'ข้าไม่อยากกลับไปเป่ยฉี ข้าไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์อันใดทั้งสิ้น ให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด ให้ข้าเป็นสาวใช้ก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น เพื่อเริ่มต้นใหม่’'หากท่านมิได้รัก หากท่านมีโอกาสได้เลือกใหม่ ท่านจักทำอย่างไร ยังจะแต่งงานกับคนที่ไม่รักกันหรือไม่'เสียงของหลี่ลี่เหมยยังคงกังวานในโสตประสาทให้ฟงจินหมิงได้ยินจากที่ไกลๆหากแต่ยังมิทันได้คิดการอันใดให้แจ้งแก่ใจเสียงแว่วหวานของหลิงเวยพลันเอ่ยเรียกขานอยู่ตรงศาลาที่อยู่ด้านหลัง“น้องรอง...”ฟงจินหมิงจึงยั้งความคิดเมื่อครู่แล้วละสายตาคู่คมออกจากใครบางคนในทันที เขาเดินมานั่งในศาลาตามการเรียกขานของพี่สะใภ้คนงามหลิงเวยที่นั่งอยู่ในศาลาแล้วเป็นนาน นางมองหลี่ลี่เหมยเอ่ยปรามบรรดาบ่าวไพร่ด้วยมาดดั่งนางพญาเช่นนั้น จึงไม่คิดจะให้ท่านหญิงสูงศักดิ์ลดเกียรติสวมบทบาทสาวใช้อีกต่อไปนางย่อมไม่อาจตามใจน้องสามีในเรื่องนี้ “น้องรองไม่ชอบลี่เหมยหรือ?” พี่สะใภ้เลือกที่จะถามน้องสามีแบบตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อมฟงจินหมิงมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธอันใดทั้งสิ้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบ หลิงเวยจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานตามนิสัย “น้องรองไม่ชอบนางเรื่องใด?”ชายหนุ่มเพี
เมื่อหลี่ลี่เหมยยอมทำตามคำของฟงจินหมิง หญิงสาวจึงเดินมายืนเหนือเหล่าบ่าวไพร่ที่กลางลานกว้างโดยที่ชายหนุ่มยืนกอดอกคุมเชิงอยู่ไม่ไกลภาพของสตรีร่างระหงที่สัมผัสได้ถึงความสูงส่งทั่วร่างในอาภรณ์สีชมพูธรรมดากำลังมองมาด้วยนัยน์ตาคู่งามฉายอำนาจมากบารมีทั้งกิริยาท่าทางทั้งท่วงท่าการย่างเดินไม่ช้าไม่เร็วมิได้ปรุงแต่งเสริมเพิ่มให้แลดูสูงศักดิ์เพื่อกดข่มผู้ใด หากแต่กลับเป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตัวตนของนางบ่งบอกได้ว่าคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตแบบสูงศักดิ์ให้ความรู้สึกล้ำค่าอย่างบอกไม่ถูกหลี่ลี่เหมยที่เกิดมาเป็นสตรีชั้นสูงถูกบ่มเพาะเพื่อการเป็นมารดาแห่งแผ่นดินตั้งแต่ถือกำเนิด นางจึงมักจะหลุดมาดจากสตรีธรรมดาเป็นสตรีเหนือฟ้าอยู่ร่ำไป นางมิได้ต้องการอยู่เหนือผู้ใด หากแต่มันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว“พวกเจ้าจงฟังข้า” เสียงกังวานหวานทรงเสน่ห์แลทรงอำนาจเริ่มเปล่งวาจาเมื่อนางยืนอย่างงามสง่ามองกราดทุกผู้คนตามวิสัย ดวงตาแวววาวเปล่งประกายข่มขวัญ สีหน้าท่าทางดุจดั่งนางพญา เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงบารมีอันน่าเกรงขามที่ซ่อนอยู่อย่างมิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เหล่าบ่าวไพร่รีบยืดตัวตรงคุกเข่าฟังอย่างนอบน้
เส้นเสียงทุ้มต่ำของฟงจินหมิงเอ่ยขัดทำลายความฝันอันสวยงามของหลี่ลี่เหมยพังครืนในทันที ประโยคที่นางเอ่ยในห้องโถงของเรือนกลางกับมารยาร้ายกาจของนางเขาย่อมดูออกนางต้องการจะผูกมัดเขาด้วยมารยาชั้นต่ำ ฝันไปเถิด!หญิงสาวถึงกับกลอกตาขึ้นมองแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ทำเป็นเล่นตัวไปเถิด สตรีงดงามและสูงค่ามิได้ผ่านมาบ่อยๆ หรอกนะ หึ!“ถึงอย่างไร หลี่ลี่เหมยย่อมตายไปแล้วที่ก้นเหวนั่น” หญิงสาวยังคงเอ่ยคำที่เป็นประเด็นสำคัญแห่งชีวิตไม่สร่างซาการตายของนางทำให้สัญญาหมั้นหมายตั้งแต่เกิดมาต้องสิ้นสุดลง เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าตำแหน่งฮองเฮาเสียอีกนางเป็นอิสระ…นางได้รับอิสระแล้ว...หญิงสาวยืนกอดอกไหวไหล่น้อยๆ “ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือลี่เหมย สตรีไร้สกุล ไร้บิดามารดา หากใครจะคิดกับข้าอย่างไรก็ปล่อยเขาไปเถิด” นางไม่เคยสนใจสายตาของใครอยู่แล้ว อยากมองนางอย่างไรก็เชิญฟงจินหมิงเห็นท่าทางไร้ความคิดของสตรีตรงหน้าที่ไม่สนสายตาที่ถูกมองมาอย่างดูแคลน โทสะของเขาพลันพวยพุ่งนางจะบ้าหรือไร ไยน่าตียิ่ง!ทั้งๆ ที่หลี่ลี่เหมยมิได้นำพาอันใดกับเรื่องเสื่อมเสียอันเป็นเรื่องใหญ่ของอิสตรี หากแต่ฟงจินหมิงกลับเป็นเดือดเป็นร้อนเป็นหนักหนา “
หลังจากถูกจับมัดเป็นห่อนึ่งแบกไปแบกมาอยู่บนบ่ากว้างของใครบางคนก่อนจะจบลงที่กลับมายังเรือนของตนเองหลี่ลี่เหมยจึงจัดการกับเสื้อผ้าอาภรณ์เสียใหม่จนเรียบร้อยมิดชิดตามคำสั่งของฟงจินหมิงที่ดูแลนางดีเหลือเกินเขายืนกอดอกคุมเชิงนางอยู่นอกฉากกั้นเลยทีเดียวด้วยความคิดของทั้งสอง ที่หนึ่งคนคือเจ้าชีวิตของนางและอีกหนึ่งคนคือติดหนี้ชีวิตเขา ทั้งสองจึงอยู่ในฐานะวางอำนาจกับยอมลงให้โดยมิได้นัดหมายเมื่อแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว ยังต้องเดินตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตัวโต เจ้าของสายตาเรียวคมที่ดุดันเหลือเกิน มาตามทางเดินระหว่างเรือน เพื่อไปยังลานกว้างกลางจวน“ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดอีกกัน?” หลี่ลี่เหมยถามฟงจินหมิงออกมาในที่สุด ยามเมื่อเดินตามแผ่นหลังของเขาจนใกล้จะถึงที่หมายชายหนุ่มปรายหางตามองเพียงนิดแล้วเอ่ยคำเนิบนาบทรงอำนาจกับหญิงสาว “ข้าให้คนไปเรียกรวมบ่าวไพร่เอาไว้ที่กลางลาน เจ้าจงแก้ไขข่าวลือเสียหายทั้งหมดเสีย”หลี่ลี่เหมยกลอกตาไปมา “เรื่องใหญ่ปานนั้น”ฝ่าเท้าใหญ่หนาหยุดกึกพาฝ่าเท้าเล็กบางหยุดตามหญิงสาวเงยหน้ามองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่พาเมฆฝนดำทะมึนพาดผ่านดวงตาเส้นเสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำเย็นเยียบ “ข้าเ
เสียงหวานกังวานยังคงเอ่ย "ข้าไม่ต้องการเป็นสตรีชั้นสูงอันใด ข้าแค่อยากเป็นสตรีธรรมดาอยู่ที่นี่ ข้าชอบที่นี่ ข้าชอบทุกคน" นางบอกด้วยใจจริงสีหน้าและแววตาหนักแน่นไม่มีโกหก "ข้าพร้อมจะลืมตัวตนของข้า เพื่อการเริ่มต้นใหม่ ข้าไม่อยากกลับไปเป่ยฉี ข้าไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์อันใดทั้งสิ้น พวกท่านให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด ให้ข้าเป็นสาวใช้ก็ได้ ข้ายอมทั้งนั้น""อา..." บุคคลทั้งสี่บนเก้าอี้ถึงกับครางออกมาโดยพร้อมเพรียง ประโยคนี้ของท่านหญิงตรงหน้าคล้ายกับนำพาเอาความสงสัยเคลือบแคลงทั้งหมดทุกประการให้กระจ่างแจ้งในใจคำถามของฟงซือหลางก่อนหน้าจึงได้คำตอบที่พึงใจต่อทุกคนยกเว้นฟงจินหมิง"อันใดของเจ้า?" เขาคำรามตรงใบหูนางหลี่ลี่เหมยถึงกับร้อนวาบ หน้าแดงไปถึงลำคอเมื่อถูกลมหายใจร้อนๆ ถามตรงตำแหน่งอ่อนไหว"อะ...อะไรอีกเล่า" นางเริ่มเอ่ยไม่เป็นคำเมื่อสัมผัสกับแผงอกตึงแน่นวงแขนที่ชอบและลมหายใจของใครบางคนในระยะที่ชวนวาบหวิวชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุให้หญิงสาวเริ่มฟุ้งซ่านยังคงคำราม "ที่ว่าอยากอยู่กับข้า""อะไร?" นางกลอกตางุนงง "ข้าพูดเมื่อใด" นางเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัวจึงจำไม่ได้เสียแล้ว"เจ้า!""อะไรเล่า ท่านนี่ เรื่
ฟงจินหมิงจึงนั่งนิ่งเป็นปราการให้ตัวนุ่มนิ่มเกาะแน่นที่แผ่นหลังแข็งตึง ใบหน้าคมคายจึงออกสีแดงๆ ในขณะที่หลี่ลี่เหมยค่อยๆ โผล่ใบหน้างามๆ ออกมาจากแผ่นหลังของฟงจินหมิงทั้งสองกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงกลางห้องคล้ายกับคู่รักกำลังจะมาขออนุญาตหนีตามกันไปกระนั้น ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ได้แต่มองภาพนั้นอย่างงุนงงและขัดเขินในที "เอ่อ...ทุกท่าน" เสียงกังวานของหลี่ลี่เหมยเริ่มเอ่ยทุกคนรีบยืดตัวตรงตั้งใจฟัง หากพวกเขาจะหนีตามกันไปจริงๆ จะอนุญาตดีหรือไม่หนอ?"ข้ามีเรื่องจะสารภาพ คือ...ความจริงแล้ว ข้า...หลี่ลี่เหมย มิได้ความจำเสื่อม ข้าจำได้ดีว่าตัวเองเป็นใคร สูงศักดิ์ปานใด แต่ข้ามีเหตุผลที่จะต้องโกหก และ..." หญิงสาวเอ่ยถึงประเด็นสำคัญที่สุดในชีวิตด้วยน้ำเสียงเนิบช้าและประโยคที่กล่าวมาพาเอาผู้ใหญ่ทุกคนในห้องโถงถึงกับนั่งอึ้งตั้งใจฟังมากกว่าเดิมแต่ทว่าฟงจินหมิงกลับเอ่ยขัด "ไม่ใช่เรื่องนั้น!" เขาคำรามเสียงลอดไรฟันหญิงสาวเอียงหน้ามองชายหนุ่มในระยะประชิดจนเห็นดวงตาคู่คมมากเสน่ห์จ้องมองแบบใกล้กัน "แล้วเรื่องใดเล่า?" นางถามกลับเสียงดังจนลมหายใจหอมๆ ชนใบหน้าเขา"เรื่องที่เจ้าตะโกนเสียงดังว่าให้ข้าเมต