ตำหนักเล็กหลังเรือนบัดนี้ดูแคบลงถนัดตาเมื่อมีข้าวของเครื่องใช้ของลี่อินเข้ามาเพิ่มเติม หากแต่นั่นก็ทำให้ปิงเซียงรู้สึกอุ่นใจที่บัดนี้จะมีเจ้านายคอยปกป้องและดูแลท่านหญิงตัวน้อยของนางแล้ว
“ปิงเซียง เจ้าไปตามช่างฝีมือมาซ่อมแซมตำหนัก และไปหาสาวใช้มาเพิ่มอีก เราคงต้องอยู่จวนอ๋องอีกนานกว่าข้าจะคิดหาวิธีได้”
“เพคะพระชายา”
ลี่อินใช้สินเดิมของตนในการปรับปรุงตำหนักหลังเล็กนี้เสียใหม่
แม้ตำหนักหลังนี้จะหนาวเหน็บ หากแต่เมื่อกำจัดต้นไม้ที่ขึ้นรกทั่วตำหนักออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาบ้างอากาศรอบตำหนักก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย ลี่อินยังสั่งให้คนสวนปลูกดอกไม้ไว้หน้าจวนจะได้ทำให้ตำหนักที่ดูน่ากลัวหลังนี้มีสีสันมากขึ้น อี้หนิงเด็กหน้อยวัยขวบเศษชื่นชอบดอกไม้ไม่น้อยแววตาเศร้าหมองของนางกลับดุสดใสขึ้น เด็กน้อยที่พึ่งหัดเดินคลานเล่นไปทั่วล้านหน้าตำหนัก ทำเอาปิงเซียงต้องคอยเดินตามจนเหนื่อยล้า ลี่อินนั่งมองหลานรักที่ร้องอ้อแอ้อย่างอารมณ์ดีในใจของนางก็อบอุ่นหัวใจขึ้น
ด้านหยางหมิงที่ยุ่งอยู่กับการฝึกทหารในกองทัพชานเมือง เมื่อกลับเข้าจวนก็พบว่าเสวี่ยหนิงย้ายของเข้าตำหนักตะวันออกเรียบร้อยแล้ว ตำหนักที่ร้างเจ้าของมาสองปี บัดนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง!” เสวี่ยหนิงตกใจ เมื่อเห็นหยางหมิงจ้องมองนางอยู่หน้าตำหนัก
“ข้าเห็นพระชายากำลังปักผ้าอยู่เลยไม่กล้าเรียก” หยางหมิงคลี่ยิ้มก่อนเดินเข้าไปนั่งข้างนาง
“หม่อมฉันปักสายคาดเอวในพระองค์ ดูสิเพคะสวยหรือไม่”
“ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องความประณีตของงานปัก แต่หากเป็นเจ้าทำทุกอย่างสวยหมดสำหรับข้า” แววตาอบอุ่นส่งไปยังเสวี่ยหนิง
“ท่านอ๋องกล่าวชมเกินไปแล้ว” เสวี่ยหนิงก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“พรุ่งนี้ต้องเข้าไปถวายพระพรฝ่าบาทกับฮองเฮา เจ้าเตรียมตัวให้ดีเถอะ” หยางหมิงยื่นมือสัมผัสสายคาดเอวในมือนาง พลางโน้มตัวเข้าใกล้นางมากขึ้น
“แล้วพระชายาเอกล่ะเพคะ” เสวี่ยหนิงเอ่ยถาม
“บอกเจ้าแล้ว ให้เรียนนางตามศักดิ์เดิมพระชายาของข้ามีเพียงเจ้าคนเดียว” หยางหมิงทำหน้าดุ
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว” แม้ใบหน้าที่สื่อออกมาจะเศร้าสร้อยเพราะรู้สึกผิดหากแต่ในกลับยิ้มดีใจ นางที่ต่ำศักดิ์บัดนี้สามารถเอาชนะลี่อินผู้เปรียบเสมือนดวงใจของฮองเฮาได้แล้ว
“แล้วองค์หญิงสามจะทำเช่นไร หากพระชายารัชทายาทพบนางเข้า”
“นั่นเป็นสิ่งที่พี่สาวนางทำไว้ ก็ให้นางหาวิธีเอง” หยางหมิง
กลับมานั่งตัวตรง เขาไม่ชอบใจที่ต้องกล่าวถึงเรื่องในอดีต
ชินอ๋องออกจากตำหนักตะวันออก ก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักเล็กหลังจวน อย่างไรเสียก็ควรบอกนางด้วยตัวเองไม่เช่นนั้นจะถูกหาว่าเป็นคนเลือกที่รัก มักที่ชังเอาได้
เมื่อเข้าเขตตำหนักเล็กกลับได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาแต่ไกล แลสวนของตำหนักก็ดูมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากตำหนักตะวันออก แต่หากดูเรียบง่าย มองดูผ่อนคลายมากกว่า ดอกไม้ราคาไม่แพงถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้พวกมันดูสวยงามไม่แพ้พืชพันธุ์ราคาแพงในตำหนักเสวี่ยหนิง
อี้เฉาที่มองเห็นท่านอ๋องกำลังเดินมาจึงรีบเข้าไปแจ้งลี่อินให้เตรียมรับมือ
“พระชายา ท่านอ๋องเสด็จมาเพคะ”
ลี่อินที่กำลังป้อนขนมอี้หนิงอยู่หยุดชะงักในทันที นางรู้เพียงว่าตั้งแต่วันที่นางย้ายออกจากตำหนักตะวันออก เขาก็ออกไปตรวจกองทัพชานเมือง ไม่รู้ว่าบัดนี้เขากลับมาแล้ว
“ปิงเซียง พาอี้หนิงไปเล่นในห้องนางก่อน” ลี่อินกล่าวพลางยื่นเด็กน้อยให้ปิงเซียงรับไป
เพียงครู่คล้อยหลังที่นางกำนัลถอยออกจากห้องโถง หยางหมิงก็ก้าวเข้าธรณีประตูมา
“ถวายพระพรท่านอ๋อง” ลี่อินใบหน้าไร้อารมณ์ยอบกายถวายพระพร
“องค์หญิงสามตามสบาย”
“ที่นี่ดูน่าอยู่ขึ้นนี่”
หยางหมิงมองดูรอบ ๆ ตำหนักที่บัดนี้สะอาดหมดจด หน้าต่างถูกซ่อมแซมเสียใหม่ เครื่องเรือนราคาแพงลายเรียบง่ายถูกจัดวางประดับตำหนักให้ดูโอ่อ่า
“ขอบพระทัยที่ทรงชมเพคะ ท่านอ๋องจะดื่มชาหรือไม่” ลี่อินทำหน้าที่เจ้าของตำหนักที่ดี
“ไม่ต้อง ข้าแวะมาบอกเจ้าแล้วก็จะกลับ วันพรุ่งยามเหม่าเจ้ากับเสวี่ยหนิงต้องเข้าวังพร้อมข้า เพื่อถวายพระพรฝ่าบาทกับฮองเฮา”
กล่าวจบหยางหมิงก็หันหลังกลับ หากแต่เขาหยุดเดินก่อนจะมีคุณธรรมเตือนนาง
“พรุ่งนี้เจ้าอาจจะต้องเผชิญหน้ากับรัชทายาทและพระชายา จงเตรียมตัวให้พร้อม”
“ขอบพระทัยที่ทรงเตือนเพคะ” ลี่อินมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้าง แม้นางจะไม่ใส่ใจกับคำพูดของผู้อื่น หากแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสองแคว้น นางจำเป็นต้องจัดการให้ดี
ยามเหม่ารถม้าของชินอ๋องรั้งรออยู่หน้าจวน ลี่อินไม่กล้าเชื่องช้าเร่ง
อี้เฉาแต่งกายให้นางอย่างรีบเร่ง แม้สาวใช้ข้างกายจะไม่ชื่นชอบชุดที่นางใส่นักแต่ลี่อินกลับไม่สนใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากตำหนักเล็ก
หากจะออกจากจวนทางประตูใหญ่อย่างไรเสียก็ต้องผ่านตำหนักท่านอ๋อง ประจวบเหมาะกับหยางหมิงอ๋องออกมาจากตำหนักพอดิบพอดี
นั่นทำให้ลี่อินแปลกใจไม่น้อยที่เขาออกมาจากตำหนักของตน แทนที่จะเป็นตำหนักของเสวี่ยหนิง
“คารวะท่านอ๋องเพคะ” ลี่อินกล่าวทักทาย
หยางหมิงหันมองสตรีเบื้องหน้า ชุดต้าสิ่วซานเรียบง่ายที่นางสวมใส่กลับทำให้สตรีผู้นี้ดูโดดเด่น ชุดสีไข่มุกปักลายดอกโบตั๋นทำให้นางดูบริสุทธิ์เหนือสตรีใดในใต้หล้า ผมที่รวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่ายบ่งบอกถึงความอ่อนเยาว์ของนาง สายตาหยางหมิงจับจ้องใบหน้างามที่ยังก้มคารวะ ขนตางอนยาวรับกับดวงตากลมโต จมูกได้รูปทำให้ริมฝีมากชมพูระเรื่อนั้นดูน่าหลงใหลยิ่งนัก หยางหมิงตกอยู่ในภวังค์อย่างอยากจะถอนตัว
“หม่อมฉันลุกขึ้นได้หรือยัง” ลี่อินที่ยอบกายนานจนปวดขา กล่าวขึ้น
“อือ ลุกขึ้นได้” หยางหมิงกระแอมไล่ความน่าขายหน้า ก่อนจะทำเมินเฉยเดินนำหน้านางออกจากจวน
“ท่านอ๋องเพคะ” เสียงหวานของเสวี่ยหนิงดังขึ้น ทำให้ลี่อินที่กำลังจะขึ้นรถม้าอดหันกลับไปมองไม่ได้
เสวี่ยหนิงที่อ่อนหวานในสายตาของหยางหมิงสวมต้าสิ่วซานสีแดงฉานลายหงส์สีทอง ผมที่เกล้าขึ้นเป็นมวยอย่างประณีต ถูกปักด้วยปิ่นทองมากมาย นั่นกลับไม่ได้ทำให้หยางหมิงมองแล้วสบายตากลับกันเขาชอบชุดที่เรียบง่ายของลี่อินเสียมากกว่า
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันมาถึงช้า” เสวี่ยหนิงแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าอาภรณ์ของตนอยู่เหนือลี่อินหลายเท่า
“ยังไม่สายพระชายาไม่ต้องขอโทษ ขึ้นรถม้าก่อนเถิด”
“อือ”
เสวี่ยหนิงพยักหน้าตอบ ก่อนจะเบียดลี่อินให้ถอยห่างพลางยื่นมือให้หยางหมิงประคองนางขึ้นรถม้า
หยางหมิงปรายตามองลี่อินที่ถอยหลีกทางให้เสวี่ยหนิงครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับแล้วขึ้นรถม้าตามเสวี่ยหนิงไป
“ให้กระหม่อมช่วยไหมพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินที่มองดูสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนเอ่ยถามลี่อินที่ยังคงยืนอยู่หน้ารถม้า
“อือ”
เย่จินยื่นแขนให้ลี่อินจับเป็นที่ยึดไม่ให้ตกจากรถม้า ก่อนที่ลี่อินจะปล่อยแขนของเขาเมื่อยืนมั่นคงในรถม้าได้ กระนั้นนางกลับได้รับสายตาไม่พอใจของหยางหมิงที่ส่งมาหานาง โดยที่นางเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะเคืองนางเรื่องใดกัน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ