3 ชั่วโมงต่อมาในที่สุดเราสองคนก็เดินทางมาถึงประเทศจีนนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาเที่ยวต่างประเทศแล้วออกทริปมาเมือง C เพราะอยากเห็นเมืองโบราณของจีนแบบในซีรี่ย์มากสุด ๆ ฉันรีบสวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มทันทีที่ก้าวออกจากสนามบิน ช่วงฤดูหนาวที่จีนหนาวกว่าไทยเป็นสิบเท่าหิมะยังไม่ตกก็เย็นขนาดนี้สิบห้าวันต่อจากนี้จะรอดกลับไทยไหม ฉันเป็นคนขี้หนาวซะด้วยที่ยอมมากก็เพื่องานโดยเฉพาะ
“เอาอีกสักตัวไหม” ฝ้ายถามพลางมองแผนที่ในมือ
“ไม่ล่ะ มันรุ่มร่าม” ฉันตอบแล้วก้มหน้าช่วยฝ้ายดูทริปในแผนที่ เราตกลงกันว่าจะเช่ารถง่ายต่อการเดินทางไปไหนมาไหนและก็สะดวกสบายกว่าไหน ๆ ซึ่งเรื่องท่องเที่ยวนำทางไปสถานที่ต่าง ๆ ให้เป็นหน้าที่ของฝ้ายหล่อนเก่งภาษาจีน ส่วนฉันรอจ่ายเงินอย่างเดียวค่ะ
“ใส่ไว้เดี๋ยวไม่สบาย” ฝ้ายหยิบผ้าพันคอในกระเป๋าสะพายของตัวเองให้ฉันแล้วก็ลากสัมภาระของฉันเดินไปที่จุดจอดรถเฉย อืม มีเพื่อนดีก็งี้แหละ
พวกเราเพื่อหาแรงบันดาลใจและมาทำสตอรี่โปรเจกต์งานที่จะเริ่มเดือนหน้า ที่จริงหาข้อมูลในเน็ตอย่างเดียวก็ได้ดีเทลอยู่ แต่ฉันรู้สึกว่ามันไม่ได้สัมผัสบรรยากาศจริงแล้วเขียนไม่ค่อยออกนี่สิ วันแรกก็พักผ่อนเก็บแรงไว้ก่อน จากนั้นก็เริ่มทำงานแบบชิว ๆ เที่ยวไปจดบันทึกไปด้วย
เราสองคนแบ่งหน้าที่กันคนหนึ่งถ่ายรูปคนหนึ่งจดบันทึกถ้าตอนเย็นกลับมาที่โรงแรมแล้วไม่เหนื่อยมากก็ช่วยกันเรียบเรียงข้อมูลบางส่วนก่อน หลังกลับไทยจะได้ไม่ต้องทำเยอะไม่ชอบค้างงานไว้รอใกล้ถึงเวลามาเร่งทีหลังไม่ใช่นิสัยฉันกับฝ้าย พวกเราสองคนร่วมงานกันบ่อยและเป็นทีมเวิร์กที่สุดที่ฉันเคยร่วมกับคนอื่น ๆ
“หาของร้อน ๆ กินปะ ฉันเขียนจนมือเย็นหมดแล้วแก~” ฉันเก็บสมุดบันทึกใส่กระเป๋า ถูมือไปมาใช้ปากเป่าความร้อนในร่างกายเพื่อให้มืออุ่นขึ้น
“ทำไมแกไม่ใส่ถุงมือไว้แต่แรกเล่า” ฝ้ายหันมาตอบฉันเมื่อกี้เธอกำลังถ่ายรูปบรรยากาศเมืองโบราณอยู่
“ก็ใส่แล้วเขียนไม่ถนัดไง อย่าบ่นมากสิหาของกินดีกว่านะ” ฉันสวมถุงมือที่ถอดออกก่อนหน้า แล้วเดินไปหาของร้อน ๆ กินตามความต้องการไม่สนใจเพื่อนสาวขี้บ่นข้างหลัง
ฉันยิ้มกว้างดีใจหยุดอยู่หน้าร้านเกี๊ยวน้ำกลิ่นน้ำซุปหอมเครื่องเทศชวนน้ำลายเซาะ มองเข้าไปในร้านเห็นว่ายังเหลือที่นั่งอยู่แถมเงียบสงบด้วย ฉันจึงส่งสายตาให้ฝ้ายจัดการสั่งเกี๊ยวน้ำแทนเพราะฉันพูดจีนไม่เป็น
เมื่อของร้อนมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ ใยรินก็ตักขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนสองสามทีก่อนเข้าปากทำให้ความร้อนจัดที่ยังมีอยู่ในตัวเกี๊ยวลวกปากฉันอย่างไม่ทันระวัง โดนเกี๊ยวลวกปากจนได้ เป่าควันร้อนออกจากปากเหมือนเด็กน้อยไม่รู้จักโต
“ค่อย ๆ กิน” ฝ้ายเห็นความตะกละของฉันก็ส่ายหัวช่วยเป่าซุปเกี๊ยวร้อน ๆ ในถ้วยให้อีกแรง เอาใจใส่ที่หนึ่งไม่ต้องไปหาแฟนแหละแค่มีฝ้ายก็พอ
ฉันนั่งซดซุปร้อน ๆ พร้อมเกี๊ยวสอดไส้หมูสับหวานนุ่มละมุนเนื้อหมูเด้งในปากฟินสุด ๆ อาหารมื้อนี้เหมาะกับสภาพอากาศหนาวเย็นสุด ส่วนฝ้ายนั่งมองฉันกินอย่างเอร็ดอร่อย
“แกไม่กินจริงหรอฝ้าย ร้านนี้อร่อยนะ” ฉันถามฝ้ายพลางตักเอาเข้าปากไม่หยุด
“ใยรินแกพาฉันมาหาของกินเป็นรอบที่สิบของวันแล้วจะให้ฉันเอากระเพาะที่ไหนมาใส่เกี๊ยวน้ำเหมือนแกอีก” ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่มาถึงจีนฝ้ายบ่นเยอะขึ้นเป็นกอง
“ไม่กินก็มาให้ฉันนี่ เดี๋ยวกินเองคนจ่ายเงินก็ฉัน แกจะบ่นเยอะทำไมเนี่ย” ฉันยกถ้วยหล่อนพลางเป่าไอความร้อนก่อนตักซุป ประโยคต่อมาของฝ้ายทำให้ฉันชะงักระหว่างกิน
“ใยริน แกยังไม่เลิกวาดรูปพวกนั้นอีกหรอว่ะ” คำถามที่อัดอั้นตันใจมาหลายวันของฝ้ายถามฉันตรง ๆ ฉันเข้าใจว่ารูปที่ฝ้ายพูดถึงคือรูปอะไร
“อืม” ฉันยอมรับ
“แกจะบอกว่าจนถึงเวลานี้แล้วแกยังไม่เลิกฝันถึงเรื่องราวบ้า ๆ นั่น”
“ใช่” ฉันเคยเล่าให้ฝ้ายฟังว่าตั้งแต่อายุ 14 ฉันก็เริ่มฝันถึงผู้หญิงในชุดจีนโบราณคนหนึ่ง ฉันได้เห็นเรื่องราวของเธอในฝันว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ฉันเข้าใจความคิดและความรู้สึกของเธอคนนั้นทุกครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่ขัดใจฉันมาก
“ฉันเป็นห่วงแกนะเว้ย ดูแกดิถึงกลับวาดรูปออกมาเป็นฉาก ๆ เพื่ออะไร? มันน่าจดจำนักหรือไง”
“เห็นแล้ว?” ฉันไม่ได้บอกฝ้ายหรือให้ดูภาพวาดพวกนั้นเลยนะ หล่อนไปรู้มาจากไหน
“พึ่งเห็นตอนที่แกทำสมุดตกพื้นน่ะ แล้วที่แน่ใจว่าเป็นภาพในฝันก็เมื่อกี้นี้แกพึ่งยอมรับ” ฝ้ายพูดจบก็ถอนหายใจยาว หล่อนจะหนักใจเรื่องของฉันมากไปหรือเปล่า
ความจริงตอนที่ฉันฝันอยู่อย่างกับตัวเองกำลังดูซีรี่ย์สามมิติมีอารมณ์ร่วมกับคนในฝัน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นผลเสียต่อร่างกายฉันนะ ‘แค่ฝัน’ เฉย ๆ เองไหม
“องครักษ์เฟิงข้ามีภารกิจที่ต้องให้ท่านทำร่วมกับข้า” ดวงตากระจ่างใสใต้แสงจันทร์มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ขัดกับคราบน้ำตาบนแก้มนวลอาเฟิงองครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างเมื่อถูกสตรีผู้เป็นนายจับท้ายทอยดึงลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากอิ่มของนาง ครั้งจะผลักผู้เป็นนายสาวออกก็สลัดไม่หลุด จะออกแรงมากขึ้นก็กลัวทำคนตัวเล็กเจ็บ อีกทั้งนางยังกอดรั้งเข้าแน่นอย่างกะอะไรดี ผลสุดท้ายแล้วรสจุมพิตหวานจากนางก็เริ่มมอมเมาทำให้เขาเอนอ่อนตอบรับอย่างเชื่อฟังหลี่เหมยซินดูดดื่มเรียวปากหยักได้รูปของอีกฝ่ายอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาแดงกล่ำคลอน้ำใสปรือขึ้นช้าๆ มองเขากระทำจุมพิตโต้ตอบนางอย่างโหยหาไม่ต่างกัน ไม่นานองครักษ์เฟิงหนุ่มก็กลายเป็นฝ่ายนำ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าโพรงปากเล็กคว้านหาความหวานข้างในอย่างชำนาญ จนหลี่เหมยซินอ่อนละทวยเหลวเป็นน้ำแทบทรงตัวไม่อยู่ ดีที่มีแขนแกร่งของเขาเกี่ยวรัดเอวนางไว้จนตัวนางลอยเหนือพื้นหลี่เหมยซินสัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงอ่อนโยนจนสมองนางว่างเปล่างคิดสิ่งใดไม่ออกนอกจากคล้อยตามเขาไป“ชะ..ช้าก่อน” นางพึ่งรู้ตัวว่าถนนที่ผู้คนพลุกพล่านร่ายล้อมด้
“เดี๋ยวๆ.. หยุดก่อน.. ท่าน.. ได้ยินข้าไหม.. อย่าพึ่งไป.. นี่ เหยียนเฟิ่ง!” หลี่เหมยซินเดินแทรกเข้าไปในกลุ่มผู้คนมากมายเพื่อตามบุรุษผู้นั้น เขากำลังเดินไปที่สะพานโดยไม่หันมาตามเสียงเรียกของนาง หลี่เหมยซินรู้สึกหวั่นใจที่บุรุษผู้นั้นไม่ใช่เขา เพราะตะโกนชื่อเขาตั้งหลายรอบก็ไม่มีทางทีจะใช่เขาเลยเพราะมัวแต่ชะเง้อคอมองหาบุรุษผู้นั้นจนตอนนี้ผู้คนเยอะขึ้นเดินเบียดกันทำให้นางทรงตัวไม่อยู่ชนคนนั้นคนนี้ที่เริ่มเมาหัว หาทางออกไม่เจอ แต่จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งจับข้อมือนางไว้แล้วดึงตัวนางออกจากฝูงชนจำนวนมากหลี่เหมยซินรู้สึกเย็นๆ ที่ข้อมือนางแต่นางยังมึนๆ หน้ามืดอยู่เลยไม่ได้เงยหน้ามองผู้ที่ช่วยนางออกจากกลุ่มฝูงชนเมื่อครู่ ใช้มืออีกข้างเคาะหัวตัวเองเบาๆ แล้วหลับตาปี๋เพื่อให้หายหน้ามืด ดวงตาประกายแสงจากโคมไฟลืมตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลามาดเข้มจมูกโด่งได้รูปดวงตาดำสนิทแฝงความดุดันแต่กลับอ่อนโยนกำลังจ้องมอง นางนิ่งเดาอารมณ์และความคิดของเขาไม่ถูก แววตาเยือกเย็นดั่งธาราน้ำแข็งหายไปชั่วพริบตาเหลือไว้ให้เห็นแต่ความอบอุ่นที่ซ้อนอยู่นัยน์ตาดำคู่นั้นเหยียนเฟิ่ง
ในเมืองซวงโจวผู้คนเดินพลุกพล่านไปมาจับจ่ายซื้อของตามร้านค้าอย่างครึกครื้น สตรีร่างบางสวมอาภรณ์สีขาวลวดลายดอกเหมยสีชาด เรียวขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งบนถนนมากผู้คน ดวงตางดงามคู่นั้นกระจ่างใสทอประกายแวววาวแห่งความสุขทอดมองไปยังเบื้องหน้า นางหันซ้ายทีขวาทีท่าทางตื่นเต้นมองหาบางสิ่งบางอย่างบนท้องถนนในเมืองมากผู้คน‘บุรุษผู้นั้นถูกพิษน้ำค้างแข็ง วันนั้นที่เขาหายตัวไปข้าพบเขาตอนที่ร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อวัยวะภายในเสียหายอย่างหนักรวมถึงบาดแผลที่ถูกแทงจากการต่อสู้กับนักฆ่ายิ่งทำให้เขาอ่อนแอลง ยามนั้นข้าไม่มีทางเลือกนอกจากผนึกร่างเขาไว้แล้วใช้พลังปราณรักษาเขา แต่ว่าสุดท้ายก็ฝืนลิขิตฟ้าไม่ได้..’สตรีนางนั้นหยุดฝีท้าวลงกระทันหัน นางเหนื่อยหอบลมหายใจเข้าออกรัวๆ เหงื่อเริ่มไหลทั่วใบหน้า นางหยุดพักเอาแรงพยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ช้อนตาขึ้นมองผู้คนรอบด้านบนท้องถนนอีกครั้งอย่างไม่ลดละความตั้งใจ‘เกิดอะไรขึ้นกับเขาเจ้าคะ’‘เขาตายแล้ว’ฝีท้าวเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าทีละก้าวด้วยความอ่อนแรง ใบหน้าสง่างามของสตรีวัยยี่สิบกว่ามีดวงตาเจือความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อรู้จุดจบของบ
“พลังวิญญาณที่บุรุษผู้นั้นคืนให้สำคัญต่อข้ามาก ส่วนหนึ่งของพลังข้าใส่ไว้ในกำไลที่เจ้าสวมอยู่ช่วยให้ห่อหุ้มดวงจิตเปราะบางที่พึ่งข้ามภพข้ามชาติอย่างเจ้าให้มีชีวิตรอดต่อไป พลังนี้ยังช่วยพยุงลมหายใจของเจ้าตลอดหนึ่งปีที่เจ้ายังไม่ฟื้น หลังผ่านความเป็นตายสายเลือดนักเวทย์ในอดีตชาติก็ถูกปลุกทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงสมบูรณ์มากกว่าคนทั่วไป”“กำไลไม้มีพลังวิญญาณแถมยัง.. ปลุกสายเลือดนักเวทย์ พี่สะใภ้เรื่องมันชักจะวุ่นวายไปหน่อยหรือไม่ นักเวทย์เชียวนะเจ้าคะข้าไม่ชอบความวุ่นวายท่าน.. ท่านเอามันออกไปได้หรือไม่” ฉันกลายเป็นคนมีของดีโดยไม่รู้ตัวเลยต้องมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง แต่ว่าชีวิตที่สงบสุขหลายปีมานี้จะหายไปเพราะมันหรือไม่ หากมีคนรู้จักเกิดสิ่งใดขึ้น คงหาว่านางเป็นปีศาจแล้วจับเผาหรืออยากจับไปเป็นหนูทดลอง“วางใจเถิดหากเจ้าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้ ยังไงสุดท้ายก็มีชีวิตเหมือนมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีสายเลือดนักเวทย์ การไม่ได้รับการฝึกฝนมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากสายเลือดนักเวทย์ทำให้ร่างกายเจ้าแข็งแรงและมีกำลังมากกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเฉยๆ”“ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ”“หนึ่งสิทธิ์ต่อหนึ่งชีว
3 ปีผ่านไป บนยอดภูเขาสูงเขียวขจีป่าไม้ร่มรื่นเสียงนกน้อยบินล่องบนท้องนภาเป็นฝูง แสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ส่องสว่างทั่วผืนป่าในยามเย็น หลี่เหมยซินนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์นี้ด้วยรอยยิ้มสดชื่น ดวงหน้างามเปล่งปลั่งดูสดใสแววตาไม่มีความทุกข์ความกังวลใจเหมือนดั่งเช่นอดีตฉันยิ้มรับสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอนนางจึงพยายามหาความสุขให้กับตัวเอง ไม่อยากให้ชีวิตจมปลักอยู่กับความทุกข์ในอดีต ใช้เวลาที่มีอยู่ทำเรื่องที่อยากทำแล้วไม่เสียใจภายหลัง ชีวิตของฉันในเมืองซวงโจวก็ไม่มีอะไรมากเป็นชีวิตเรียบๆ สบายๆ ปัญหาก็มีเข้ามาบ้างเพิ่มสีสันให้ชีวิตไม่น่าเบื่อเกินไป แต่ละวันจะหานู่นหานี่ทำไม่ยอมให้ตัวเองว่างเพราะว่างทีไรคิดถึงใครบางคนทุกที“ว้าย!” หลี่เหมยซินอุทานเสียงดังเกือบหงายหลังตกใจ นั่งอยู่คนเดียวตรงนี้เป็นชั่วยามจู่ๆ ก็มีคนโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ฉันสะดุ้งตัวโยนเกือบตกหน้าผา“ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” หลันเซ่อหรือหนิงเทียนนั่งลงข้างๆ ขณะฉันยังคงลูบอกปลอบขวัญตัวเองพลางมองคนต้นเหตุทำขวัญตนหาย นอกจากโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วจากข่าวที่ได้ยินเหล่าบุปผาราตรีกลับฉางอั
“ได้เบาะแสเขาบ้างหรือไม่” พอเห็นหน้าฮ่าวหรานประโยคแรกที่พูดกับเขาทุกวันนี้คือถามความคืบหน้าการตามหาเว่ยเหยียนเฟิ่ง ฮ่าวหรานก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบเดิมทุกครั้ง“เหมยซินปล่อยวางเถิดพวกเราหาเขาทุกที่แล้วนะ” พลิกแผ่นดินหาเป็นปีกว่าแล้วยังไม่พบเจออะไรเกี่ยวกับบุรุษที่หายไปกลางอากาศ หากยังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะเจออะไรบ้าง“ถ้าท่านเหนื่อย ช่วยตามหาไม่ไหวก็ไม่ต้องทำแล้ว” น้ำเสียงนุ่มไม่มีแววโกรธหรือน้อยใจของคนตรงหน้า แต่อารมณ์หลี่เหมยซินกำลังดิ่งจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ฉันเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่นอนแต่ไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน“ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไร แต่เจ้าต่างหากทำตัวปกติทั้งที่ข้างในใจคิดถึงแต่เขาตลอด ข้าห่วงสุขภาพจิตเจ้านะหลี่เหมยซิน” เขาเห็นแววตาประกายความหวังของนางทุกครั้งที่ถามถึงเรื่องเว่ยเหยียนเฟิ่ง ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและเศร้าหมองลงเมื่อได้รับคำตอบ“ฮ่าวหรานข้าดูแย่ขนาดนั้นเชียวรึ” ที่ผ่านมาฉันก็ทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไม่ได้แสดงความทุกข์ใจต่อหน้าใครทั้งสิ้น“รอยยิ้มของเจ้าไม่ถึงตาด้วยซ้ำ”ฉันสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจยาว “เพราะชี