กลีบดอกสีขาวพิสุทธิ์กับกลิ่นหอมอ่อนจาง เคยเห็นจนชินตา แต่เมื่อวันหนึ่งไม่เห็นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เช่นเดียวกับที่รู้สึกว่าระยะนี้ไร้ ‘เสียงเรียก’ ที่ทำให้เขารำคาญใจนัก
เจ้าของเส้นผมสีเงินยวงส่ายหน้าไปมา มองดอกไม้อยู่ดีๆ ไฉนคิดถึงเจ้าเด็กดื้อรั้นคนนั้นไปได้
นั้นสิ! เงียบหายไปเลย เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ
ฮวงหลงมองกล่องใส่ใบชาในมือเผลอระบายลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว แล้วพาตัวเองกลับมาตำหนักของตน แม้เขาจะเป็นเทพมังกรดินที่มนุษย์ให้ความเคารพบูชา แต่เมื่อนับศักดิ์ในเผ่าพันธุ์มังกร เขาเป็นเพียงเทพนักรบเท่านั้น หน้าที่เขาของคือจัดการเหล่าภูตมารปีศาจและเทพมังกรแตกแถว
เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกมานอกตำหนักของเทพหนี่วาแล้ว เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ภูติวิหคนาม ‘ส่านเตี้ยน’ (ฟ้าแลบ) โบยบินผ่านกลีบเมฆมาปรากฏเบื้องหน้า ปีกสีฟ้าสดสวยยามกระพือปีกราวกับมีรัศมีอยู่รอบตัว ฮวงหลงเพียงยกมุมปากเป็นรอยยิ้ม
“กลับไปก่อนเถิด ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนสหายสักหน่อย”
ภูติวิหคทำท่าคล้ายไม่พอใจ แต่มันยอมกระพือปีกอีกสองสามครั้งกลายร่างเป็นเพียงนกน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น เทพมังกรดินส่ายหน้าไปมา ยื่นมือไปเบื้องหน้าให้ภูติวิหคเกาะท่อนแขน และใช้มืออีกข้างโบกไปมา ร่างของทั้งคู่มาปรากฏในสวนดอกไม้ของคฤหาสน์หลังหนึ่ง ฮวงหลงเดินเข้าไปอย่างคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตนเอง ที่ศาลาหกเหลี่ยมนั้นมีกระดานหมากวางอยู่พร้อมทั้งเม็ดหมากสีขาวดำในตำแหน่งเดิมที่เคยอยู่ตรงนี้เมื่อราว...
“หายไปเป็นเดือน ข้าคิดจะคว่ำกระดานหมากนั้นทิ้งเสียแล้ว”
“นานขนาดนั้นเลยรึ” ฮวงหลงคลี่ยิ้มแล้วปล่อยให้ส่านเตี้ยนบินไปจิกกินเมล็ดทานตะวันที่วางใส่จานกระเบื้องสวยที่ตั้งไว้ให้ราวกับรอคอยผู้มาเยือน
“ท่านเป็นเทพ จะไปรู้อะไร ” คนตำหนิหัวเราะเบาๆ แล้วเคลื่อนรถเข็นมาใกล้ แม้จะวัยเพียงยี่สิบปีแต่เส้นผมกลับเป็นสีขาวทั้งศีรษะราวกับคนอายุเจ็ดสิบ
ฮวงหลงหรี่ตามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็น เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อยช่วยส่งให้รถเข็นมีล้อคนนั้นเคลื่อนเข้าในศาลาหกเหลี่ยมอย่างง่ายดาย เขาหยิบกล่องใบชาออกมา หยิบใส่ในกาน้ำชาเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาตวัดชายเสื้อนั่งลงที่เก้าอี้กลม ย้ายสายตามองมาที่หมากกระดานเบื้องหน้า
เยี่ยนหรงเหยา เอื้อมมือไปรินน้ำชา กลิ่นหอมละมุนที่ไม่คุ้นเคยทำให้ใบหน้าขาวซีดของเขาเผยรอยยิ้ม
“หากมิได้มีสหายเช่นท่าน ข้าคงไม่มีวาสนาได้ดื่มชาดีเช่นนี้”
“เจ้านี่ช่างกล้านับข้าเป็นสหาย” ใบหน้าสงบนิ่งปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ดวงตายังจับจ้องที่หมากกระดานเบื้องหน้า
“ท่านมาอย่างสหาย ข้าจึงรับไมตรีเช่นสหาย” เยี่ยนหรงเหยายกน้ำชาขึ้นจิบ ดื่มด่ำกับความละมุนที่ได้รับไปทั่วร่าง จากนั้นจึงปรายตาไปยังกล่องใส่ใบชาที่วางไว้ไม่ไกลนัก
“อย่าได้โลภไปนัก ของจากสวรรค์ เจ้าได้ชิมแค่นั้นก็พอแล้ว” เทพมังกรดินเอ่ยอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรอยู่
“เช่นนั้นท่านอย่าใช้ความเป็นเทพอ่านความคิดในจิตใจของข้าสิ”
เยี่ยนหรงเหยาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยฮวงหลงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าแสดงออกชัดเจนเช่นนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องอ่านจิตใจของเจ้าเลยสักนิด”
เยี่ยนหรงเหยาหัวเราะเสียงแหบออกมา ตามด้วยไอแรงๆ อีกสองสามครั้ง ฮวงหลงเพียงแค่ปรายตามองอาการเจ็บป่วยของบุรุษวัยยี่สิบปีผู้นี้แล้ววางเม็ดหมากสีดำลงไป
มีไม่กี่คนในรอบหลายร้อยปีที่เขาจะมาเดินหมากกระดานเช่นนี้ และมีมนุษย์ไม่กี่คนที่มองเห็นเขาแม้จะใช้เวทพรางกายก็ตามที หลายปีก่อนที่เขาไม่แน่ใจว่ากี่ปีผ่านมาแล้ว คราวนั้นเยี่ยนหรงเหยาเป็นเด็กชายตัวผอมบาง มองเพียงแวบเดียวก็เห็นพลังชีวิตริบหรี่ ร่างเล็กนั่งหลังงองุ้มที่หน้าหมากกระดาน เม็ดหมากสีขาวและดำวางตรงหน้าไร้คนรอบข้าง เขาจึงลงมายืนมองอยู่นิ่งนานจนได้ยินเสียงเด็กชายเอ่ยขึ้น
“จะนั่งก็ได้นะ”
“หือ?”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาของเขา แก้มตอบจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน เบ้าตาลึกและคล้ำ ริมฝีปากแห้งจนเป็นขุย เส้นผมหยาบกระด้าง ทว่าเมื่อเด็กชายยิ้มดวงตาคู่นั้นเป็นประกายฉายแววความหวัง
และดวงตาคู่นี้ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นร่างของเขาเข้าแล้ว
“เจ้ามองเห็นข้า?”
เด็กชายพยักหน้าแล้วหยิบเม็ดหมากสีขาววางลงไป หยิบเม็ดหมากสีดำมากำในมือ “ปกติข้ามองเห็นแต่ภูติผี เพิ่งเคยเห็นเทพเป็นครั้งแรก”
คราวนี้เป็นเขาที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ เมื่อเห็นเด็กชายไม่มีท่าทีตื่นตระหนกตกใจ เขานั่งลงที่เก้าอี้กลมฝั่งตรงข้าม ภูติวิหคโบยบินลงมาแล้วกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบสี่
“ส่านเตี้ยน ชงชาให้ข้าหน่อยสิ”
“ขอรับ” ส่านเตี้ยน รับคำสั่งแล้วผลุบหายไป
“ดูท่านไม่แปลกใจที่ข้ามองเห็นท่าน” เด็กชายเอ่ยขึ้นโดยยังวางสายตาที่หมากกระดานตรงหน้า “มีคนมองเห็นท่านเช่นข้าบ่อยรึ”
ฮวงหลงนิ่งไปเล็กน้อย พลันคิดถึงเจ้าเด็กหญิงจอมซน ช่างเอาแต่ใจผู้นั้น ร่าเริงปราดเปรียวเหมือนกระต่ายป่า และตั้งแต่นางมองเห็นเขา นางทำเหมือนเขาเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่เอะอะก็เรียกชื่อเขาเป็นว่าเล่น
ชื่อของเหล่าปวงเทพหาใช่จะเรียกขานได้พร่ำเพรื่อ!
แต่นางก็ทำ!
“ดีจริง ก่อนตายได้เจอเทพเช่นท่าน”
เขาขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใกล้ตายเช่นนั้นหรอก”
“ใครๆ ก็บอกว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ยืนยาวนัก”
“เจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น?”
เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “อย่างไรคนเราก็ต้องตาย ช้าเร็วสุดท้ายก็ย่อมตาย ข้าเองไม่ใส่ใจอาการเจ็บป่วยของตนเองนัก แต่สงสารคนที่คอยดูแลอยู่มากกว่า ทำให้รู้สึกว่า ทุกวันนี้อยู่ไปก็ทำให้ผู้อื่นลำบากนัก”
“เจ้าช่างเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นยิ่ง” ฮวงหลงหัวเราะในลำคอมองเด็กชายวางเม็ดหมากลงไป เขายิ้มอย่างพอใจ แล้วยื่นปลายนิ้วไปแตะหน้าผากของอีกฝ่าย เป็นเทพก็ใช่ว่าจะมีพลังหยั่งรู้ดินฟ้าอนาคต เพียงแค่ เขาสำรวจดูพลังชีวิตของเด็กชายคนนี้ แม้จะมีชีวิตอยู่อีกสิบปีแต่ต้องผ่านอุปสรรคหนักหนานัก
“เจ้ายังไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก เดินหมากเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
เพียงพริบตา เด็กชายอมโรคผู้นั้นก็เติบโตเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ มีเส้นผมเป็นสีขาวโผลนทั้งศีรษะ แต่ดวงตายังลุ่มลึกและเปี่ยมพลังงานชีวิต แม้ไม่แข็งแรงเท่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แต่นับว่าดีกว่าที่เขาพบเจอในครั้งแรกมากแล้ว
“เยี่ยนหรงเหยา”
ชายหนุ่มเพียงแค่เงยจากถ้วยชาของตน
“ข้าได้ยินว่าที่แคว้นหานแล้งหนักติดต่อกันมาสามปีแล้ว ไฉนบ้านของเจ้ายังดูอุดมสมบูรณ์นัก”
“ข้าเก่งอย่างไรเล่า” เยี่ยนหรงเหยาหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าทำกังหันผันน้ำไว้ใช้”
แม้ร่างกายของเยี่ยนหรงเหยาไม่แข็งแรง แต่สติปัญญาเป็นเลิศนัก เป็นคนช่างคิดและประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ อาศัยว่าตนเองร่ำรวยจึงสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ ในเรือนไม้หอมของเขาจึงมีสิ่งปลูกสร้างหน้าตาแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย
ยังไม่ทันเอ่ยถามสิ่งใด นางรู้สึกว่าร่างของตนถูกส่งขึ้นบนหลังม้า คล้ายได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโม่ ตามด้วยเสียงของซิ่นหลิงห้ามไม่ให้ติดตามนางมา ม้าควบทะยานไปในความมืดมีแสงจันทราเต็มดวงส่องนำทาง สายลมปะทะร่างของนางแต่ไม่ได้ทำให้นางเหน็บหนาวเพราะผู้ที่บังคับม้านั้นกระชับเสื้อคลุมห่อหุ้มนางไว้มิดชิด นางแนบหน้ากับอกอุ่นวางความไว้ใจไว้ในอุ้งมือของชายที่ตนรัก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามม้าก็ชะลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง ร่างของนางถูกประคองลงจากหลังม้าแล้วจึงแกะผ้าผูกตาของนางออก ซิ่นฮวาประหลาดใจกับภาพกระโจมเบื้องหน้า นางกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมหลังใหญ่ตั้งใกล้สระน้ำขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เสี้ยวที่ยามนี้ผิวน้ำสะท้อนแสงจันทรางดงาม “อ๊ะ!” ซิ่นฮวาหลุดปากหวีดร้องด้วยความตกใจที่จู่ๆ ร่างของนางก็ถูกแบกขึ้นบ่า นางเห็นรอยยิ้มและเสียงอวยพรของผู้คนที่ก้มศีรษะให้ระหว่างที่บุรุษหนุ่มแบกร่างเจ้าสาวเข้ากระโจมที่ถูกเตรียมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมรอยยิ้มแห่งความสุข เขาพานางเข้ามาด้านในแล้ววางนางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าไหมเรียบรื่น ภายนอกเป็นกระโจมที่แลดูเรียบง่ายแต่ด้านในมีเครื่องใช้หรูหราและอบอุ่
“ข้าไม่ปรารถนาพิธีใหญ่โต ขอแค่ท่านพ่อท่านแม่ยอมรับก็พอ” ความปรารถนาของเจ้าสาวคือพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่าย ทว่าในเวลาเพียงเจ็ดวันตระกูลได้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยจัดงานแต่งงานขึ้นที่ตุนหวงตามคำร้องขอของบิดาเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงเดินทางกลับแคว้นหาน เจ็ดวันที่ตระเตรียมงานมงคล หญิงสาวไม่ได้รับอนุญาตให้พบหน้าบุรุษที่จะเป็นสามีในอนาคต ซิ่นหลิง ซิ่นสือ กันอี๋ และซาโม่ที่คอยส่งข่าวให้นางรู้ว่าเขาสบายดี ว่านหนิงเหมยมองดูบุตรสาวที่ยามนี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล หากจะกล่าวว่านางเตรียมชุดมงคลนี้ไว้ให้บุตรสาวนานแล้วก็เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะ คนเป็นมารดาหวังเพียงเห็นลูกๆ มีความสุขในชีวิตคู่ ครั้งที่นางแต่งงานนั้นเป็นสมรสพระราชทาน มารดาของนางไม่ได้ช่วยเหลือใดๆ ไม่มีสินเดิมให้ติดตัวมากนัก เมื่อถึงคราวลูกสาวของตนแต่งงาน นางจัดเตรียมไว้เต็มที่ มิใช่เพื่ออวดความร่ำรวยแต่เพื่อให้ลูกสาวไม่ลำบากในภายภาคหน้า ทว่านางมั่นใจว่าเจ้าบ่าวหรือว่าที่ลูกเขยคนนี้จะรักและดูแลแก้วตาดวงใจนางอย่างดียิ่ง นางเชื่อใจว่าเพราะคนผู้นั้นได้ยอมสละลมหายใจของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของซิ
“อย่ากลัว มันจะปกป้องเจ้า” ดวงตางดงามเบิกตากว้าง น้ำตาที่เหือดแห้งไปหลั่งออกมาอีกระลอก “เป็นท่าน” ซิ่นฮวาจ้องมองเขา ระหว่างที่นางคลุกคลีในบ้านตระกูลเยี่ยน นางลอบถามบรรดาบ่าวไพร่ รับรู้มาว่าเยี่ยนหรงเหยาหมดสติไปนานห้าวัน ท่านหมอไม่อาจรั้งชีวิตได้ พลันจู่ๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา และร่างกายเกือบจะแข็งแรงดี ห้าวันที่เขาหมดสติไปคือวันที่เทพมังกรดินสูญสลายกลายเป็นหมอกสีเงินสลายมนตร์ดำที่ปกคลุมแคว้นหาน “ใจร้าย!” นางต่อว่าแล้วทำมือทุบแผ่นอกของเขาหลายครั้ง “ไยท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก” ฮวงหลงเพิ่งรู้ว่ามือเรียวของนางมีน้ำหนักไม่น้อย แต่เขายอมให้นางทุบตีอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปัดป้อง “สภาพข้าเช่นนี้ เจ้ายอมรับได้หรือ?” “ข้าเคยพูดแล้ว” นางฝืนกลั้นเสียงสะอื้น “ข้ารักท่านไม่ว่าท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้ารักที่จิตใจของท่าน...แต่ท่าน...ท่านอยู่ตรงหน้าข้าแท้ๆ แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัวเองแก่ข้า” “ฮวาเอ๋อร์ เขาเรียกนางอย่างอ่อนโยน รวบมือน้อยๆ ของนางไว้แล้วถอนหายใจแผ่วเบา “ข้ากำลังรับเคราะห์กรรมที่ทำไว้กับเจ้า ข้าเห็นเจ้า จดจำเจ้าได้ แต่เจ้ามองข
“ข้าจะไม่วันลืม” “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าและยิ้มรับถ้อยคำของเขา หัวใจเด็กหญิงพองโตอย่างน่าประหลาดใจ นางกลอกตาไปมาแล้วคิดได้ว่าเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว จึงหมุนตัวเดินออกมา แต่เดินจากมาได้ไม่กี่ก้าว นางก็นึกได้ว่าลืมกล่าวลาเขาจึงหมุนตัวกลับไปโบกไม้โบกมือ แล้วรีบหมุนตัวกลับออกวิ่งทันที กันอี๋ลุกขึ้นยืนช้าๆ มองร่างเล็กวิ่งไปจนสุดสายตา เขากังวลว่านางจะหกล้มอีก แต่ครั้งนี้นางวิ่งไปทางบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนจะยืนรออยู่นานแล้ว แม้จะเห็นไกลๆ แต่กันอี๋ก็เห็นสายตาของซ่งเหว่ยหนานจ้องมองมาทางเขา ก่อนจะยื่นมือไปรับน้องสาวให้เดินไปพร้อมกัน เด็กคนนั้นอายุเท่าไรกันนะ อายุสิบสองใช่ไหม? อายุน้อยกว่าเขาตั้งห้าปี เขาตบอกตัวเองเบาๆ ปิ่นหยกธรรมดาแต่เมื่อคนที่มอบให้เขานั้นไม่ธรรมดาเอาเสียเลย หรือว่าเขาควรจะสมัครเป็นองครักษ์ของเด็กน้อยคนนั้นดีนะ “เราไม่ได้เดินเล่นกันแบบนี้นานแค่ไหนแล้วนะ” ซ่งซีเหมยส่งเสียงเจื้อยแจ้วถามซ่งเหว่ยหนานที่จูงมือนางเดินดูโคมไฟหลากสีสันและน่าตาแปลกประหลาด “นั่นสินะ นานเพียงใดกันหนอ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “พี่ช่างเป็นพี่ชายที่ไม่
“พบสหายรู้ใจถือเป็นวาสนา” ฮวงหลงยิ้มบางๆ เขาไม่กล้าหาญพอที่จะเอ่ยกับนางว่าเขาคือ ‘ฮวงหลง’ และด้วยสภาพร่างกายที่อาศัยอยู่นี้ เส้นผมสีขาวโพลนเหมือนคนแก่ชรา ร่างกายยังอ่อนแอ และฐานะด้อยกว่านางมาก แม้รู้ว่านางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ ทว่า นางคิดว่าเขาจากนางไปแล้ว นางมีคนให้เลือกเคียงข้างมากนัก เขาได้แต่หวังว่าจะ...มีเยื่อใยใดบ้างที่นางจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ ซ่งซีเหมยนั่งใกล้ๆ ซิ่นฮวา นางจิบน้ำชาและกินของว่างอย่างเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่นางป่วยอยู่นั้นกินอะไรไม่ค่อยได้มากนัก ซ้ำยังรู้สึกขมปลายลิ้นตลอดเวลาทำให้เบื่ออาหารไปด้วย แต่หลังจากปีศาจงูดำตายไป ร่างกายของนางก็ดีขึ้นหลายส่วน นางกลับมากินอาหารได้ปกติ อีกไม่นานร่างกายผ่ายผอมเหมือนเด็กโตไม่เต็มวัยนั้นคงสมบูรณ์ดีแลเป็นหญิงสาวกับคนอื่นบ้างกระมัง เด็กหญิงคิดในใจแอบลอบมองทางองครักษ์ของซิ่นฮวาหลายครั้ง เมื่อครู่นางแย่งปิ่นที่ซื้อมาจากมือแม่นมเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างดี หวังใจว่าตัวเองจะมีความกล้าพอที่จะมอบให้... ซ่งเหวยหนานเดินเข้ามา สีหน้าอิดโรยอยู่บ้างแต่ยังคงประดับรอยยิ้ม ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหาน แม้รับหน้า
“หายตกใจแล้วหรือไม่” กันอี๋เอ่ยขึ้นแต่ยังยืนนิ่ง ใบหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย เขาคว้าเอวบางของเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่หน้าคว่ำลงพื้นไป “อืม” ซ่งซีเหมยพยักหน้าหงึกหงัก คำตอบของนางทำให้สองมือที่จับเอวของนางอยู่นั้นยกตัวนางให้ปลายเท้ายืนบนพื้นดินแล้วค่อยคลายมือออก แต่ยังคงรอจนนางยืนได้มั่นคงแล้วจึงถอยออกไป เด็กหญิงทำตาปริบๆ นอกจากพี่ชายและท่านพ่อแล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน กันอี๋ถอยห่างออกมารอจนเด็กหญิงตัวน้อยยืนได้มั่นคง ทว่าดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองเขาและตามด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว ‘นางบาดเจ็บหรือไร?’ ขยับตัวเข้าไปใกล้หมายจะเอ่ยถาม แต่เด็กหญิงถอยหลังแล้ววิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของซิ่นฮวา ทำให้เขาได้แต่อ้าปากค้างอย่างงุนงง “เป็นอะไรไปรึซีเหม่ย” ซิ่นฮวากลั้นหัวเราะ เข้าใจว่าเด็กน้อยคงเขินอายที่ตัวเองซุ่มซ่ามต่อหน้าผู้อื่น “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าไปมาเร็วๆ ไม่กล้ามองไปทางองครักษ์ของซิ่นฮวา “ได้ยินว่าพี่สาวจะไปงานเลี้ยง ข้าจึงมาขอติดตามไปด้วย” “พี่ชายเจ้ารู้หรือไม่ที่จะไปกับข้า”