“เซียงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้สด็จพ่อโกรธมาก อย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจถูกลงทัณฑ์”
องค์ชายรองเสวียนหลินตามมายังตำหนักองค์หญิงหนิงเซียงหลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว
“ให้เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าเสียยังดีกว่าให้ข้าแต่งงาน”
เห็นน้ำตาที่รินไหลไม่ขาดสาย ทว่าสีหน้ากลับมุ่งมั่นแข็งขืนของน้องสาวแล้วสีหน้าองค์ชายรองกลับยิ่งเคร่งเครียด เจ้าตัวยังนั่งคุกเข่าอยู่ในตำหนักตนไม่ขยับแม้หลิงเอ๋อร์กับนางกำนัลคนอื่นจะช่วยกันเลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล
“เซียงเอ๋อร์”
องค์ชายรองอ่อนใจในความดื้อดึงของน้องสาว แปลกใจนักที่น้องน้อยผู้เรียบร้อยและหัวอ่อนเสมอมาของตนกลับกล้าขัดรับสั่งพระบิดา
‘ช่างดื้อรั้นเอาแต่ใจนัก หากขอสิ่งใดข้าก็อนุญาต กลับคำ พลิกราชโองการ คำพูดของข้าจะยังศักดิ์สิทธิ์เชื่อถือได้อีกหรือ เจ้าพูดกับน้องเจ้าให้นางเข้าใจ ข้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อนาง’
พระบิดารับสั่งย้ำอย่างขุ่นเคือง
องค์ชายรองย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย วางมือสองข้างบนบ่าบอบบาง
“เสด็จพ่อทำเพื่อเจ้า ชาวเมืองมากมายต่างก็เห็นฮ่าวหมิงอุ้มเจ้า แตะต้องเนื้อตัวและช่วยชีวิตเจ้าไว้ เขามีความดีความชอบ ส่วนเจ้าเป็นถึงองค์หญิง ไม่ควรมีผู้ใดแตะต้องชิดใกล้ เพื่อรักษาเกียรติของเจ้า เสด็จพ่อจึงประทานเจ้าให้ฮ่าวหมิง รับเขาเป็นราชบุตรเขยนับว่าเหมาะสมแล้ว”
สิ่งที่พี่ชายเอ่ยทำให้องค์หญิงหนิงเซียงคิดไปถึงใครอีกคนที่ช่วยตนไว้เช่นกัน
“หากผู้ใดช่วยชีวิต ย่อมควรแต่งกับผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”
นางเอ่ยเสียงพร่าเครือ
“พี่รองลืมไปแล้วหรือว่าผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไม่ได้มีเพียงสหายของท่าน เช่นนั้นข้าก็ควรแต่งกับเขาด้วยสินะ”
“เซียงเอ๋อร์!”
องค์ชายรองดุน้องสาวเสียงเข้ม
“เจ้าพูดจาประชดประชันเช่นนี้เป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน แม้เจ้าจะซุกซนบ้างแต่ไม่เคยดื้อรั้นไม่เชื่อฟังพี่หรือเสด็จพ่อ เหตุใดอยู่ๆ เจ้าถึงขัดขืนในเมื่อเรื่องแต่งงานก็เป็นเรื่องที่บิดามารดาต้องจัดการให้ เสด็จพ่อเองก็ทรงดำริอยู่เช่นกันว่าอายุเจ้าควรมีเหย้ามีเรือนได้แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ตัดสินพระทัยเกี่ยวกับผู้ที่เหมาะสม และเวลานี้ก็พบผู้ที่จะฝากให้ดูแลเจ้าได้แล้ว”
องค์หญิงหนิงเซียงเม้มริมฝีปากแน่น นางรู้ถึงชะตากรรมของตนเช่นที่องค์หญิงทุกคนในวังต่างรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์เลือก แต่หากต้องแต่งงานโดยแทบไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยหรือต้องไปอยู่ต่างแคว้น นางขออยู่ในวังไปจนแก่ชราเสียยังดีกว่า การได้เห็นผู้เป็นพี่สาวมีความสุขกับการแต่งงานนางก็พลอยดีใจไปด้วย อย่างน้อยเจ้าตัวก็ได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่หลายปี ในขณะที่ตนนั้นต่างออกไป
ทั้งเวลานี้ หัวใจของนางก็มีเงาของผู้ใดผู้หนึ่งอยู่ในใจแล้ว
แม้ไม่อาจวาดฝันได้ครองคู่ หากนางก็ไม่ต้องการแต่งกับผู้อื่น
“เชื่อพี่เถิดเซียงเอ๋อร์ เสด็จพ่อไม่ได้เลือกคนผิดอย่างแน่นอน ฮ่าวหมิงเป็นบุรุษที่องอาจกล้าหาญ ฝีมือเก่งกาจไม่เป็นสองรองใครในแคว้นนี้ ทั้งฐานะเจ้ากรมคลังก็ไม่น้อยหน้าผู้ใดเลย แม้จะไม่ได้กินตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือมีกำลังทหารในมือ หากทรัพย์สินตระกูลจางนั้นมากมายนัก เป็นตระกูลใหญ่ที่รับใช้ราชวงศ์มาหลายชั่วอายุ”
องค์หญิงหนิงเซียงส่ายหน้า นางไม่ได้สนใจทรัพย์สินลาภยศ
“พี่รอง ท่านรู้สึกเช่นไรกับว่าที่พระชายา”
องค์ชายรองเสวียนหลินยังไม่ได้อภิเษก เนื่องด้วยโหราจารย์ประจำราชสำนักทูลเจ้าแคว้นว่ายังไม่ถึงเวลาเหมาะสม ในขณะที่องค์ชายรองก็รู้ดีว่าอาจมีการแทรกแซง ด้วยว่าที่พระชายาเป็นธิดาเจ้ากรมกลาโหม มีผู้ที่ไม่ต้องการให้ตนมีอำนาจมากเกินควร เพราะขุนนางในราชสำนักทูลขอให้พระบิดาทรงแต่งตั้งรัชทายาท หลังจากองค์ชายใหญ่รัชทายาทองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว
ผู้ที่ขุนนางต่างก็เห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทคือองค์ชายรอง กับองค์ชายสามซึ่งเป็นพระโอรสโดยแท้ของฮองเฮาเช่นเดียวกับองค์ชายใหญ่ แน่นอนว่าหากองค์ชายรองได้เป็นรัชทายาทขั้วอำนาจอาจเปลี่ยนแปลง
“ท่านพึงพอใจในตัวนาง หรือพอใจเพียงเพราะเสด็จพ่อรับสั่งให้ท่านอภิเษกกับนาง”
“เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถิด”
องค์ชายรองจับไหล่บางประคองให้น้องสาวลุกขึ้น เจ้าตัวแทบลุกไม่ไหวและยืนไม่อยู่จนต้องโอบพยุงไปนั่งยังเก้าอี้ตัวยาว
“หลิงเอ๋อร์ไปเอายาทาแก้ฟกช้ำมาหน่อย แล้วให้คนไปขอเบิกยาบำรุงร่างกายมาต้มให้องค์หญิงด้วย”
“เพคะ”
หลิงเอ๋อร์รับคำองค์ชายรองแล้วออกไป
เมื่อสองพี่น้องอยู่ตามลำพัง องค์ชายรองก็ซับน้ำตาบนแก้มนวลสองข้างของน้องสาวพลางปลอบเสียงทุ้ม
“ฟังนะเซียงเอ๋อร์ เราต่างก็มีหน้าที่ ยิ่งเกิดมาสูงส่งหน้าที่ยิ่งมากขึ้น แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก หากก็รู้ว่านางเป็นสตรีที่ดี ได้รับการอบรมมาอย่างดี คู่ควรเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาของพี่ซึ่งมีภาระหน้าที่ใหญ่ต้องรับผิดชอบ”
“ท่านเอ่ยราวนางเป็นขุนนางที่ดีคนนึง ไม่ได้รู้สึกใด”
เสียงหวานอุบอิบทำให้พี่ชายยิ้มบาง
“อาจเป็นเช่นนั้น หรืออาจมากกว่า เรื่องระหว่างนางกับพี่มีการเมืองเกี่ยวพันยากจะแยกออก ในขณะที่นางเป็นคู่หมายพี่ ก็มีผู้อื่นหมายปองนางเช่นกัน และหากผลประโยชน์มากพอ บิดาของนางอาจหาทางทำทุกอย่างให้บุตรสาวแต่งกับคนผู้นั้น”
น้ำเสียงของพี่ชายราบเรียบหากก็แฝงด้วยความเคร่งเครียด
“หากเป็นไปได้ พี่ไม่อยากให้เจ้าต้องมีส่วนพัวพันกับการเมืองหรือมีก็น้อยที่สุด พี่เชื่อว่าเสด็จพ่อเองก็ทรงดำริเช่นเดียวกัน ฮ่าวหมิงเป็นบุตรชายเจ้ากรมคลัง อย่างไรก็ลอยตัวหากเกิดสิ่งใดขึ้น”
องค์หญิงหนิงเซียงใจหายเมื่อได้ฟังสิ่งพี่ชายเอ่ย
“พี่รองพูดเช่นนี้ ทำให้ข้าเป็นห่วงท่านนัก”
ผู้เป็นน้องกลับมาน้ำตาซึมอีกครั้ง ต่างรู้แก่ใจดีว่ากำลังเกิดคลื่นใต้น้ำในการแย่งชิงอำนาจ แม้ภายนอกจะดูกลมเกลียวร่วมแรงร่วมใจทำงานราชกิจหากแท้จริงแล้วเหล่าขุนนางต่างก็เลือกข้าง
“พี่ดูแลตัวเองได้ เป็นห่วงก็เพียงเจ้ากับเจียวมิ่ง แต่เวลานี้เจียวมิ่งมีผู้ดูแลที่ไว้ใจได้แล้ว พี่อยากฝากฝังเจ้าไว้กับคนที่พี่เชื่อใจที่สุดเช่นกัน”
ไม่ต้องเอ่ยนามก็เข้าใจได้ว่าองค์ชายรองหมายถึงสหายคนสนิท องค์หญิงหนิงเซียงไม่ได้เอ่ยแย้งแม้ในใจยังไม่ยอมจำนน ปัญหาหนักอกของตนนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พี่ชายกำลังเผชิญ หากสิ่งที่เพียรพยายามมาสำเร็จก็จะอยู่เหนือผู้คนทั้งปวง หากพลาดพลั้งก็อาจถึงขั้นสิ้นชีวิต
ร่างอรชรขยับเข้าซบอกกว้างเมื่อพี่ชายโอบกอดตนไปแนบอก มีทางใดช่วยปกป้องพี่ชายได้นางเองก็อยากทำ ทว่าตนเป็นเพียงสตรีไม่อาจก้าวก่ายงานราชกิจ ต้องเชื่อฟังพระบิดาและอยู่ในกฎของฝ่ายในซึ่งมีฮองเฮาควบคุมดูแล
องค์หญิงก็เป็นเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบประดับพระราชวังที่สามารถยกไปตั้งที่ใดก็ได้เมื่อฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัล หรือของกำนัลส่งไปต่างแคว้น
ร่างอรชรที่ซูบผอมลงกว่าเดิมไปมากแอบหลบกลับเข้าไปหลังต้นไม้ใหญ่เมื่อมีขันทีเดินผ่าน มือบางกุมกันแน่นอย่างไม่มั่นใจ โดยมีหลิงเอ๋อร์ยืนใกล้คอยประคองนายตน
“องค์หญิง รอนานอาจไม่ดี ช่วงนี้ท่านแทบไม่กินอะไรเลย ร่างกายอ่อนแอนัก ออกมาด้านนอกเจอทั้งแดดทั้งลมเช่นนี้อาจไม่สบายได้นะเพคะ”
“เจ้าบอกว่าเขาจะเดินผ่านทางนี้หลังไปส่งฎีกาให้ท่านราชเลขาเพื่อถวายเสด็จพ่อไม่ใช่หรือ”
องค์หญิงหนิงเซียงถามพร้อมสีหน้ากังวลใจ
“เพคะ หลิงเอ๋อร์สืบมาอย่างดีแล้วเพคะ”
“แล้วเหตุใดถึงยังไม่เห็น”
นางมารอพักใหญ่แล้ว เวลานี้พระบิดาคงกำลังว่าราชการกับบรรดาขุนนาง ฎีกาก็น่าจะส่งขึ้นไปนานแล้ว เหตุใดผู้ที่ตนรอยังไม่เดินผ่านมาทางนี้
“มาแล้วเพคะองค์หญิง”
หลิงเอ๋อร์กระซิบเมื่อเห็นผู้ที่องค์หญิงรอ
ร่างสูงใหญ่ของหลิวซูหยวนเดินมาพร้อมกับคนในสำนักราชเลขาธิการอีกหนึ่งคน องค์หญิงหนิงเซียงยังหลบอยู่หลังต้นไม้ลอบมองชายหนุ่มก่อนจะพยักหน้าให้หลิงเอ๋อร์ เจ้าตัวก็ก้าวออกไปอย่างรู้หน้าที่
=====
องค์หญิงหนิงเซียงจะทำอะไร ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ ^-^
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ