ค่ำคืนอันมืดมิดไร้แสงแม้กระทั่งจากดวงดาว ดวงจันทรายังต้องหลบเร้นอยู่หลังมวลเมฆดำทะมึนใต้ต้นไม้สูงใหญ่ใบหนากลางป่าห่างไกลเมืองพลันปรากฏกลุ่มคนชุดดำทะมึนน่ากลัวกลุ่มหนึ่งอยู่ตรงนั้นเหนือกลุ่มคนเหล่านั้นมีบุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เนื้อดีสีดำด้านยืนอย่างสง่าคล้ายคุณชายรูปงามธรรมดา หากแต่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกลับมีดวงตาคมดุร้ายกาจมองฝ่าความมืดมิดอย่างเย็นชาแฝงความโหดร้ายทุกอณูเขาเพียงยืนรับฟังคำรายงานจากลูกสมุนด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อยกลุ่มบุคคลลึกลับสวมอาภรณ์สีดำสนิทบริเวณกกหูด้านซ้ายของแต่ละคนมีสัญลักษณ์บางประการ เป็นสัญลักษณ์เสี้ยวจันทราสีแดงเพลิง พวกเขากำลังยืนก้มหน้าประสานฝ่ามือรายงานผลแห่งคำสั่งที่ได้รับมอบหมายต่อนายเหนือหัวของตนตรงหน้า“ทหารมือแส้ที่ลงทัณฑ์ประจานถูกตัดมือจนขาดทั้งสองข้างแล้วถูกลากไปทรมานด้วยแส้ลูกโซ่เหล็กแหลมก่อนนำศพของมันไปโยนทิ้งที่ริมผาฝั่งประจิมอันไกลโพ้น ส่วนทหารที่ออกคำสั่งถูกจับฉีกปากจนกรามหักแล้วลากให้ใบหน้าไถไปกับพื้นของเหลี่ยมหินจนสิ้นใจตายแล้วนำซากไปลอยน้ำให้เป็นอาหารปลา ส่วนทหารคนอื่นๆ จับแก้ผ้าแล้วมัดขึงเอาไว้ที่กลางตลาดให้พวกม
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อชายหนุ่มใส่ผ้าชุดใหม่สะอาดสะอ้านให้นางเสร็จสรรพก็จับยกนางอย่างนุ่มนวลให้ร่างอ้อนแอ้นของนางพิงซบกับอกแกร่งของเขาก่อนจะป้อนยาให้นางด้วยริมฝีปากของเขาเองชายหนุ่มดูแลหญิงสาวอย่างอ่อนโยน ห่มผ้าให้นางตามด้วยกดจูบหน้าผากกลมมนของนางแผ่วเบาหมายปลอบประโลม ทุกการกระทำล้วนทะนุถนอมนางทุกสัดส่วนเขานั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียง มือแกร่งข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นปัดปอยผมให้นางอย่างเบามือ ฝ่ามือหนาอีกข้างเอื้อมกุมมือบางที่เย็นเยียบ เขากอบกุมมือนุ่มนิ่มของนางเอาไว้ หวังเพียงให้ความร้อนจากมือเขามอบความอบอุ่นแก่นางฟงจินหมิงนั่งมองหลี่ลี่เหมยนิ่งนาน เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้ว่านางยังมิตายจากกันไปไหน ที่ก้นเหวในวันนั้นเขาใช้เรือนร่างของเขาโอบกอดนางเอาไว้มอบความอบอุ่นให้นางเพื่อดึงนางกลับมาจากความตายนางทั้งอ่อนแอและบอบบาง นางไม่มีใครคอยปกป้อง ความร้ายกาจของนางคือสิ่งเดียวที่ปกป้องนางจนทุกวันนี้ “คุณชายรอง” เสียงร่ำไห้ของเสี่ยวชุ่ยดังอยู่ตรงพื้นห้องข้างเตียงนอนของหลี่ลี่เหมยนางนั่งอยู่ตรงปลายเท้าของฟงจินหมิงที่กำลังนั่งตระหง่านคล้ายจอมมารอยู่ตรงขอบเตียง “เป็นความผิ
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่วิจารณ์ของชาวบ้านนั้นเสี่ยวชุ่ยกำลังร้องไห้ดังระงมอยู่ข้างกายของหญิงสาวนางหนึ่งที่กำลังนอนขดตัวอยู่บนพื้นดิน สองหลานชายรีบกระโดดลงไปทางนั้นในทันทีและภาพของสตรีนางนั้นที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นดินทำให้ฟงจินหมิงถึงกับเบิกตาโพลงหลี่ลี่เหมยอยู่ในสภาพอิดโรยนอนจมฝุ่นดินด้วยเนื้อตัวเปรอะเปื้อนสั่นเทา ผมเผ้าของนางหลุดลุ่ย เสื้อผ้าสีขาวของนางปรากฏริ้วรอยสีแดงฉานธารโลหิตไหลซึมขึ้นมาจากใต้เนื้อผ้า นางถูกตีจนเลือดอาบท่วมกาย นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นดินฟงจินหมิงเสมือนถูกขวักหัวใจออกมาแล้วถูกฉีกทึ้งอย่างรุนแรง เขารีบเข้ามาจับอุ้มร่างบางของนางเอาไว้แนบอกด้วยความรู้สึกหนักอึ้งคล้ายถูกกดทับด้วยหินใหญ่ทั้งภูผา“ลี่เหมย” เสียงแหบห้วนเอ่ยเรียกขานร่างนุ่มในอ้อมแขน“จินหมิง...” เสียงเบามากแทบไม่ได้ยินเอ่ยออกมาฟงจินหมิงก้มหน้ามองนางในอ้อมกอด หัวใจแกร่งพลันให้สะท้านอยู่ในอกเขาเห็นเพียงใบหน้าซีดขาวเปื้อนฝุ่นขมุกขมัว นัยต์ตาที่เคยร้ายกาจวาววับกำลังถูกซ้อนทับเอาไว้ใต้เปลือกตาที่เปื้อนคราบดิน ร่างนุ่มนิ่มไร้สิ้นเรี่ยวแรงที่เคยกราดเกรี้ยว ริมฝีปากที่เคยเปล่งวาจาเสียดแทงแก้วหูกำลังปิดแน่นเม้มเป
ภายในห้องขังของเรือนจำเสียงโวยวายของทหารยามหน้าเรือนจำดังขึ้นผสมผสานกับเสียงแหลมเล็กตะโกนก้องอย่างไม่ยินยอม"ท่านอาจินหมิง!" เสียงหนึ่งร้องขึ้น"ท่านอาหญิงแย่แล้ว" อีกเสียงร้องตาม"หยุดนะ! เจ้าเด็กจอมซน" เสียงทหารยามคำรามลั่น"โอ๊ย!" ตามด้วยเสียงร้องคล้ายเจ็บปวดของทหารยามคนเดิม "เจ้ากัดข้าทำไม เจ้าเด็กแสบ""ปล่อยข้านะ ท่านอาจินหมิง ท่านอา!""หนิงเฉิงวิ่งไปทางนี้""หยุดนะ!""พี่ใหญ่ ทางนี้ ทางนี้""เฮ้ย!" เสียงของเด็กน้อยและเสียงของทหารยามมากกว่าหนึ่งโหวกเหวกโวยวายดังระงมอยู่หน้าห้องขังของเรือนจำ เสียงเหล่านั้นดังเข้ามาจนถึงฟงจินหมิงที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งเอาแผ่นหลังพิงผนังห้องขังอยู่ด้านในชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นนึกแปลกใจ แต่เขาไม่คิดจะเสียเวลาอันใดกับลางสังหรณ์ถึงเหตุร้ายที่กำลังรุมเร้าเขาจึงลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนเอ่ยเสียงเย็นเยียบไปทางผู้คุมที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากห้องขังตน"ปล่อยข้าออกไป!""เฮอะ!" ผู้คุมแค่นเสียงในลำคอแค่นั้นทันใดนั้นประตูเหล็กของห้องขังพลันดังลั่นจากการถูกของแข็งกระแทกอย่างรุนแรง ผู้คุมหันมามองด้วยตาเบิกโพลง เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามในห้องขังใช้เพียงเท้าเตะประต
หญิงสาวนอนกุมท้องอยู่บนพื้นดินท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาและหยุดยืนมุงดูอย่างสนใจใคร่รู้“อะไรกัน! ทหารรังแกชาวบ้าน” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ แต่ก็หาได้มีผลกับทหารผู้อุกอาจไม่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วรวบรัดจนไม่ทันคิดการณ์อันใดเสี่ยวชุ่ยรีบวิ่งมาทางหลี่ลี่เหมยอย่างตระหนกตกใจด้วยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ซุกซนไปวันๆ จึงทำอันใดไม่ถูกเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดแอบหนีออกมาจากจวนไร้ซึ่งทหารองครักษ์ติดตามจึงทำอันใดไม่ได้ทั้งนั้นในยามนี้ เสียงหนึ่งดังคำรามตามมาแบบกระชั้นชิด"ลงทัณฑ์นางกลางถนนตรงนี้เลย นี่คือคำสั่งของพระชายา ใครกล้าขัดขืนย่อมมีโทษไม่ต่างกัน"เสียงนั้นเป็นเสียงของหนึ่งในทหารทั้งห้า คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของทหารชุดนี้ เขาคำรามเสียงดังลั่นสั่งการอย่างรวดเร็วมาทางหลี่ลี่เหมยที่นอนขดคู้กายงามอยู่กลางถนน"เฆี่ยนนางให้หนัก! ประจานให้หลาบจำ อย่าให้ใครกล้าเหิมเกริมเยี่ยงนาง"ทันใดนั้นพลันมีทหารมาอีกหนึ่งคนเดินแบบย่างสาวขุมเข้าหาหลี่ลี่เหมยพร้อมด้วยแส้เส้นใหญ่ถืออยู่ในมือ เขาแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมแลดูน
โรงน้ำชาใกล้กับกำแพงของเรือนจำหลี่ลี่เหมยยังคงเลือกที่จะนั่งจิบชาอยู่ตรงริมชายคาของร้านน้ำชาพลางนั่งมองกำแพงของเรือนจำที่คุมขังฟงจินหมิงเอาไว้อย่างไม่อาจทำอันใดได้มากไปกว่านั้นฟงหนิงอันกับฟงหนิงเฉิงก็นั่งอยู่ด้วยกันโดยมีเสี่ยวชุ่ยยืนดูแลอยู่ไม่ห่าง ทั้งสี่คนยังคงคุยกันถึงเรื่องราวเมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมา“ข้าน้อยนึกว่าคุณหนูจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมารยาของท่านหญิงจินเยว่ชิงเสียแล้ว” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี นางยิ้มจนตาหยีพาหน้ากลมแป้นคลี่บาน“ท่านอาของพวกเราเก่งมาก” ฟงหนิงอันกับฟงหนิงเฉิงกล่าวพร้อมกันพลางยกนิ้วส่งให้สื่อความหมายว่าเยี่ยมยอดหลี่ลี่เหมยเห็นอย่างนั้นจึงหัวเราะเสียงสดใสก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาลูบหัวเด็กน้อยทั้งสองอย่างเอื้อเอ็นดูเสี่ยวชุ่ยยกนิ้วขึ้นเคาะปลายคางพลางทำท่าครุ่นคิดอย่างสงสัย “ว่าแต่ท่านหญิงจินเยว่ชิงกับคุณชายท่านนั้นเดินจูงมือกันนานแล้วนะเจ้าคะ”นางกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปยังทิศทางที่มีบุรุษรูปงามกับสตรีโฉมสะคราญเดินจับมือกันหัวเราะให้กันอย่างสำราญอยู่ไกลๆหลี่ลี่เหมยยกมือขึ้นท้าวคางแล้วมองตามทิศทางนั้นทันใด “เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นรักแรกพบ”“อ่า...รักแรกพ