“ได้ยินว่าเจ้าเมืองจะทำพิธีขอฝน” เยี่ยนหรงเหยาพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาคร้านจะจดจำว่ากี่ครั้งแล้วที่ทำให้ไปแล้วก็ยังไร้เม็ดฝนสักหยด
ฮวงหลงเคาะปลายนิ้วที่โต๊ะอย่างครุ่นคิด เขาไม่มีหน้าที่บันดาลฝน เขาเป็นเทพมังกรดินที่ดูแลพื้นดินและสายน้ำ ทว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่เมืองที่ชุ่มชื้นแห่งนี้แล้งยาวนานถึงเพียงนี้ ดวงตาคู่คมปิดเปลือกตาลง
เยี่ยนหรงเหยามองบุรุษเบื้องหน้า สิบปีมานี่จากร่างกายสภาพเด็กชายผอมบางที่ยื่นเท้าข้างหนึ่งเข้าไปประตูปรโลกแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตยืนยาวมาถึงวันนี้ เขาชาชินกับความเป็นและความตายของตนเอง อาศัยว่าตระกูลเยี่ยนร่ำรวยจากเหมืองแร่เงิน ท่านลุงเป็นอัครเสนาบดี ลูกพี่ลูกน้องเป็นสนมขององค์ฮ่องเต้ เรื่องเหล่านี้เขาไม่ได้สนใจนัก ด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด เขาเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ ทว่ามารดาตั้งครรภ์แรกเมื่ออายุมาก การให้กำเนิดเขาเป็นเรื่องเสี่ยงต่อสภาพร่างกายนัก แต่กระนั้น สตรีผู้หนึ่งก็ใฝ่ฝันจะเป็นมารดาคนจึงสู้อดทนอุ้มท้องให้กำเนิดบุตรชาย ทว่ากลับเป็นลูกชายที่เสมือนโถยาเช่นเขา
เพราะบารมีตระกูลเดิมของมารดา ความมั่งคั่งและฐานะหน้าตาทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าทอดทิ้งเด็กชายอมโรคเช่นเขา ทุกคนคิดเสมอว่า ‘อีกไม่นานก็ตายแล้ว’ จึงดูแลเขาให้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างเต็มที ไฉนเลยใครจะรู้ว่าหลังจากที่ปลายนิ้วของเทพมังกรดินแตะหน้าผากของเขาในวันนั้น เขาจะยังมีชีวิตอยู่มาถึงวันนี้
และเพราะความคิดว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน กลายเป็นเหตุที่ทุกคนเอาอกเอาใจ ตามใจเขาทุกเรื่อง หนังสือที่เขาอยากอ่าน อาหารที่อยากกิน หรือแม้แต่เชิญอาจารย์มาสอนหนังสือที่บ้าน ไม่มีใครขัดใจเขาเลยสักเรื่อง เขาเองมักคิดว่าตนเองอาจจะอยู่ได้ไม่นาน เขาไม่คิดถึงชาติหน้าหรือภพไหน จึงอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่ แม้จะมีชีวิตไม่ยืนยาวแก่เฒ่า แต่ได้เรียกว่าใช้ชีวิตชาติหนึ่งได้คุ้มค่า
เช่นนั้นเขาจึงหลงใหลการสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ สนับสนุนคนเก่งมีฝีมือ แม้
ตัวเองจะอยู่ในแต่เรือนของตน ทว่าประตูหลังของเรือนมักมีคนเข้าออกอยู่เสมอแน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีเทพมังกรดินด้วย
เขาไม่รู้ว่าการที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นี่เพราะเทพมังกรดินผู้นี้หรือไม่ แต่เขายังมีลมหายใจมาถึงปัจจุบันนี้ สิบปีที่ผ่านมา เทพผู้นี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไปมามิเคยบอกกล่าว เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
เยี่ยนหรงเหยามองใบหน้าของเทพมังกรดินที่หลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาอีกครั้งเขาเห็นดวงตาของเทพมังกรดินเป็นสีทองอ่อนจางและเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับคืนตามเดิม
แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นอาภรณ์ของบุรุษแต่ไม่อาจซุกซ่อนเจ้าของเรือนร่างบอบบางดุจดอกไม้ โครงหน้าอ่อนหวาน ดวงตาเป็นประกายซุกซน และริมฝีปากแดงเรื่อ แม้อาภรณ์ที่สวมเป็นแบบเรียบง่ายแต่ไม่ได้ลดทอนความงดงามของผู้สวมใส่ได้เลย
เจ้าของร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก ไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่
ซิ่นหลิงส่ายหน้าไปมา เวลานี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งที่พวกเขาทั้งสองยังเป็นเด็กเล็ก สวมเสื้อผ้าเหมือนกันจนใครต่อใครต่างแยกไม่ออก เขาเคยสวมเสื้อผ้าชุดเด็กหญิง ซิ่นฮวาเองก็เคยสวมเสื้อผ้าชุดเด็กชาย ได้ยินว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่ นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักก็กสวมเสื้อผ้าของบุรุษ แต่เห็นด้วยตาตนเองเช่นนี้แล้ว เขาได้แต่ขมวดคิ้ว ดูอย่างไรนางก็เป็นหญิง ไม่อาจทำให้ดูเป็นชายได้เลย“ปกติเจ้าแอบหนีไปนอกตำหนักก็แต่งกายเช่นนี้?”
“ใช่” ซิ่นฮวาพยักหน้าด้วยความมั่นใจ คลี่พัดออกโบกไปมาเลียนแบบบัณฑิต
“ข้าใช้หางตามองก็ยังรู้ว่าเจ้าเป็นหญิง” ซิ่นหลิงโคลงศีรษะไปมา “เจ้าเปลี่ยนความคิดเถิด หากท่านแม่จับได้ข้าจะลำบาก”
“ไม่ได้!” ซิ่นฮวากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “เจ้ารับปากข้าแล้ว”
“ข้ารับปากเจ้าเมื่อไหร่” ซิ่นหลิงกลอกตาไปมา
“หากเจ้าไม่ยอมพาข้าไป ข้าก็ให้ผู้อื่นพาไป” นางยื่นหน้าเข้าไป ใบหน้าจิ้มลิ้มเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย แววตามุ่งมั่นจริงจังในสิ่งที่ตนตั้งใจทำ
ทว่าเรื่องที่นางจะทำนั้น แสนไร้สาระยิ่ง
ซิ่นฮวาได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตามมาด้วยคำว่า “ได้” ใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง” ซิ่นหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขาไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก “เสร็จธุระแล้วต้องรีบกลับ ถ้าท่านแม่จับได้ เจ้าต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”
“อืม!”
ซิ่นฮวาเห็นซิ่นหลิงถอนหายใจไม่รู้รอบที่เท่าไร แต่เขายอมพานางหลบออกมาด้านหลังของตำหนัก แม้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่หลายปี ซ้ำยังเพิ่งกลับมา แต่ราวกับทุกซอกมุมที่เคยใช้เป็นที่วิ่งเล่นหลบซ่อนตัวจะยังเป็นเช่นเดิม เมื่อออกมาถึงด้านนอก หญิงสาวเห็นม้าสองตัวและกันอี๋กับซาโม่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว นางอ้าปากค้างไม่คิดว่าซิ่นหลิงจะตามคนอื่นไปด้วยมากขนาดนี้
อย่าบอกนะว่า...รู้กันหมดแล้ว!
“เจ้าไปกับกันอี๋” ซิ่นหลิงสั่งแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าอย่างรวดเร็ว “ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เจอกันที่หอนางโลมหอมหมื่นลี้”
ซิ่นฮวาเห็นซิ่นหลิงขึ้นหลังม้าแล้ว ถ้านางไปพร้อมกับกันอี๋แล้ว...
“ซาโม่ล่ะ?”
“ข้าไม่ต้องใช้ม้าหรอก” ซาโม่ยกนิ้วโป้งปัดปลายจมูกของตนอย่างเคยชิน หมุนตัวกระโจนเพียงครั้งเดียวไปไกลถึงต้นไม้ใหญ่ ซิ่นหลิงไม่รอช้ากระตุ้นม้าให้พุ่งไปรวดเร็วไม่แพ้กัน
“อ๊ะ!” ซิ่นฮวาร้องเสียงหลง ทำไมแต่ละคนดูคล่องแคล่วปราดเปรียวเช่นนี้นัก
กันอี๋อมยิ้มเห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้วนึกเอ็นดูอยู่ในใจ นางอายุเท่ากับซิ่นหลิงซึ่งต้องเป็นเช่นนั้นเพราะทั้งคู่เป็นฝาแฝด ทว่าซิ่นหลิงดูองอาจ ในขณะที่
ซิ่นฮวาที่ยามนี้แม้แต่งกายเป็นชายแต่ดูบอบบางอ้อนแอ้นนัก“พวกเจ้ารู้กันหมดแล้ว?” ซิ่นฮวาทำหน้ามุ่ย ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้ซิ่นหลิงจะกล้าพูดกับผู้อื่น
กันอี๋เพียงแค่พยักหน้ารับ ช่วยประคองให้ซิ่นฮวาขึ้นหลังม้าแล้วเขาก็ขึ้นตามไปซ้อนอยู่ด้านหลัง
“แบบนี้จะดีหรือ?” ซิ่นฮวาอึกอัก แต่งกายเป็นบุรุษแต่ให้นางอยู่ด้านหน้าเช่นนี้ ผู้อื่นมองมาจะคิดว่ากันอี๋เป็นคนเช่นไรกัน
“ดียิ่ง” กันอี๋หัวเราะเบาๆ “เจ้าตัวเล็ก ประเดี๋ยวตกลงไปข้าจะคว้าไม่ทัน”
ซิ่นฮวาเบ้ปากยอมให้กันอี๋คว้าบังเหียนบังคับให้ม้าเดินไปข้างหน้าไม่รีบร้อนนัก “ถึงข้าไม่เป็นวรยุทธ แต่เรื่องขี่ม้าใช่ว่าจะขี่เองไม่ได้”
“ซิ่นหลิงบอกให้ข้าคอยดูแลเจ้าจนกว่าจะไปถึงที่หมาย” เพราะอยู่ด้านหลังจึงระบายยิ้มได้เต็มใบหน้าไม่ต้องฝืนปั้นหน้านิ่ง ทั้งซิ่นหลิงและซิ่นฮวารวมทั้งซิ่นสือไม่เคยถือยศศักดิ์ แต่เขาเติบโตมากับคำสั่งสอนของบิดามารดาที่ให้ระลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นเพียงแค่บุตรชายทหารนายหนึ่งและมารดาเป็นหญิงรับใช้ของชายาท่านอ๋อง
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”