง
เมื่อเห็นสายตาคมดุที่คุ้นเคยมองมาพร้อมความหมายตามที่กล่าวหากันแบบนั้น หลี่ลี่เหมยยิ่งเพิ่มโทสะขึ้นฉับพลัน“ได้! ข้าบ้าอำนาจ”นางคำรามกลับอย่างกราดเกรี้ยวพลางก้มหน้าเอื้อมมือหยิบถ้วยชาบนโต๊ะในศาลาแล้วเขวี้ยงออกไปใส่กลุ่มของท่านหญิงจินเยว่ชิงอย่างโหดร้าย ตามด้วยกาน้ำชาอุ่นร้อนทั้งกาถูกเขวี้ยงออกไปเต็มแรง น้ำชาอุ่นร้อนสาดกระเซ็นรินรดทุกคนนางแสดงความบ้าอำนาจเต็มที่ถ้วยชามากกว่าหนึ่งใบถูกเขวี้ยงใส่กลุ่มสาวใช้ที่กำลังโอบอุ้มจินเยว่ชิงอย่างทุลักทุเล เสียงกรีดร้องดังระงมวุ่นวายความเสียหายพลันบังเกิดจินเยว่ชิงยิ่งหมดสภาพแห่งสตรีสูงศักดิ์จนดูอเนจอนาถมากมายนักในยามนี้หลี่ลี่เหมยมักเป็นเช่นนี้ หากเป็นกาลก่อนนางจะสั่งทหารจับสตรีเยี่ยงนั้นไปแก้ผ้าแล้วโบยจนต้องร้องขอชีวิต นางมักจะแสดงฉากนี้ตามอำนาจที่มีที่ได้รับ ไม่ให้ใครหน้าไหนกล้าเหิมเกริมกับนางทั้งนั้น หลี่ลี่เหมยยังคงกราดเกรี้ยวโหดร้ายไม่มีผ่อนปรน "ลากมันออกไป! อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง"ครานี้จึงเป็นฟงจินหมิงบ้างที่ตะลึงงัน “เจ้า!” เขาคำรามใส่สตรีตรงหน้าได้แค่นั้น“ทำไม!?” นางเสียงสูงหน้าดำหน้าแดงบรรยากาศที่เคยเย็นสบายภายใ
มีเพียงพวกนางสองสตรีเท่านั้นที่เข้าใจความนัยแห่งสายตา หลี่ลี่เหมยเชิดหน้ากอดอกมองเหยียดหยัน “ท่านหญิงมาทางใดจงกลับไปทางนั้นเสีย” น้ำเสียงแข็งกร้าวไร้ปรานีมากอำนาจเปล่งออกมา “ออกไป!” ช่างเย็นชาแต่ดุเดือดและทรงพลัง ท่านหญิงสูงศักดิ์ถึงกับตาโตตัวเกร็งแข็งค้าง นางกำลังรู้สึกคล้ายกับอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของสตรีบัลลังก์หงส์สตรีตรงหน้านางนี้เป็นใครกันแน่ ไยน่ากลัวยิ่ง! จินเยว่ชิงเป็นเพียงสตรีชั้นสูงในห้องหอธิดาอ๋องเฉิน ที่ถูกประคบประหงมจนบอบบางเป็นที่สุด นางจึงตกใจจนใบหน้างามซีดเผือดไร้สีเลือดในบัดดลหญิงสาวมองฟงจินหมิงด้วยสายตาน่าสงสารเป็นที่สุด แลดูอ่อนแอและบอบบางเป็นอย่างมาก นางกำลังถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมเหลือเกินจินเยว่ชิงส่งสายตาขอความเห็นใจก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงพาร่างอ้อนแอ้นเริ่มโอนเอนคล้ายกิ่งหลิวลู่ลมนางใกล้เป็นลมเต็มที ฟงจินหมิงเป็นบุรุษหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ในยามนี้ เขาจึงเอื้อมแขนเข้ารอรับร่างบางของท่านหญิงโดยสัญชาตญาณหลี่ลี่เหมยเห็นดังนั้นจึงสะบัดมือปัดวงแขนกำยำของฟงจินหมิงออกทันใดพลั่ก!ร่างบางสูงค่าของจินเยว่ชิงล้มลงกระแทกพื้นศาลาทันทีสตรีงดงามในอาภรณ์หรูหรานอนแผ
และนั่นยิ่งทำให้หลี่ลี่เหมยพลันเกิดเปลวเพลิงในหัวใจดวงตาเรียวสวยพลันทอประกายร้ายกาจ รังสีอำนาจดำทะมึนบางอย่างแผ่กำจายไปทั่วร่าง นางกำลังรู้สึกได้บางอย่างเป็นความรู้สึกในแบบที่ไม่เคยเป็นกับฉีหย่งเหอที่มีสนมอยู่เต็มวังหลังนางก็ยังไม่เคยเป็นนางไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครความเยียบเย็นมีสติที่เคยใช้จัดการกับบรรดาสตรีของฉีหย่งเหอพลันหายไป ยามนี้ในใจมีแต่คำว่าไฟสุมทรวงหลี่ลี่เหมยยิ่งหรี่ตามองอย่างเย็นชาฝ่ามือกำเข้าหากันแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นางสังเกตได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านหญิงผู้นี้ทำกิริยาเผยความนัยว่าชมชอบฟงชินหยางเป็นอย่างมาก หากแต่พอเจอเข้ากับฟงจินหมิงก็รีบเบนหัวเรือในทันที แต่ประเด็นมิใช่แค่นี้ดูท่าทางของท่านหญิงจินเยว่ชิงในยามนี้เแล้ว เรื่องที่ร้านผ้าคงมิใช่แค่เรื่องบังเอิญเสียแล้วกระมัง ประสบการณ์ของอดีตท่านหญิงแห่งเป่ยฉีเยี่ยงหลี่ลี่เหมยย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงมารยามากเล่ห์แห่งสตรีเพศนางกำลังจะปรับปรุงตัวเองให้ดี เป็นสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานเฉกเช่นหลิงเวย ถึงจะไม่เหมือนกันแต่มันมิใช่เรื่องยากหากนางจะลดความรุนแรงลงไปจนหมดสิ้น ในเมื่อบ้านฟงมิได้เป็นเช่นในวังหลวง นางก็ไม่ต้องทำตัวร้ายก
ระหว่างทางเดินของจวนที่หลี่ลี่เหมยและจินเยว่ชิงกำลังเยื้องย่างเดินมาตามทางผ่านสวนสวยจินเยว่ชิงคลี่ยิ้มพริ้มเพรายามเอ่ยราบเรียบแก้ตัวเรื่อยเปื่อย “อันที่จริงคนที่ข้าคุ้นเคยคือฟงจินหมิง หาใช่กับฟงชินหยาง เจ้าอย่าเข้าใจข้าผิดไป”เมื่อได้ยินนามของฟงชินหยางนางจึงลืมตัวมากไปหน่อย นางลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาและลูกๆ ของฟงชินหยางอยู่ที่นี่ นางจึงต้องรีบแก้ตัวเพื่อแก้ไขในอดีตที่ผ่านมาหมายรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้คงอยู่ไม่สร่างซา เพราะนางแน่ใจว่าเรื่องของนางในครานั้นทุกคนในบ้านฟงคงรู้ดีแต่ทว่าการที่จินเยว่ชิงแก้ตัวว่าอย่างนั้นยิ่งเพิ่มความระแวงให้กับหลี่ลี่เหมยอย่างยิ่งยวด นางจึงเอ่ยเนิบนาบน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านหญิงคุ้นเคยกับฟงจินหมิงหรือ?” “อืม” ท่านหญิงอมยิ้มแก้มแดง เอียงหน้าน้อยๆ ท่าทางเขินอายน่ารักน่าชัง “ข้ากับเขาเคยมีสัญญาใจต่อกัน”“...!?”หลี่ลี่เหมยพลันเงียบงัน ปลายเท้าน้อยๆ พลันหยุดเดินจินเยว่ชิงหาได้รับรู้อันใด นางยังคงเดินนวยนาดไปตามทางเดินระหว่างเรือนอย่างแช่มช้อยสูงส่ง เป้าหมายคือไปทักทายสองผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาและมารดาของบุรุษหนุ่มบ้านนี้ เพื่อสัมพันธ์อันดีเพิ่มความแน่นแฟ้นหลี่ลี่เห