กลางดึกสายลมพัดอ่อน เหล่าดาราประดับเต็มท้องฟ้าชวนให้ผู้คนต้องแหงนมองความงามยามค่ำคืน หลายตำหนักปิดเงียบเข้าสู่ห้วงนิทราหมดแล้ว หากแต่ตำหนักว่านอันของรัชทายาทห้องอักษรยังคงส่องสว่าง บ่งบอกว่าเจ้าของตำหนักยังคงคร่ำเคร่งกับการอ่านฎีกา เสวี่ยหนิงเมื่อคิดหาหนทางอื่นไม่ได้ จำต้องพึ่งความสามารถขององค์รัชทายาทแล้ว
“เสด็จพี่ หม่อมฉันเสวี่ยหนิงขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
เสียงหวานของเสวี่ยหนิงทำให้เจ๋อหานนั่งตัวตรง แม้เป็นพี่น้องร่วมบิดาแต่เขากลับมีใจให้นาง ถึงการแต่งงานร่วมสายเลือดไม่ใช่เรื่องร้ายแรง หากแต่เรื่องนี้ยังคงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก
“เข้ามาเถิด”
“เสด็จพี่ทรงงานอยู่หรือไม่” เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูมาได้
เสวี่ยหนิงก็ปิดประตูห้องอย่างรู้งาน
“อือ ยังมีฎีกาอีกมาก” เจ๋อหานลุกจากโต๊ะเดินมาหานาง
“หม่อมฉันปักสายคาดเอวให้เสด็จพี่ จึงรีบนำมาให้หากช้ากว่านี้เกรงจะไม่มีโอกาสแล้ว” ใบหน้างามดูเศร้าสร้อย
เจ๋อหานเมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านางได้รับคำสั่งตามองค์หญิงใหญ่ไปยังแคว้นเว่ยแล้ว ในใจกลับคล้ายมีเข็มนับพันทิ่มแทงจนเจ็บปวด
“หนิงเอ๋อ ข้าขอโทษที่ไม่อาจทัดทานเสด็จพ่อได้” เจ๋อหานจับสายคาดเอวเพื่อหวังให้สองมือได้สัมผัสมือเรียวของสตรีที่ตนรัก
“จะเป็นความผิดของเสด็จพี่ได้อย่างไร หากฝ่าบาทตรัสแล้วใครจะกล้าขัด” แม้กล่าวเช่นนั้นแต่เสวี่ยหนิงยังคงเศร้าหมอง
“เช่นนั้นข้าจะขอร้องเสด็จพี่ ไม่แน่นางอาจจะยินยอมเราสองบอกความจริงนางดีหรือไม่” สายตาคาดหวังของเจ๋อหานส่งมายังนาง
แต่นั่นกลับทำให้เสวี่ยหนิงตื่นกลัว หากเหมยหลิงรู้เรื่องนี้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามทุกคนในวังต้องรู้ และด้วยนิสัยขององค์หญิงใหญ่นางและมารดามิอาจรอดชีวิตในวังแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน ความโหดร้ายของเหมยหลิงเป็นที่กล่าวขาน แลไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะเห็นชอบกับความรักครั้งนี้ไม่ เช่นนั้นนางจะเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด
“เสด็จพี่อย่าได้วู่วาม พระองค์ก็ทรงทราบว่าองค์หญิงใหญ่ไม่โปรดหม่อมฉันและท่านแม่ เกรงว่าเรื่องนี้จะยิ่งทำให้นางกริ้วมากขึ้นเพคะ”
เจ๋อหานไตร่ตรองตามที่นางกล่าว เรื่องนี้ไม่เกิดจริงด้วยความแค้นของสองครอบครัวพี่สาวตนคงไม่มีวันเห็นชอบ
“เช่นนั้น............เจ้ารอข้าได้หรือไม่ เมื่อข้าได้ครองราชย์ข้าจะพาเจ้ากลับมา แลมอบตำแหน่งชายาของข้าให้กับเจ้า” เจ๋อหานกล่าว พลางดึงมือเรียววางแนบอกของตน
เสวี่ยหนิงไม่พอใจนักกับคำมั่นนี้ของเจ๋อหาน เพราะรัชทายาทไม่ได้สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้กับนาง ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานจึงแข็งกระด้างขึ้นมาชั่วครู่ ถึงแม้โกรธเกรี้ยวแต่นางจำต้องสะกดมันเอาไว้
“อือ หม่อมฉันจะรอ” นางหนิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่ในใจของกลับโมโหแทบระเบิด
เสวี่ยหนิงออกจากห้องอักษรด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามที่นางต้องการแม้แต่น้อย ท่าทางอ่อนหวานที่แสดงต่อหน้าเจ๋อหานบัดนี้กลับแทนที่ด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว แววตาเศร้าสร้อยกลับกลายเป็นแข็งกร้าวในทันที
“ไร้ประโยชน์ อ่อนแอสิ้นดี” เสวี่ยหนิงก่นด่ารัชทายาทไม่เกรงกลัวผู้ใดจะได้ยิน
ข่าวการอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่และชินอ๋องแคว้นฉี ถูกเล่าขานในหมู่ราษฎรทั่วเมืองหลวง ไม่ต่างจากวังหลังบัดนี้วุ่นวายกับการเตรียมสินเดิมให้สมพระเกียรติองค์หญิงใหญ่แคว้นฉี
“ลี่อินเจ้าช่วยแม่ตรวจดูทีว่าของที่เตรียมกับรายการในหนังสือนี่ตรงกันหรือไม่” ฮองเฮายื่นหนังสือรายการสินเดิมให้กับลี่อินตรวจสอบ
“เสด็จพี่เล่าเพคะ” ลี่อินที่ถูกตามมาจากตำหนักให้ช่วยตรวจสอบสินเดิมถามหาพี่สาวด้วยความเป็นกังวล
ฮองเฮาได้แต่เพียงส่ายหน้าเมื่อถูกถามถึงพระธิดาองค์โต หลังจากรู้ว่าต้องแต่งไปแคว้นฉี เหมยหนิงก็ออกไปหาความสำราญยังตำหนักลับนอกวังทุกวี่วัน
“หม่อมฉันจะออกไปตามเสด็จพี่ พรุ่งนี้ขบวนรับเจ้าสาวจะถึงเมืองหลวงแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าแคว้นเว่ยจะไม่พอใจแน่” ลี่อินทูลมารดาพลางวางหนังสือรายการสินเดิมลง
“อือ เช่นนั้นแม่ฝากเจ้าด้วย” ฮองเฮาพยักหน้าคล้อยตาม แม้เหมยหลิงจะดื้อด้านและรับมือได้ยาก แต่หากลี่อินเป็นคนจัดการนางก็วางใจได้
ตำหนักลับของเหมยหลิงตั้งอยู่นอกเมืองหลวงเขาครึ่งลูกนั้นถูกตรวจตราอย่างเข้มงวดจากทหารฝีมือดี หากไม่ได้รับอนุญาตผู้ใดก็ผ่านเข้าไปยังบริเวณตำหนักไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับลี่อินนางมายังตำหนักนี้หลายครั้ง แลทุกครั้งเป็นมารดาขอร้อง
ลี่อินเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวมุ่งไปยังตำหนักลับอย่างคุ้นเคย หากแต่ไปถึงสวนห่างจากตัวตำหนักหลายฉื่อ กลับเห็นปิงเซียงยืนเฝ้าอยู่
“เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่” ลี่อินถามได้ด้วยความสงสัย
“องค์หญิงสาม หม่อมฉัน...” ปิงเซียงหน้าแดงก่ำ ไม่รู้จะใช้คำใดกราบทูลลี่อินดี
เสียงครางอย่างสุดหฤหรรษ์ในกามารมณ์ของชายหญิง ดังลอยมาจากตัวตำหนัก ทำให้ลี่อินต้องมองตามเสียงนั่นแลรู้ว่าเหตุใดนางกำนัลข้างกายต้องถอยมาคอยปรนนิบัติไกลถึงเพียงนี้ หากแต่ลี่อินไม่ได้หยุดรอการ่วมรักของผู้เป็นพี่สาวให้จบลง นางกลับมุ่งตรงไปยังตำหนักโดยที่ปิงเซียงเองไม่กล้าทูลทัดทาน
ภายในโถงรับรองบุรุษรูปงามหลายคนอาภรณ์หลุดลุ่ย เผยให้เห็นอกแกร่งอันน่าหลงใหล คุณชายรูปงามเหล่านั้นบ้างก็คุ้นเคยกับองค์หญิงสามอยู่บ้าง ด้วยว่าเคยมาสร้างความสุขให้องค์หญิงใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีโอกาสได้เชยชมความงามล่มเมืองขององค์หญิงสาม หากจะเปรียบสตรีเป็นบุปผาลี่อินมักถูกยกให้เป็นราชินีของเหล่าบุปผาโดยไม่ต้องกังขา ใบหน้างดงามราวเทพธิดา ดวงตางดงามราวไข่มุก คิ้วโก่งดังคันศร จมูกได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อ อีกทั้งร่างบอบบางที่มีผิวขาวราวหิมะนี้ยากจะให้บุรุษใดอดใจไหว
“องค์หญิงใหญ่กำลังบรรทม องค์หญิงสามรั้งรออยู่ด้านนอกดีหรือไม่ กระหม่อมจะคอยปรนนิบัติพระองค์เอง” บุรุษหน้าหวานที่นางไม่รู้จักชื่อกลับกล้าขวางทาง สายตาจาบจ้วงนั้นจ้องมองนางอย่างไม่คิดปิดบัง
“หากเจ้ายังอยากจะใช้ดวงตาคู่นี้อยู่ จงถอยออกไปซะ” ลี่อินไม่ได้หวาดกลัวกับสายตาที่มองมา สายตาแข็งกร้าวที่จ้องบุรุษเบื้องหน้าบ่งบอกว่านางจะทำเช่นที่พูดจริง
ชายหนุ่มรูปงามจำต้องถอยให้นาง ด้วยอำนาจที่นางมีสามารถสั่งสังหารเขาได้โดยง่าย แม้องค์หญิงใหญ่ออกตัวก็ใช่ว่าจะปกป้องตนได้
ภายในห้องบรรทมเสียงครวญครางยังคงไม่หยุดลง แม้มีผ้าม่านขาวหลายชั้นปกปิดเรือนร่างของชายหญิงบนเตียง หากแต่ยังคงเห็นร่างเปลือยเปล่าของชายหญิงสอดประสานกันได้อย่างเลือนราง ความกล้าของลี่อินหยุดอยู่แค่เพียงประตูหน้าห้องบรรทม
“เสด็จพี่ พระองค์ต้องกลับวังแล้ว”
เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้เหมยหลิงต้องหยุดชะงักการกระทำของตนในทันที
“เจ้าไม่ต้องห่วง เสร็จกิจแล้วข้าจะกลับไปทันการส่งตัวเจ้าสาวแน่” เหมยหลิงรู้ว่าน้องสาวตนมาด้วยเรื่องอันใด
“ชินอ๋องจะเข้าเมืองแล้ว พระองค์คงไม่คิดว่าชินอ๋องผู้บ้าคลั่งจะพึงใจการกระทำนี้ของชายาตนหรอกนะ” ลี่อินยังคงยืนนิ่งหน้าประตู
“ต่อไปข้าต้องอยู่แต่ในจวนเน่า ๆ ของชายผู้นั้นแล้ว ให้ข้าเสพสุขอีกนิดไม่ได้หรือไร” เสียงเหมยหลิงเริ่มเจือด้วยความหงุดหงิด
“หากครึ่งชั่วยามเสด็จพี่ยังไม่เสด็จออกมา เกรงว่าผู้จะตามมาจะเป็นฝ่าบาท แลบัดนั้นคงสมใจคนตำหนักดอกท้อแน่”
สิ้นเสียงของลี่อิน เพียงไม่กี่อึดใจประตูห้องบรรทมก็ถูกเปิดออกพร้อมใบหน้าที่บูดบึ้งของเหมยหลิง
“กลับ!” นางกล่าวเพียงสั้น ๆ ก่อนเดินนำน้องสาวออกจากตำหนักลับ
ลี่อินรู้ดีว่าหากต้องการให้พี่สาวกลับไปกับตนการใช้ตำหนักดอกท้อเป็นข้ออ้างมักได้ผลที่สุด ด้วยนางเห็นความเจ็บช้ำของมารดาที่ได้รับจาก
อันหยา สาวใช้ข้างกายที่ตอบแทนความรักของนางด้วยการทอดกายให้ฮ่องเต้นั้นมันมากมายเพียงใด
รุ่งเช้าขบวนรับตัวเจ้าสาวมาถึงหน้าประตูวังตั้งแต่ยามเหม่า บุรุษในชุดมงคลสีแดงใบหน้าเกลี้ยงเกลาราวเทพเซียนลงจุติ ดวงตาคู่งามดั่งดวงตากวางป่าที่แฝงด้วยความเย็นชา รับกับคิ้วเข้มได้เข้ากันอย่างน่าประหลาด บัดนี้นั่งบนอาชาอย่างองอาจ
หลิวหลัวหลินแม่นมข้างกายฮองเฮา ประคององค์หญิงใหญ่ในชุดสีแดงชาดที่บัดนี้ถือพัดบังใบหน้างามขึ้นบนเกี้ยวเจ้าสาว หากแต่สายตาของชินอ๋องกลับไม่เหลียวมองชายาของตนเพียงนิด ดวงตาลึกล้ำดังมหาสมุทรกลับทอดยาวไปยังเสวี่ยหนิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง สตรีที่เขาหมายอยากให้เป็นพระชายา หากแต่บิดาไม่ยินยอมโดยอ้างความมั่นคงของแคว้น การอภิเษกสมรสกับองค์หญิงสายตรงจะทำให้แคว้นมีความมั่นคง มากกว่าการอภิเษกสมรสกับบุตรตรีของนางกำนัล
ขบวนเจ้าสาวเคลื่อนออกจากวังหลวง มีเพียงแค่ลี่อินที่เห็นความไม่น่าวางใจของการแต่งงานนี้ ชินอ๋องที่ไม่ยอมเชื่อฟังผู้อื่นเช่นนั้นไม่มีวันที่จะยกย่องสตรีอื่นที่ไม่รักแน่ แลด้วยนิสัยของเหมยหลิงเกรงว่าการแต่งงานนี้จะนำความขัดแย้งมาสู่สองแคว้นเสียมากกว่า
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ