ท่ามกลางป่าหิมะของเทือกเขาต้าหลาน เสียงลมคำรามกึกก้องพัดผ่านยอดไม้โอนเอนราวกับฟ้ากำลังคร่ำครวญ พายุหิมะถาโถมดั่งโทสะของสวรรค์ ต้นไม้สูงตระหง่านถูกคลุมด้วยม่านสีขาว ละอองหิมะหนาทึบบดบังทัศนวิสัยจนมองไม่เห็นแม้แต่เงา
เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง ฉับพลัน เสียงแหลมต่ำของบางสิ่งแหวกผ่านหิมะดัง “ฟึ่บ!” ตามด้วยเสียงร่างหนึ่งร่วงลงกระแทกผืนหิมะอย่างแรง
ร่างของเด็กหนุ่มในชุดแพรบางจมลึกลงไปในหิมะ ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หยาดโลมหยดจากมุมปาก เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนเปื้อนเลือดบริเวณอกซ้ายที่มีรอยแผลฉกรรจ์คล้ายถูกกระบี่แทงลึก ลมหายใจของเขาอ่อนราวสายไหม แต่มิได้ขาดสิ้น
แว่วเสียงฝีเท้าของใครบางคนกระทบหิมะจากเบื้องล่างของเนินเขา เสียงนั้นหยุดลงใกล้ร่างของเด็กหนุ่ม
“อะไรกันนี่”
ชายชราผู้แบกฟืนไว้เต็มหลังเอ่ยขึ้นอย่างตระหนก ดวงตาพร่ามัวเบิกโพลงเมื่อเห็นเลือดบนหิมะ สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากงุนงงเป็นระวังทันที มือข้างหนึ่งเลื่อนไปแตะด้ามมีดสั้นที่ซ่อนในผ้าคาดเอว ก่อนค่อย ๆ ก้าวเข้าใกล้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของเด็กหนุ่ม และลมหายใจที่แทบไม่หลงเหลืออยู่ ชายชรากลับถอนหายใจอย่างเวทนา
“ยังหายใจอยู่ หนุ่มน้อยเอ๋ย เจ้ามาอยู่กลางพายุเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจวางฟืนลงแล้วช้อนร่างเด็กหนุ่มขึ้นอุ้ม แม้จะผอมแห้งแต่ตัวเด็กหนุ่มนั้นหนักกว่าที่คาด ร่างของเขาเปียกโชกและเย็นเฉียบ
ชายชราผู้ชื่อว่า ‘ตาเถา’ รีบสาวเท้าฝ่าพายุหิมะกลับไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังแนวเขา “หมู่บ้านเหอเจิน” ซึ่งเงียบงันราวกับไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
เมื่อถึงบ้านไม้หลังเก่า ตาเถาวางร่างเด็กหนุ่มลงบนเสื่อฟางหน้าเตาผิง หญิงชรารูปร่างเล็กนามว่า “อาสุย” วิ่งออกมาพร้อมผ้าห่มและน้ำร้อน ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
“ตาเถา! นั่นใครกัน?!”
“เจอที่ป่าหิมะ เจ้าหนูนี่เกือบขาดใจตายแล้ว”
อาสุยรีบตรวจชีพจร หัวคิ้วขมวดแน่น “ลมหายใจแปลกนัก ท่านดูสิ หายใจไม่เป็นจังหวะ เหมือนจงใจหายใจสวนจังหวะของใต้หล้า”
“หมายความว่าอย่างไร” ตาเถาขมวดคิ้ว
“ฟังให้ดีนะ ปกติลมหายใจของคนเราจะเข้าออกประสานกับจังหวะรอบข้าง เช่นลมพัด แรงสั่นของดิน หรือแม้แต่จังหวะการเคลื่อนไหวของสัตว์”
นางหยุดพูด เอาหูแนบใกล้หน้าอกของเด็กหนุ่ม
“แต่เด็กคนนี้น่ะ ลมหายใจของเขา เหมือนจะขัดแย้งกับธรรมชาติ”
ตาเถาเบิกตากว้าง ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ แต่สิ่งที่แน่ชัดคือเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา
สามวันผ่านไปในความเงียบสงัด ลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่แววตาเมื่อเขาลืมตาขึ้นกลับไม่เหมือนผู้เพิ่งรอดตาย หากแต่สงบนิ่งและว่างเปล่าราวผู้ไม่มีอดีต
ตาเถากำลังตัดไม้ริมประตู ได้ยินเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นจากในบ้าน
“ที่นี่ คือที่ใดกัน?”
เขารีบเดินเข้ามา ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “เจ้าฟื้นแล้วหรือ! ข้าเรียกเจ้าหลายครั้ง เจ้าเงียบนิ่งอยู่นานนัก”
เด็กหนุ่มพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ต้องยกมือกุมหน้าอก ร่างกายยังอ่อนแรง
“ข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
อาสุยถือชามน้ำซุปเดินเข้ามา ยื่นให้เขาช้า ๆ
“พวกเราพบเจ้าท่ามกลางพายุ ตอนนั้นเจ้าเกือบตายแล้ว รู้บ้างหรือไม่?”
เขารับชามน้ำมา แต่นัยน์ตายังว่างเปล่า
“ขะ...ข้าจำอะไรไม่ได้เลย...”
ตาเถาหรี่ตาลงช้า ๆ “แม้แต่ชื่อของเจ้าก็จำไม่ได้หรือ?”
เด็กหนุ่มเงียบไปนาน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อาสุยมองหน้าสามีพลางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ออกมา
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเราตั้งชื่อให้เขาดีหรือไม่?”
ตาเถาครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “ในวันที่พบเขาบนเขา ลมหายใจของเขาแปลกประหลาดยิ่งนัก เปลี่ยนแม้แต่เสียงลม...”
“เข่นนั้น...”
“ชื่อ หยางเหวิน เป็นอย่างไร?”
เด็กหนุ่มกะพริบตาเล็กน้อย ราวกับนึกบางสิ่งบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ
“หยางเหวิน...ข้าชื่อหยางเหวิน”
ลมหายใจแรกของชื่อใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในค่ำคืนพายุกระหน่ำ...
เมื่อฟื้นตัวได้มากขึ้น หยางเหวินเริ่มช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในหมู่บ้าน แม้จะยังจำอดีตไม่ได้ แต่เขากลับมีสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและสง่างามเกินกว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
“เจ้าหนุ่มนั่น ท่าทางกวาดลานยังสง่ากว่าทหารรักษาวังเสียอีก” ชาวบ้านคนหนึ่งหัวเราะเบา ๆ
“อย่าพูดเล่นเช่นนี้สิ เจ้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้แปลกนัก” อีกคนกระซิบ
และเป็นความจริง ชาวบ้านส่วนใหญ่เริ่มหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หยางเหวิน โดยเฉพาะยามที่ยืนใกล้เขาในที่สงบ ผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด ราวกับลมหายใจของตนถูกเบียดบัง หรือลดทอนลงโดยไร้เหตุผล
ครั้งหนึ่งในยามเช้าที่หมอกหนา ขณะที่หยางเหวินยืนอยู่ริมลำธาร เด็กชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขา ก่อนจะหยุดกะทันหัน ดวงตาเบิกกว้าง
“ท่านพี่ แมลงทั้งหลายพวกนั้นล้วนหยุดนิ่งหมดเลย!”
หยางเหวินเลิกคิ้ว มองไปยังดอกหญ้าริมลำธาร ผึ้งที่เกาะอยู่ต่างสงบนิ่งไม่มีแม้แต่เสียงปีก แม้กระทั่งกระแสน้ำก็ดูไหลช้าลง เขาลองสูดหายใจเข้าอย่างลึก แล้วผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ
วูบ~
ลมรอบตัวเปลี่ยนทิศในทันใด ใบไม้ปลิวหมุนเป็นเกลียวและผึ้งเหล่านั้นกระพือปีกบินหนีไปในทิศทางเดียวกันหมด
หยางเหวินยืนนิ่ง “ลมหายใจของข้า ควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้งั้นหรือ?”
เขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในใจลึก ๆ คล้ายกับว่าเคยสัมผัสกับพลังเช่นนี้มาก่อน เมื่อครั้งหนึ่งที่เขายังไม่ใช่ “หยางเหวิน”
เช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเหอเจินกลับแจ่มใสผิดปกติ หยางเหวินเดินตามเส้นทางเลียบหุบเขาไปเรื่อย ๆ กระทั่งพบศาลาไม้เก่าแก่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวริมเหว เบื้องหลังคือภูผาสูงเสียดฟ้า และเสียงลมที่พัดผ่านไม่หยุดนิ่ง
ภายในศาลามีชายชราผู้หนึ่งนั่งหลับตาอย่างสงบนิ่ง ท่าทางราวกับส่วนหนึ่งของภูเขา ราวไม่เคยขยับเขยื้อนมานานปี
หยางเหวินหยุดยืนมอง ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “ท่านลุง ท่านมานั่งที่นี่ทุกวันหรือขอรับ?”
ชายชราไม่ตอบ แต่ลืมตาช้า ๆ ดวงตาคมกริบภายใต้คิ้วขาวหนาเผยประกายเฉียบคมเกินวัย
“เจ้าหนุ่ม” เขากล่าวเสียงแหบพร่า “ลมหายใจของเจ้าขัดกับสวรรค์”
หยางเหวินชะงัก “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ชายชรายิ้มบาง ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างแผ่วเบา ราวกับเพียงกลืนไอหมอกของเช้า แต่ฉับพลัน กลีบดอกไม้ที่ร่วงอยู่ใต้พื้นศาลากลับลอยขึ้นกลางอากาศ ราวถูกแรงไร้รูปดึงดูด
“พลังลมหายใจ มิใช่เพียงการมีชีวิต” ชายชรากล่าวต่อ “มันคือรากฐานของฟ้าดิน ลมหายใจของเจ้ากลับเดินสวนทางกับใต้หล้า เจ้าคือผู้มีชะตา”
หยางเหวินเม้มริมฝีปากแน่น “ข้าไม่รู้ว่าตัวข้าเป็นใคร ท่านรู้หรือไม่?”
ชายชรานิ่งไปชั่วขณะก่อนกล่าวเบา ๆ “ข้ารู้ว่าใต้หล้านี้เคยมีคนผู้หนึ่ง ผู้ที่ใช้ลมหายใจควบคุมกระแสธาร พัดพาชีวิตและความตาย แต่ถูกฟ้าสาปให้สูญสิ้น เจ้ามีกลิ่นอายเดียวกันกับคนผู้นั้น”
หยางเหวินใจเต้นแรง เขารู้สึกเหมือนความทรงจำบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวในเงามืด
ชายชราลุกขึ้นช้า ๆ แล้วเดินผ่านไปทางประตูศาลา ทิ้งท้ายเพียงประโยคเดียว
“หากเจ้าต้องการรู้ความจริง จงขึ้นไปยังยอดเขาต้าหลาน ก่อนหิมะแรกจะโปรยปรายอีกครั้ง”
พูดจบเพียงเท่านี้ ชายชราก็เดินหายไปในม่านหมอก ราวกับไม่เคยมีตัวตน
หยางเหวินยืนนิ่งอยู่กลางศาลา ลมหายใจของเขาค่อย ๆ ช้าลง แล้วเปลี่ยนทิศ
คืนหนึ่ง หยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นนั่งเคียงกันที่เรือนริมหน้าผา ยามค่ำคืนทาบเงาให้ทั่วผืนป่า และสายลมพัดเย็นจนเปลวเทียนบนโต๊ะกลางห้องสั่นไหวหยางเหวินกำลังร้อยสร้อยหินหยกเส้นเล็กด้วยมืออย่างตั้งใจ เขาไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยสมาธิไป๋หรูอวิ๋นนั่งมองเขา มือประคองถ้วยชาร้อนเอาไว้ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อาจห้ามใจ“เจ้ารู้ไหม” เขาพูดขึ้นในที่สุด โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสายสร้อย “ข้าร้อยสร้อยเส้นนี้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน แต่เพิ่งมาถักปมสุดท้ายได้วันนี้”“เพราะอะไร?”“เพราะวันนี้ ข้ารู้สึกว่ามีอะไรที่สมบูรณ์มากพอแล้วจะมอบให้แก่เจ้า”นางรับสายสร้อยมาอย่างเงียบงัน หยกเขียวที่ถูกขัดจนใสราวหยดน้ำวางอยู่บนฝ่ามือ“เจ้าเคยบอกว่า ไม่ต้องการสิ่งผูกมัด”“ข้าเคยคิดเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “แต่ตอนนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ใด สายลมหายใจของข้าจะมีกลิ่นชาอบอุ่นแบบเจ้าเสมอ”ไป๋หรูอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย“ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า ข้ากลัว...”“กลัวอะไร?”“กลัวว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะไม่หายใจอยู่เคียงข้า” นางกล่าวเสียงแผ่วเบาหยางเหวินย
เสียงพิณจากหอเล็กด้านหลังดังขึ้นเบา ๆ เป็นศิษย์สาวคนหนึ่งที่กำลังฝึกบรรเลง“เจ้าจำเพลงแรกที่ข้าเล่นให้เจ้าฟังได้หรือไม่?” ไป๋หรูอวิ๋นถาม“จำได้สิ มันคือ คืนแรกที่ข้าเห็นเจ้าผ่านสายลมและเสียงพิณ”“ตอนนั้นเจ้ายังแทบจะควบคุมลมหายใจของตนไม่ได้”“ตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่า ลมหายใจของข้าสงบที่สุดเมื่ออยู่กับเจ้า” หยางเหวินยิ้มเสียงพิณยังดังต่อไปเบื้องหลัง ขณะที่สองเงานั่งเคียงกันท่ามกลางแดดยามสายค่ำคืนนั้น แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องทะลุม่านบางหน้าต่าง ตกกระทบบนพื้นไม้ของเรือนเล็กกลางหุบเขา เงาจากต้นไม้ภายนอกไหวเบา ๆ ตามจังหวะลมหยางเหวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาผิง มือถือพู่กันเขียนตำราใหม่อย่างตั้งใจ ไฟจากเตาผิงสะท้อนเงาใบหน้าของเขาให้ดูนิ่งลึก มีแววอ่อนโยนในแววตาเสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ ก่อนที่ไป๋หรูอวิ๋นจะเดินเข้ามาพร้อมผ้าห่มผืนบาง นางสวมชุดคลุมบางสีขาวทับเสื้อผ้าด้านใน เส้นผมยาวถึงเอวถูกรวบไว้ลวก ๆ“ยังไม่เข้านอนหรือ?” นางถาม พลางวางผ้าห่มลงข้างเขา“ข้าเขียนได้เพียงไม่กี่บรรทัดเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ“แสดงว่าเจ้าคิดถึงเรื่องอื่นอยู่” นางนั่งลงข้างเขา ม้วนขาแนบกับตนเอง เหมือนเคยทำในคืนฤดูหนาวเ
ยุทธภพเงียบสงบมาได้หลายเดือนหลังเหตุการณ์ที่สำนักใหญ่ทั้งหลายหยุดตามล่าคัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เมื่อรู้ว่าเจ้าของพลังได้สละมันไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในเรือนกลางหุบเขาเงียบสงัด ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และเปิดตำราเก่าให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่กระบวนท่า แต่รวมถึงการเข้าใจหัวใจของตนเองข่าวเล่าขานถึง “จอมยุทธ์ผู้ไม่มีลมหายใจ” แพร่สะพัดออกไปในหมู่บ้านห่างไกล สำนักเล็ก สำนักใหญ่ รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาในยุทธภพต่างอยากพานพบชายผู้หนึ่งที่มีพลังจากใจ ไม่ใช่จากฝีมือวันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากเมืองหลวงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของหยางเหวิน“ข้าได้ยินว่า ที่นี่มีคนที่สามารถสอนข้าวิชาที่ไม่ต้องใช้ลมหายใจ” เขาเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งแสงจริงจังหยางเหวินยิ้ม เพียงกล่าวว่า “ไม่มีวิชาที่ไม่ใช้ลมหายใจ มีแต่ใจที่หายใจให้ถูกเท่านั้น”เขาพาเด็กหนุ่มไปนั่งใต้ต้นหลิว สอนให้หลับตาฟังเสียงหัวใจตนเองแทนการเร่งฝึกฝนพลังภายนอกไป๋หรูอวิ๋นมองภาพนั้นจากระยะไกล ดวงหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับไปคัดลอกคัมภีร์เล่มใหม่ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “ลมหายใจแห่งใจ”ขณะเดียวกัน ที่
ไป๋หรูอวิ๋นเงียบงันในคืนที่สายลมสะบัดผ่านยอดไม้ ดวงตานางทอดมองสายน้ำเบื้องหน้าโดยไม่กะพริบ แม้ท่าทีภายนอกจะนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่หยางเหวินสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป“เจ้าหายใจถี่ขึ้น” เขากล่าวเบา ๆ ขณะนั่งลงข้างนางใต้ต้นหลิว “เกิดอะไรขึ้น”ไป๋หรูอวิ๋นไม่ตอบในทันที ริมฝีปากขยับเพียงน้อยราวลังเล“ข้ารู้ตัวดีว่าข้า ไม่มีลมหายใจของตนเองมาตั้งแต่เกิด” นางกล่าวช้า ๆ “ชีวิตของข้าอาศัยลมหายใจของผู้อื่น ผ่านพิธีของสำนักเก่าที่ข้าจากมา”หยางเหวินเบิกตากว้างเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า...”“ใช่ ข้าคือสตรีผู้ถูกฝึกให้ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของผู้อื่น” เสียงของนางเรียบเฉย “ข้าจึงไม่กล้าผูกพันกับผู้ใดนัก เพราะหากคนผู้นั้นสูญเสียพลัง ข้าก็จะตาย”เขาเงียบงัน ลมหายใจหนึ่งเคลื่อนผ่านร่างเขาดังแผ่วเบา ก่อนเขาจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ลมหายใจของข้าแก่เจ้า”ไป๋หรูอวิ๋นเบิกตา ดวงหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดมีรอยไหวสั่น“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ สิ เจ้าคือผู้ถือครองคัมภีร์ เจ้าจะเสียพลังไม่ได้”“หากพลังนี้มีไว้เพื่อปกป้องผู้คน ข้าจะเริ่มจากเจ้าก่อน” หยางเหวินกล่าวชัดเจน “เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ร่วมสำนัก หรือเพื่อนร่วมทาง เจ้า
ลมหนาวปลายฤดูพัดผ่านสันเขาต้าหลาน ดอกบ๊วยผลิดอกเต็มกิ่ง ท่ามกลางผืนหิมะที่ยังไม่ละทิ้งกลิ่นไอเยือกเย็นหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่เบื้องล่างยอดเขา สายตาจับจ้องเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน“มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง” หยางเหวินกล่าว พลางยกมือแตะอก “ข้ารู้ว่าพลังทั้งหมด จะต้องจบลงที่นี่”“และจบลงกับเขา หลัวซิง” ไป๋หรูอวิ๋นพูดแผ่วเบา ดวงตาคล้ายมีหมอกบางแห่งความรู้สึกค้างคาทั้งสองปีนสู่ยอดเขาอย่างช้า ๆ ฝ่าลมหนาว หิมะ และเสียงลมหายใจของธรรมชาติที่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเมื่อถึงลานหน้าศาลาพักเก่า เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”เสียงนั้นมาจากหลัวซิง ผู้ชราลงกว่าเดิม แต่แววตายังแจ่มกระจ่างราวกับเคยเฝ้ามองใต้หล้าอย่างลึกซึ้ง“ท่านอาจารย์” หยางเหวินประสานมือคารวะด้วยความเคารพ “ข้ากลับมา พร้อมคัมภีร์”หลัวซิงเดินออกมาช้า ๆ มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือแนบหลัง “เจ้าจึงรู้แล้ว ว่าแท้จริง พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือครอง แต่คือสิ่งที่มอบ”หยางเหวินพยักหน้า “และข้าจะมอบมัน อย่างที่ท่านเคยมอบลมหายใจแรกให้ข้า”หลัวซิงหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็พร้อมแ
รุ่งเช้า ณ ริมผาสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาเขตสำนักฟ้าเทียน แดดยามเช้าส่องลอดม่านหมอกคลี่ตัวบางเบา ขณะที่หยางเหวินกับไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่หน้าแท่นหินจารึกโบราณที่แทบจะถูกเถาวัลย์กลืนกินจนหมด“นี่คือประตูขั้นแรกของเขตต้องห้ามสำนักฟ้าเทียน” ไป๋หรูอวิ๋นกระซิบหยางเหวินใช้ปลายนิ้วสัมผัสลวดลายโบราณบนแผ่นหิน มีลายเส้นหนึ่งที่เหมือนกระแสลมหายใจคดเคี้ยวขึ้นฟ้า“นี่ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ นี่คือแบบฝึกลมหายใจสายหนึ่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่” นางพยักหน้า “ท่านอาจารย์เคยบอกว่าหากลมหายใจของผู้ใดเข้าถึงจังหวะที่จารึกนี้ปรากฏ ประตูสำนักจะเปิดออกเองโดยไม่ต้องใช้แรง”หยางเหวินนั่งลงขัดสมาธิ ฝึกปราณหน้าจารึกนั้นทันที ไป๋หรูอวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เขา หลับตาแนบแน่น ปรับลมหายใจให้นิ่งเฉกเช่นกัน แม้ไร้ชีพจรของตน แต่นางยังฝึกเพื่อร่วมสภาวะกับเขาให้มากที่สุดลมหายใจแรกคือสายหมอก ลมหายใจที่สองคือเสียงของเขา และลมหายใจที่สามคือเสียงของใต้หล้าที่ไร้คำพูดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงกึกเบา ๆ ดังขึ้นที่แท่นหิน จากนั้นพื้นหินตรงหน้าก็สั่นไหว เผยบันไดหินทอดลึกลงไปเบื้องล่าง“เปิดแล้ว”หยางเหวินลืมตา ดวงตาเปล่งประกายเงี