“ใต้เท้าหลิว”
ชายหนุ่มกับมองผู้เข้ามาหาด้วยสีเข้มขรึม ขณะสหายที่มาด้วยกันแปลกใจ หากเมื่อนางกำนัลเอ่ยต่อเขาก็ขอตัว
“เอ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดกับใต้เท้าตามลำพังได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
อีกฝ่ายจากไปโดยง่าย เพราะหลิวซูหยวนเป็นที่สนใจของสตรีทั้งในวังและบรรดาบุตรสาวขุนนางหรือแม้แต่ท่านหญิง หลายคนเพียงแอบเมียงทว่านางกำนัลผู้นี้ช่างกล้าหาญนักในความคิดของเขาจึงไม่อยากขัด
“มีเรื่องใดหรือ”
“เชิญใต้เท้าตามข้ามาทางนี้เจ้าค่ะ”
หลิงเอ๋อร์ผายมือไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ริมกำแพงอุทยานแล้วเดินนำ หลิวซูหยวนลังเลหากก็ก้าวตามด้วยความตงิดใจ กระทั่งพ้นต้นไม้มาก็เห็นร่างอรชรที่ทำเอาคิ้วเข้มขมวด ส่วนนางกำนัลสาวกลับไปดูต้นทาง
“ถวายพระพรองค์หญิง”
“ใต้เท้าหลิว”
องค์หญิงหนิงเซียงมองผู้ที่อยู่ในหัวใจตนด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง กระนั้นก็ไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่นางต้องการพูดกับอีกฝ่าย ชายหนุ่มจะคิดเห็นอย่างไร
“ข้า...เอ่อ...”
สบตาคมเข้มนิ่งเฉยแล้วนางกลับพูดไม่ออก
“องค์หญิงมีสิ่งใดรับสั่งกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ หากมีผู้ใดผ่านมาเห็นเข้าคงไม่เหมาะนัก”
อีกฝ่ายถามเสียงเรียบ บั่นทอนกำลังใจของผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วไม่น้อย หากนางก็ตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ จึงรีบข่มความอับอายพูดออกไปโดยเร็ว
“ข้ารู้ว่าไม่ควร แต่ข้าไม่นิ่งเฉยได้ ท่านก็น่าจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลิวซูหยวนยังรับคำด้วยสีหน้านิ่งเช่นเดิม นั่นยิ่งทำให้องค์หญิงหนิงเซียงหวั่นใจ
“ใต้เท้าหลิว ข้าขอถามท่าน ท่านรู้สึกเช่นไร หาก...หากข้าต้องแต่งกับผู้อื่น”
ชายหนุ่มหลุบตาลงชั่วอึดใจ แน่นอนว่าเห็นพัดที่ตนให้องค์หญิงนับแต่ก้าวเข้ามาตรงนี้แล้ว เขาละสายตาจากมือขาวบอบบางขึ้นมาสบกับดวงตาคู่เรียวงามก่อนเอ่ย
“กระหม่อมย่อมยินดี”
“เข้าไม่เชื่อ”
องค์หญิงหนิงเซียงสวนขึ้นในทันใด ดวงหน้างามส่ายไปมาอย่างไม่ยอมเชื่อ
“คืนนั้นสายตาท่านไม่ได้เฉยเมยเช่นนี้”
น้ำเสียงหวานเครือพร่าและขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
“นัยน์ตาของท่านระยิบระยับไม่ต่างจากพลุดอกไม้ไฟท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิดในค่ำคืนนั้น ใต้เท้าหลิว...”
มือบางจะยื่นไปจับมือหนา ทว่าอีกฝ่ายถอยห่างเล็กน้อยเกรงจะถูกแตะต้องพลางก้มหน้าลง หัวใจดวงน้อยที่อ่อนระโหยมาหลายวันราวหล่นวูบไปแทบเท้า
“องค์หญิงเข้าพระทัยผิดแล้ว อาจเป็นเงาสะท้อนของพลุก็เป็นได้”
องค์หญิงหนิงเซียงชะงักไป แน่นอนว่าสิ่งชายหนุ่มเอ่ยไม่ผิดนัก แต่แววตาที่พราวระยับกับยิ้มอ่อนโยนที่ตนได้รับในตอนนั้นไม่ผิดแน่ หรือนางจะอ่อนหัด ไม่เข้าใจสายตาของบุรุษ ทว่าหัวใจของนางเต้นระรัวยามใกล้ชิดหลิวซูหยวน ความรู้สึกของนางเป็นความรู้สึกจริงจากหัวใจและนางจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้ที่ไม่มีใจให้เด็ดขาด
“ถึงอย่างนั้น ถือว่าข้าขอร้องได้หรือไม่”
“องค์หญิง”
หลิวซูหยวนเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าไม่อาจแต่งกับองครักษ์จางได้ แต่หากเป็นท่าน...”
“ราชโองการไม่อาจขัดได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เพียงท่านรับปาก ข้าจะบอกพี่รองให้ช่วยทูลเสด็จพ่อว่าข้ามีคนที่มีใจให้แล้ว ข้ากับท่าน เอ่อ...ใจตรงกัน”
“กระหม่อม...”
“ใต้เท้าหลิว”
องค์หญิงหนิงเซียงขัดขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายจะพูดจบ และครั้งนี้ก็ไม่ยอมให้เขาหลบได้อีก มือบางจับท่อนแขนหนาอย่างอาจหาญ
“ข้ายอมทิ้งความอายขอร้องท่าน แม้ท่านไม่ได้...ไม่ได้คิดเช่นเดียวกับข้า แต่ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ท่านช่วยข้าไว้หลายครั้ง หากทูลความดีความชอบต่อเสด็จพ่อและท่านยอมรับ เสด็จพ่อต้องเปลี่ยนพระทัยแน่”
คิ้วเข้มของหลิวซูหยวนขมวดจนแทบพันกัน สีหน้าเคร่งเครียดอย่างชัดเจน
“ขอเพียงเสด็จพ่อเปลี่ยนราชโองการ จากองครักษ์จางเป็นท่าน เพียงแค่นี้ ข้ารับปากว่าจะไม่ขัดขวางหากท่านพอหญิงใด ท่านจะรับอนุกี่คนก็ได้”
“องค์หญิง ท่านเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้ายินดีรับในสิ่งที่จะตามมา”
นางคิดมาแล้ว ความจริงองค์หญิงหนิงเซียงก็ไม่มั่นใจนักว่าหลิวซูหยวนจะยอมตกลงรับข้อเสนอตน ทว่านางเลือกเขา ปักใจต่อเขา จดจำได้ทั้งชื่อและใบหน้าคมคายของผู้ที่เคยอุ้มตนไว้ไม่ให้หล่นกระแทกพื้น ผ่านไปกี่ปีแม้ไม่พบหน้าก็ไม่ลืมเลือน
“ท่านเพียงช่วยข้าให้รอดพ้น ไม่ต้องแต่งกับผู้ที่ข้าไม่ได้มีใจ แม้ท่านไม่ใส่ใจข้าก็ย่อมได้”
หลิวซูหยวนมีสีหน้าเฉยชา แววตาคมขุ่นเคืองชั่วแวบก่อนจะไร้ความรู้สึก มือหนาจับมือบางทำให้องค์หญิงหนิงเซียงเริ่มใจชื้น ริมฝีปากอิ่มกำลังจะระบายยิ้ม ทว่ากลับต้องชะงักหน้าเสียเมื่อชายหนุ่มค่อยๆ ปลดมือนางออก
“กระหม่อมมิอาจรับน้ำพระทัย กระหม่อมจะถือว่าไม่เคยได้ยินสิ่งใด ขอให้องค์หญิงมีความสุขเกษมสำราญ กระหม่อมทูลลา”
เอ่ยจบอีกฝ่ายก็หันหลังเดินจากไป
องค์หญิงหนิงเซียงยืนนิ่งงัน น้ำตารินไหลลงอาบแก้ม พลางกัดริมฝีปากจนห้อเลือด อับอายขายหน้าที่มารอเสนอตัวให้กับบุรุษแล้วถูกปฏิเสธ หากความกรุ่นโกรธก็ปะทุขึ้นมาแทน
“หลิวซูหยวน”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ไม่ได้หยุดเดิน นางจึงอดไม่อยู่ปาพัดใส่กลางหลังอีกฝ่ายทำให้เขาชะงักเท้า
“คนขี้ขลาด”
นางพยายามกลั้นก้อนสะอื้นแล้วเค้นเสียงเข้าพร่าเอ่ย ขณะในใจปวดแปลบ
“ท่านบอกไม่ใส่ใจ ข้าก็ยอมรับ ถือว่าข้ามองผิดไป จนสำคัญตัวเองผิดว่าท่านใจตรงกับข้า เพราะข้าไม่อาจควักหัวใจท่านออกมาดูได้”
แม้อายุยังน้อยและไม่ประสาในเรื่องหัวใจ หากองค์หญิงหนิงเซียงก็รับรู้ได้ว่าหลิวซูหยวนนั้นเป็นบุรุษที่กล้าหาญเชื่อถือได้ ที่สำคัญฝากฝังชีวิตไว้ได้ ทว่ากลับไม่ใช่
“ท่านโกหกข้า โกหกตัวเอง หรือพูดจริงก็ตาม จากนี้ข้าจะลืมมันไปเสีย เหมือนเช่นที่ท่านเอ่ยว่าไม่ได้ยินคำขอร้องของข้า”
จบคำร่างสูงใหญ่ก็ก้าวต่อโดยไม่ได้หันกลับมาแม้แต่น้อย องค์หญิงหนิงเซียงมองอีกฝ่ายพร้อมน้ำตาไหลรินอาบสองข้างแก้มและสะอื้นเบาๆ จนลับตาก่อนร่างอรชรจะค่อยๆ ซวนเซ หลิงเอ๋อร์ที่กลับมาจึงรีบประคอง
“กลับกันเถิดหลิงเอ๋อร์ ข้าผิดเองที่คิดว่าเขาคงมีน้ำใจต่อข้าและจะสามารถช่วยข้าได้เหมือนเช่นครั้งก่อนๆ”
นางหันหลังจากมาพร้อมหัวใจที่ร้าวระบม ทิ้งพัดจากบุรุษที่ทำหัวใจของสาวน้อยเต้นระรัว โดยไม่รู้ว่าตนจะละทิ้งความรู้สึกฝังใจที่มีให้อีกฝ่ายได้หรือไม่
=====
ฮือ…สงสารองค์หญิง อุตส่าห์บากหน้ามาขอร้องผู้ชาย T^T
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ