ร่างบางบนเตียงนอนกว้างขนาดใหญ่หนานุ่มแค่ไหนดูจากรอยยุบระหว่างร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นบนหัวเตียง หญิงสาวพลิกตัวนอนคว่ำมือเรียวสวยคว้าหาหมอนใบใหญ่มาปิดหูก่อนปัดนาฬิกาที่ส่งเสียงรบกวนเวลาพักผ่อน
งืดดด~
คลื่นสั่นของโทรศัพท์ไอโฟนที่ปิดเสียงไว้ดังขึ้นบนโต๊ะเตี้ยติดหัวเตียงหลังเจ้าเสียงนาฬิกาปลุกถูกปิดได้ไม่นาน หญิงสาวจำต้องรับสายทั้งที่ไม่ได้ดูชื่อคนโทร
“ฮัลโหล” น้ำเสียงหวานติดง่วงนอน เพราะพึ่งตื่นทั้งยังนอนไม่อิ่มอีกด้วย
‘พระอาทิตย์ส่องหน้าแล้วป่ะ นี่แกยังไม่ตื่นอีกหรอว่ะ’ ปลายเสียงบ่นใส่คนสะลึมสะลือยังไม่ลุกขึ้น หรือลืมตาไม่สังเกตผ้าม่านสีดำปิดหน้าต่างในห้องหมดแล้วจะมีแสงที่ไหนส่องผ่านมายังหน้าสดของฉันได้ล่ะ
“มีไร” เสียงอู้อี้เพราะฉันเอาหน้าไปมุดหมอนใบใหญ่
‘ถามมาได้ก็วันนี้พวกเรามีทริปบินไปจีนสำหรับโปรเจกต์งานใหม่ที่จะเริ่มเดือนหน้าไงแก~’ ปลายเสียงพูดลากยาวใส่ฉัน
“ไปจีน? โปรเจกต์?” เงยหน้าขึ้นมาคิดทบทวนคำพูดเพื่อนสาวปลายสาย ก่อนดีดตัวลุกขึ้นอย่างไวเปิดหน้าจอโทรศัพท์ดูเวลา 09:00น. แล้ว! ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้าง รีบกระโดดลงจากเตียงใช้เพียงห้าก้าวเท่านั้นก็เข้าถึงห้องน้ำแต่สุดท้ายวิ่งกลับมาเอาเสื้อผ้าในตู้ด้วยความรีบร้อน
‘ใยรินฟังอยู่ไหมเนี่ย ใยริน!’ ฉันเปิดลำโพงไว้ได้ยินเสียงเพื่อนสาวจากโทรศัพท์บนเตียงรีบคว้าติดมือเข้าห้องน้ำ
“เอ่อ ๆ รีบอยู่ แกจะให้ฉันไปรับใช่ป่ะ”
‘ไม่อ่ะวนไปวนมาเสียเวลาเดี๋ยวตกเครื่องกันพอดี เจอที่สนามบินก่อนเที่ยงหน้าร้านเบเกอรี่ทางเข้าประตู 6 นะ’
“เค” ฉันกดตัดสายแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวให้ทันเวลา
ฉันชื่อใยรินอายุ 24 ปีหลังคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ป้าโรสรับฉันมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กอาศัยอยู่กับป้าโรสคนสหรัฐ เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของฉันเอง ป้าโรสเปิดร้านอาหารที่ประเทศไทยมากกว่ายี่สิบปี ใจดี อ่อนโยนและรักฉันเหมือนลูกหลานแท้ ๆ
ฉันเลือกใส่เสื้อแขนยาวคอเต่าสีเทากางเกงสีดำขายาว ถึงตาตุ่ม ฉันนั่งอยู่หน้ากระจกบนโต๊ะเครื่องสำอางแต่งหน้าบาง ๆ ด้วยเหตุผลหนึ่งข้อสามคำคือไม่มีเวลา โชคดีที่สองวันก่อนเตรียมกระเป๋าเดินทางไว้เรียบร้อยแล้ว
ฉันลากกระเป๋าเดินทางมาที่หน้าประตูห้องก้มสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ชั้นวางเล็ก ๆ ข้างประตู ขณะที่กำลังจะออกจากห้องก็นึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบกุญแจรถกับเสื้อกันหนาว พอได้กุญแจก็ไม่รอช้าเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มสไตล์เกาหลีพาดแขนขวา จากนั้นล็อกประตูลากกระเป๋าลงลิฟต์ทันที
ฉันขับรถจากคอนโดมาสนามบิน A กว่าจะถึงใช้เวลาไปชั่วโมงครึ่ง ที่นี่มันกรุงเทพรถติดไฟแดงเยอะเป็นธรรมดา เพราะงี้ถึงต้องรีบกลัวไม่ทันเครื่อง
“ฝ้าย” ฉันเห็นฝ้ายยืนเล่นโทรศัพท์รออยู่เลยเรียกหล่อนพลางวิ่งลากกระเป๋าไปหา
“เร็ว ๆ เลยเหลือเวลาอีก 45 นาทีเอง” ฝ้ายพูดพลางยื่นมือมาช่วยรับสัมภาระอื่น ๆ แล้วลากกระเป๋าของตัวเองเดินนำหน้าฉัน
“เดี๋ยวดิฉันซื้อขนมปังก่อนยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” มาถึงที่ยังไม่ทันได้หายใจ ข้าวก็ไม่ได้กินเดี๋ยวฉันได้หิวตายบนเครื่องแน่
“ฉันซื้อเผื่อให้แกแล้วอยู่ให้กระเป๋าถึง GATE แล้วค่อยกินก็ได้” ฝ้ายลากทั้งคนและกระเป๋าไปเข้าแถวที่จุดตรวจสัมภาระ ตอนเก็บของฉันดันซุ่มซ่ามขณะหยิบกระเป๋าสะพายข้างของตัวเองอยู่ดีๆ สมุดเล่มสีน้ำตาลเข้มหนังสัตว์ก็ตกหล่นพื้นระเนระนาดฝ้ายที่นำไปก่อนแล้วย้อนกลับมาช่วยฉันเก็บของ
ขณะนั้นจู่ ๆ ฉันเองก็รู้สึกหน้ามืดกระทันหันอาจเป็นเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนมา ทว่าในหัวก็เกิดเห็นภาพผู้หญิงสวมชุดจีนยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางหิมะขณะที่เธอกำลังหันมาหาฉันยังไม่ทันจะเห็นใบหน้าภาพก็ตัดไปซะก่อนแทนด้วยเสียงผู้ชายพูดภาษาจีนดังก้องในหัวจนฉันต้องกุมขมับ
เขาพูดไม่หยุดน้ำเสียงเขาคล้ายเสียใจอย่างหนักและขอร้องไม่ให้ใครสักคนที่เขาพูดถึงอยู่จากเขาไป แต่มันเรื่องอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกเพราะไม่เก่งภาษาจีนรู้คำงู ๆ ปลา ๆ ที่สำคัญตอนนี้โคตรปวดหัวตุบ ๆ เหมือนเป็นไมเกรนเลย อย่างกับเส้นเลือดสมองจะแตก
“ใยริน! ใยรินแกเป็นอะไรไหม” ฝ้ายจับไหล่เบา ๆ ฉันถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ฉันรู้สึกดีขึ้นหลังได้ยินเสียงฝ้ายเรียกหา
“อือไม่ ไม่เป็นไร” ฉันส่ายหน้ารับสัมภาระอย่างกระเป๋าสะพายที่ฝ้ายถือให้อยู่คืน สีหน้าฝ้ายดูกังวลกับอาการปวดหัวเมื่อครู่ของฉันมาก
“แต่เมื่อกี้หน้าแกซีดมากเลยรู้ป่ะ เนี่ยตอนนี้ยังซีดดูไม่น่า โอเครนะ” ฝ้ายพูดพร้อมสำรวจใบหน้าเพื่อนสาวพลางเอามือแนบหน้าผากฉันวัดไข้
“หิวข้าวไง ไปกัน” ฉันยกเรื่องกินมาอ้างเพื่อตัดบทสนทนาฉันปัดมือฝ้ายออกเดินลากกระเป๋าไปที่ GATE ไม่สนใจเพื่อนสาวที่เป็นห่วงตัวเองสักนิด
ในที่สุดภาพวาดก็เสร็จสมบูรณ์หลี่เหมยซินยิ้มแก้มปริ พับกระดาษเป็นรูปจรวดพลางออกแรงโยนใส่เฉิงเซ่อนิดเล็กให้บินไปหาเขาระยะใกล้ “เสร็จแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะกัน ไว้ข้าจะไปอุดหนุนร้านท่านนะเฉิงเซ่อ”“เจ้าไม่เอาไปใช้วันนี้เลยรึ” ยื่นดินสอให้นาง“ไม่แล้ว ไว้ซื้อกับเจ้าวันเปิดร้านดีกว่า” คือฉันจะหาเรื่องออกจากจวนมาสืบข่าวและตามเก็บหลักฐานที่จำได้ในอดีตชาติเพิ่มเติม วันนี้ได้ข่าวของประมุขพรรคฮ่าวหรานผู้มีบุญคุณกับฉัน“กล่าววาจาห้ามคืนคำ” นัยน์ตาคู่คมประกายสีส้มเหลือบมองนางลุกขึ้นจากเก้าอี้เตรียมใส่หมวกคลุมหน้า“แน่นอน” พลางยกมือขึ้นบาย เฉิงเซ่อยกมือหนาของเขาขึ้นเองทำตามได้เป็นอย่างธรรมชาติเหมือนเขาทำบ่อย“ฝนยังไม่หยุดตกเจ้าจะรีบกลับทำไมประเดี๋ยวโดนฝนก็ไม่สบายอีก” น้ำเสียงราบเรียบติดอาลัยอาวรณ์ของเหยียนเฟิ่งกล่าวพลางจับแขนรั้งตัวนางไว้แน่นหนา“หม่อมฉันก็เป็นแบบนี้แหละเพคะไม่สบายกายไม่สบายใจยามเข้าใกล้พระองค์สักเท่าไหร่” ตอบกลับแบบไม่เกรงกลัว ก็ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหนแต่ก็พลั้งปากไปแล้วนิ“ข้าพูดดี ๆ กับเจ้า เหตุใดจึงตอบอย่างไม่ไว้หน้าข้าบ้าง” เสี
“ไม่” ฉันตอบเสียงเรียบ "ข้ามีสหายเก่ง ๆ กันทั้งนั้นแหละ ไม่แปลกใจสักนิด"“เอ่อ.. คุณชายหากท่านไม่ติดขัดอะไรข้าอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับหอวิหคราตรี ท่านพอจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่เจ้าคะ” เสียงหวานถามบุรุษอาภรณ์สีส้มอ่อน“แม่นางกล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเป็นแค่พ่อค้าพเนจรที่บังเอิญพบสถานที่งดงามอย่างหอวิหคราตรี เห็นแววสินค้าตนจะเจริญรุ่งเรืองหากลงทุนที่แห่งนั้น จึงทำข้อตกลงทางการค้ากับเจ้าของหอวิหคราตรีเท่านั้น”หลี่เหมยซินคิ้วกระตุก ข้อตกลงรึ? เป็นประโยคปฏิเสธทางอ้อมค้อมได้ดี ใคร ๆ ก็รู้ว่าเรื่องข้อตกลงหรือเงื่อนไขของหอวิหคราตรีต้องเป็นความลับห้ามผู้ใดรู้เป็นอันขาดเป็นสถานที่ที่ขนาดเชื้อพระวงค์ยังไม่กล้าแตะต้อง เฉิงเซ่อช่างมีไหวพริบเล่นเอาหม่าฉวี่หลินเงิบไปเลย“เจ้าของหอวิหคมีสายตาที่เฉียบแหลมมากถึงได้ยอมทำการค้ากับสหาย” พลางส่งซิกให้เฉิงเซ่อ ทว่าเขาก็ไม่รับคำชมที่ตนสามารถนำสินค้าไปขายในหอวิหคราตรีได้“หึ เจ้าก็ทำได้มิเลวเลยด้วย” มือหนายกชาขึ้นจิบพลางสบตาหลี่เหมยซินสหายใหม่ มองลึกเข้าไปนัยน์ตาสีดำประกายสีส้มนั่นซ่อนเรื่องราวไว้มากมายยากคาดเดาว่าประโย
เปรี้ยง! ครานี้ของจริงสายฟ้าผ่าลงมากลางเมืองหลวงแคว้นเว่ยแต่ไม่ได้สร้างความเสียหายใดต่อบ้านเมือง แต่มันผ่าเส้นความอดทนของหลี่เหมยซินซะงั้น นางพยายามควบคุมสติไม่ให้มือที่ถือดินสอร่างภาพอยู่เขวี้ยงใส่หน้าหม่าฉวี่หลิน สตรีที่มาพร้อมสหายเก่าพวงตำแหน่งว่าที่คู่หมั้นดูมัน! พอเหยียนเฟิ่งนั่งลงแทนที่เจ้าตัวจะนั่งฝั่งตรงข้ามนางกลับเดินเข้าหาเหยียนเฟิ่งแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าตนซับหยาดฝนบนใบหน้าของบุรุษ ส่วนคนโดนบริการก็นั่งนิ่งปล่อยผ่าน โอ้ยยัยนี่มันน่าตบสักที อะไรจะสวีทกันปานนั้น ไปหวานกันไกล ๆ ตาข้าไม่ได้รึ‘เว่ยเหยียนเฟิ่ง! ท่านคือคนที่สวรรค์ส่งมาทดสอบความอดทนของข้ารึ’ ฉันรู้สึกคัดไม้คัดมืออยากกระชากหัวหม่าฉวี่หลินที่ทำตัวสนิทสนมกับว่าที่คู่หมั้นผู้อื่นได้ออกหน้าออกตา น่าหมั่นไส้จริง แต่ต้องเก็บความแค้นไว้ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เดี๋ยวเสียแผนหมดใจเย็น ๆคดีตกน้ำตกท่ายังไม่เคลียร์อยากจะสร้างคดีเพิ่ม หลี่เหมยซิน คนนี้ก็ไม่ติดขัดพร้อมฟาดเสมอ แต่ท่องไว้เพื่อท่านพ่อท่านแม่เพื่อครอบครัวเพื่อชีวิตสงบสุขในอนาคต เย็นไว้ พอฉันข่มความเดือดดาลไว้ข้างในได้ก็หันไปยิ้มน้อยพร้อมยักคิ้วให้เฉิง
“ข้าเดาเอาน่ะ” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยได้อย่างเชี่ยวชาญโดยการใช้เรื่องเจรจาการซื้อขายแทน กระทั่งหลี่เหมยซินถามนามของเขา“เรียกข้าว่า ‘เฉิงเซ่อ’ ก็ได้สหายข้าชอบเรียกกันเช่นนั้น” เขากล่าวทั้งหัวเราะเมื่อนึกถึงสหายของตนกับชื่อเรียก“เฉิงเซ่อแปลว่าสีส้ม เหมาะกับดวงตาของท่านที่ประกายแสงสีส้มจริง ๆ เจ้าค่ะ” พอฉันพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เกาหลังหัวคล้ายเขินกับคำชมของฉัน อะไรก็แค่พูดตามความจริงนะดวงตากลมมองโดยรอบจากนั้นฉันก็กวักมือเรียกเขาโน้มตัวยื่นหูมาใกล้ ๆ หน่อย กระซิบเสียง “ส่วนข้านามว่าหลี่เหมยซินเจ้าค่ะ”เฉิงเซ่อเขามองฉันใช้ผ้าขาวบางปกปิดครึ่งใบหน้าหัวคิ้วข้างซ้ายมีรูปดอกเหมยสีแดงติดอยู่ เฉิงเซ่อคล้ายจะตีความช้าไปนิด เขามองนางนิ่งก่อนเบิกตากว้างหลังตีโจทย์ปัญหาได้ “เจ้า..”“ตามนั้นเจ้าค่ะ” ฉันผู้ไม่มีอะไรจะเสียเรียกว่าก่อนออกจากจวนได้ทาปูนหนาชั้นกันหน้าบาง ๆ ไว้พร้อม ถามว่าอายไหมก็นิดหนึ่งแต่รู้สึกตลกตัวเองมากกว่าที่มีชื่อเสียงในด้านติดลบแบบไม่ธรรมดา“ท่านจะเลิกคบเป็นสหายข้าก็ไม่ว่า แต่ข้าในฐานะ
“แม่นางข้าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่” เสียงนุ่มทุ้มเรียกความสนใจฉันออกจากบทสนทนาของกลุ่มสตรีข้างโต๊ะฉันหันตามเสียงเรียกเงยหน้าขึ้นพบบุรุษร่างสูงผอมบางอายุราว ๆ ยี่สิบปีต้น ๆ เขาสวมใส่อาภรณ์สีส้มอ่อนไร้ลวดลาย ใบหน้าคมเลิกคิ้วรอคำตอบ“คือที่นั่งในร้านอาหารเต็มหมดแล้ว ข้างนอกฝนตกหนักข้าขอนั่งรอฝนหยุดด้วยคนก็เท่านั้น”“อ๋อ เชิญเจ้าค่ะ” ผายมือข้างซ้ายเชิญให้นั่งฝั่งตรงข้าม“ขอบคุณ”เมื่อเกิดความเงียบบนโต๊ะตัวเองแล้ว บทสนทนาของสตรีข้างโต๊ะไม่ไกลมากนักจึงได้ยินชัดเจน‘เจ้าก็พูดได้สิ เจ้าไม่เคยเห็นนางตบตีกับคุณหนูในห้องหอจวนอื่นจนเลือดสาด’‘นางน่ะร้ายกาจที่สุดในแคว้นแล้ว เวลาเกิดเรื่องหยิบจับอะไรก็เป็นอาวุธได้หมด หากไม่หยิบนางก็สามารถทำให้สตรีผู้นั้นฟกช้ำด้วยสองมือหรือสองเท้าของนางเอง น่านับถือหรือไม่’‘วรยุทธนางล้ำเลิศแต่ควรมีสติมากกว่านี้ ตอนข้าซื้อของในตลาดข้าเห็นนางใช้ปิ่นปักผมกรีดใบหน้างาม ๆ ของคุณหนูผู้หนึ่ง ภายหลังได้ยินว่าดีที่แผลไม่ลึกจึงไม่เสียโฉมมานัก’ประโยคกึ่งด่ากึ่งชมของพวกนางทำเอาฉันแทบกลั้นขำไม่อยู่ สงสัยแผลเ
ซ่าา ซ่าา ปรายตามองเสียงสายฝนพร้อมสายลมพัดเข้ามากระทบขอบหน้าต่างเล็กน้อย น้ำฝนข้างนอกถูกสายลมพัดเข้ามาเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ กระทบใส่ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมสีขาวบางที่ปลิวไสวตามลมตลาดแคว้นเว่ยเมื่อครู่ยังครึกครื้นอยู่เลย ตอนนี้ผู้คนต่างวิ่งหาที่หลบฝนตกกะทันหันทั้งที่วันนี้ช่วงเช้าท้องฟ้ายังแจ่มใส ช่วงบ่ายกลับมีฝนตกลมกระโชกแรงอย่างคาดไม่ถึง‘ข้าไม่ทำการค้าขาดกำไร หลังเจ้ารู้ผลประโยชน์ที่ตนได้รับแล้ว ต้องทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง’“ทุกอย่างหรอ ข้าจะโดนหลอกไหมเนี่ย” หลี่เหมยซินเหม่อลอยมองท้องถนนข้างล่างที่เริ่มไร้ผู้คนเพ่นพ่านผ่านม่านสายฝน ไม่รู้ตัวว่าอาอิงนั้นรีบปิดหน้าต่างนานแล้วเพราะเห็นลมแรงกลัวคุณหนูไม่สบายหลังจากออกมาจากหอวิหคราตรี เดิมเรื่อย ๆ มาจุดนัดพบที่เหล่าอาหารไม่ไกลมานัก จู่ ๆ ท้องฟ้าเกิดเมฆครึ้มสายฝนตกลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ต้องนั่งรอฝนหยุดก่อนเพราะเดี๋ยวอาการป่วยคุณหนูจะกำเริบ“เสื้อคลุมเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่สบายนะเจ้าคะ” นางกล่าวพลางเอื้อมมือคลุมเสื้อให้นายสาวอย่างเบามือ ก่อนรินน้ำชาร้อนให้ด้วย&
สตรีผู้เป็นเจ้านายของท่านลุงเดินตรงมาที่ฉัน ดวงตาสีน้ำเงินดังรัตติกาลห้วงลึกล้ำสบตาฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่งคล้ายยิ้มก็ไม่ยิ้ม นางกล่าวเสียงเรียบกับท่านลุงทั้งยังไม่ละสายตาจากฉัน“ลุงจินลงไปจัดการปัญหาที่ชั้นสามเถิด ส่วนสองคนนี้ข้าจะสานต่อเอง”ท่านลุงรับคำสั่งอย่างว่าง่ายคำนับนางอีกครั้งแล้วไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย สตรีผู้นี้พิกลเสียจริงทั้งที่นางลงมาจากชั้นหกกลับบอกว่าชั้นสามมีปัญหาท่านลุงก็เชื่อนัยน์ตาประกายสีน้ำเงินของสตรีเจ้าของหอเปลี่ยนไป ก็ไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนยังไง แค่รู้สึกว่าเมื่อกี้ตอนสบตานางอย่างกับถูกมนต์สะกด รู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยพบกันมาก่อนเจ้าของหอปรายตามองทั้งสองคนที่เข้ามาในฐานะลูกค้า ก่อนกล่าวพลางเดินขึ้นบันไดทางที่ตนพึ่งมา “เจ้าตามข้ามา”ระหว่างเดินตามสตรีเจ้าของหอไปชั้นหกนางทำท่าจะเปิดประตูห้องทว่าก็หันมาสบตาใต้หน้ากากกับพวกเรา “ข้าหมายถึงให้นางตามมาคนเดียว”“?” ฉันเลิกคิ้วหันไปมองบุรุษร่างสูงข้างกาย เขายังคงมีท่าทีสงบนิ่ง เจ้าของหอเดินไปที่ระเบียงตะโกนเรียกคนจาก
“ตั๋วเงินสามร้อยตำลึงทอง ตราวิหค”หลี่เหมยซินเบิกตากว้างยังดีที่หมวกคุมใบหน้างามตกตะลึงไว้อยู่ ลอบมองบุรุษร่างสูงมาใหม่ด้วยอารมณ์หลากหลายเขาก็สวมหมวกคลุมหน้าสีดำเช่นเดียวกับนาง ก่อนที่หลี่เหมยซินจะออกปากว่าเขาไร้มารยาท ท่านลุงก็ตอบกลับไวกว่านาง“บัตรเข้าร่วมชิงหมดแล้วขอรับ” ท่านลุงพูดได้ถูกใจฉันมาก มันหมายความว่าถึงฉันจะจ่ายน้อยกว่าท่านลุงเก็บบัตรใบสุดท้ายไว้ให้ฉันแล้วแม้จะยังไม่ลงนามทำสัญญา“ใบสุดท้ายยังไม่ถูกขาย คนผู้นี้ยังไม่ได้จ่ายค่าบัตรให้เจ้ามิใช่หรือ” เขาพูดเสียงเย็น“ใช่ขอรับ แต่อยู่ในขั้นตอนการตกลงกันอยู่ถือว่าท่านนี้มีสิทธิ์ซื้อก่อนขอรับ เว้นแต่จะถูกยกเลิก” ความอ่อนน้อมถ่อมตัวยังมีล้นเหลือ“ข้าวางเงินแล้วจำนวนเยอะกว่าหลายเท่าในข้อตกลง เจ้ากลับไม่สนใจว่าหอวิหคราตรีจะได้กำไรมากกว่า”“สามร้อยตำลึงทองของท่านทางหอวิหคราตรีจะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านจะแพ้หรือชนะในวันชิงตราวิหคต่างหากขอรับ ต่างจากท่านผู้นี้ที่จ่ายเพียงสิบตำลึงเงินต่อให้แพ้หรือชนะทางหอวิหคราตรีของเราก็ได้รั
ชายวัยกลางคนเดินกลับมาแจ้งให้ฉันทราบเกี่ยวกับสินค้าที่สั่ง “ท่านโชคดีมากเลยขอรับที่ได้บัตรเข้าร่วมชิงตราวิหคเป็นใบสุดท้าย ราคาอยู่ที่สามร้อยตำลึงทองขอรับ”สามร้อยตำลึงทอง! ไม่ใช่คนทั่วไปไม่สนใจแล้ว แต่เป็นเพราะราคามันแพงเกินไปต่างหาก “ท่านลุงเหตุใดราคาตั๋วจึงสูงถึงเพียงนี้”ชายวัยคนกลางเห็นฉันตกตะลึงจนกะพริบตาปริบ ๆ มองบัตร สีเงินที่ใช้เข้าร่วมชิงตราวิหค จึงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เช่นนั้นท่านจงตอบก่อนว่ารู้จักตราวิหคของหอแห่งนี้มากน้อยเพียงใดขอรับ”ฉันจำได้ว่าอดีตชาติประมุขฮ่าวหรานบุรุษที่เคยช่วยชีวิตจากกองไฟในอดีตชาติ เขามอบตราวิหคให้ฉันเพื่อใช้หาหลักฐานเอาผิดคนชั่วที่ใส่ร้ายครอบครัวฉัน เพียงแค่นำตรานี้ไปยื่นที่หอวิหคราตรีแล้วกล่าวสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้นหากได้รับอนุมัติจากเจ้าของหอสิ่งที่ขอก็จะมาอยู่ในมือ แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็จะสูญเสียตราวิหคโดยไม่ได้อะไรกลับคืนชายวัยกลางคนเห็นลูกค้าเงียบไปนานสองนานจึงกล่าวให้กระจ่างเกี่ยวกับสินค้าชิ้นนี้ “ตราวิหคหนึ่งปีมีเพียงชิ้นเดียวนายท่านของข้าน้อยก็คือเจ้าของหอผ