“ข้าไม่ยอมรับการแต่งงานนี้แน่” เหมยหลิงกล่าวขัดขืน
คำตอบของผู้เป็นพี่สาวไม่ได้เกินความคาดหมายของลี่อิน หากแต่อย่างไรงานแต่งงานนี้เหมยหลิงก็ไม่อาจขัดได้แน่ ทั้งลี่อินและฮองเฮาต่างเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ผู้ที่ต้องเป็นเจ้าสาวกลับยังยอมรับไม่ได้
“แม่ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อเจ้าจะทำดังที่รับสั่งแน่ เจ้าเองก็อยู่แต่ในวังก่อนเถิด” เสวี่ยฉีไม่เห็นด้วยกับการที่พระธิดาจะหลับนอนกับชายไม่เลือกหน้าเช่นนี้ หากแต่ความเคียดแค้นของตนที่มีต่อพระสวามีจึงทำให้นางปล่อยผ่านเรื่ององค์หญิงใหญ่ เพราะอยากทำให้เขาทุกข์ใจเช่นเดียวกับที่นางทุกข์ใจในความมักมากของเขา
“เสด็จพ่อห้ามไม่ให้หม่อมฉันออกไป แต่ไม่ได้ห้ามเหล่าบุรุษเข้ามานี่” เหมยหนิงยิ้มอย่างลำพองใจ ก่อนจะทูลลามารดาแล้วกลับตำหนักตน
ลี่อินมองตามพี่สาวด้วยความเป็นห่วง หากยังเป็นเช่นนี้การแต่งงานไปแคว้นฉีต้องลำบากแน่
เพียงสองวันหลังจากฮ่องเต้ออกคำสั่งไม่ให้องค์หญิงใหญ่ออกจากวัง ราชทูตแคว้นเว่ยก็อัญเชิญสาส์นสู่ขอทูลเสนอต่อฮ่องเต้แคว้นฉีกลางท้องพระโรง
“ข้ายอมรับการสู่ขอนี้ อีกหนึ่งเดือนองค์หญิงใหญ่เหมยหลิงจะเสด็จด้วยขบวนแห่เจ้าสาวสู่แคว้นฉี” หย่งเฮ่าประกาศกลางท้องประโรง เหล่าขุนนางต่างค่อมกายรับบัญชา
ฮ่องเต้หย่งเฮาเบาพระทัยไม่น้อยที่บัดนี้องค์หญิงใหญ่จะอภิเษกสมรสอย่างสมพระเกียรติ เนื่องด้วยในราชสำนักแคว้นฉีไม่มีตระกูลใดหมายสู่ขอ เพราะการกระทำที่ไม่ต่างจากหญิงนางโลมของนางหากมิใช่เป็นองค์หญิงขุนนางคงนินทากันอย่างเปิดเผย
แม้ว่าการแต่งงานนี่จะเป็นข่าวดี แต่สำหรับเหมยหลิงกลับเป็นข่าวร้าย เสียงสิ่งของหล่นกระทบพื้นด้วยแรงโทสะภายในตำหนักหนิงอันบ่งบอกถึงความไม่พอใจของเหมยหลิง
“หม่อมฉันไม่ยอมรับ หม่อมฉันไม่แต่ง” เหมยหลิงคลุ้มคลั่งคล้ายเสียสติ
ฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็สงสารพระธิดาองค์โตยิ่งนัก นางได้รับการตามใจตั้งแต่เกิดมีตำแหน่งสูงเหนือโอรสธิดาทุกองค์ของฮ่องเต้เป็นรองเพียง
รัชทายาทเพียงผู้เดียว ไหนเลยจะยอมรับการบีบบังคับนี้ได้ หากแต่การแต่งงานเพื่อความมั่นคงของแคว้นเป็นหน้าที่ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ ฮองเฮาจึงมิอาจคัดค้านได้
“เช่นนั้นตำแหน่งรัชทายาทของน้องเจ้าก็ยกให้ผู้อื่นเถิด ในเมื่อผู้เป็นพี่สาวเห็นแก่ตนเช่นนี้ ตระกูลของมารดาเจ้าก็ไม่สมควรเกี่ยวข้องกับบัลลังก์ที่ต้องมีความเสียสละ” ฮ่องเต้ที่ยังคงประทับบนเก้าอี้กลางโถงตรัสอย่างไม่ไยดี
หากแต่คำตรัสของฮ่องเต้ทำให้เหมยหลิงหยุดชะงักในทันที แม้แต่ฮองเฮาเองยังตกพระทัย ที่ฮ่องเต้นำตำแหน่งรัชทายาทแคว้นมาต่อรองเช่นนี้
“เสด็จพ่อต้องการขับไล่ลูก ถึงขั้นเอาตำแหน่งของเจ๋อหานมาเป็นเครื่องต่อรองเลยหรือเพคะ” นางแค้นใจแต่ทำสิ่งใดไม่ได้
“ข้าทำได้ทุกอย่างหากจะทำให้แคว้นฉีมั่นคง” ฮ่องเต้ตรัสอย่างไร้เยื่อใย
เหมยหลิงโกรธเกรี้ยวบิดาไม่น้อย เพื่อจะให้นางแต่งงานไปแคว้นเว่ย ถึงขั้นจะปลดน้องชายนางออกจากตำแหน่งรัชทายาท หากแต่นางกลับไม่สามารถแตะต้องฝ่าบาทได้เลย
“ได้! หม่อมฉันยอมแต่ง”
คำกล่าวของนางทำให้ฮองเฮาตกพระทัยไม่น้อย การยินยอมที่ง่ายดายเช่นนี้ของพระธิดานาง ถือว่าเกินคาดไม่น้อย
“เหมยหลิง เจ้ายอมรับแล้วจะคืนคำไม่ได้นะ” ฮองเฮาเสวี่ยฉีตรัสพลางปลอบนาง
“หม่อมฉันทราบเพคะ” เหมยหลิงจ้องมองมารดาด้วยแววตาจริงจัง
“หากแต่หม่อมฉันมีข้อเสนอ หากเสด็จพ่อไม่ยินยอมเช่นนั้นการแต่งงานนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ”
“ว่ามา”
“ให้เสวี่ยหนิงเป็นท่านหญิงคอยรับใช้หม่อมฉัน จนกว่า
รัชทายาทจะอภิเษกสมรสและมีทายาท” เหมยหลิงรู้ว่าเสวี่ยหนิงคือลูกคนโปรดของบิดา หากพระองค์ไม่ยินยอมนางก็จะไม่ต้องแต่งงาน แต่หากยินยอมลี่อินก็ไม่ต้องถูกพระราชบิดานำไปเปรียบเทียบกับสตรีมากมารยาอย่างเสวี่ยหนิงอีก และนางจะได้ไม่ไปยั่วยวนรัชทายาทลับหลังเสด็จพ่อได้
ข้อเสนอของเหมยหลิงทำให้ฮ่องเต้คิดหนักไม่น้อย เพราะเกรงว่า
เสวียหนิงจะถูกเหมยหลิงรังแก แต่ชินอ๋องก็เป็นคนรักของเสวี่ยหนิง เช่นนั้นความปลอดภัยของนางเขาไม่ต้องห่วงแล้ว
“ได้ ข้ารับปากเจ้า”
‘หากเสวียหนิงยินยอม การเป็นชายารองของชินอ๋องก็ถือว่าสมเกียรตินางแล้ว’ หย่งเฮ่าหาทางออกให้กับธิดาผู้อาภัพของตน
“เสวี่ยหนิง! แม่มีข่าวดีจะบอกเจ้า” ตาอิ้งอันหยามารดาของเสวี่ยหนิงรีบร้อนเข้ามาในห้องโถงปีกตะวันตกของตำหนักดอกท้อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฟังจากน้ำเสียงของท่านแม่ คงเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย” เสวี่ยหนิงที่กำลังง่วนอยู่กับการปักอักษรคำว่า เจ๋อหาน บนสายคาดเอวกล่าวกับมารดา
“เมื่อครู่แม่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้มา พระองค์จะให้เจ้าเป็นท่านหญิงรับใช้องค์หญิงใหญ่ในการไปอภิเษกสมรสกับชินอ๋องแคว้นเว่ย” อันหยากล่าวพลางนั่งลงบนตั่ง
เสวี่ยหนิงที่ได้ยินมารดากล่าว นางหยุดชะงักในทันที มือทั้งสองกำสายคาดเอวนั่นไว้แน่น แววตาฉายแววความโกรธอย่างชัดเจน หากแต่อันหยาที่กำลังดีใจกลับไม่สังเกตเห็น
“สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว ไม่รู้อะไรดลใจให้เหมยหลิงเลือกเจ้าเป็นท่านหญิงติดตามไปแคว้นฉี เช่นนั้นเจ้าก็จะได้ใกล้ชิดกับชินอ๋องอีกครั้ง ตำแหน่งชายารองต้องเป็นของเจ้าแน่” แววตาคาดหวังของอันหยาแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ชายารอง! ชายารองชินอ๋อง! ข้าไม่ต้องการเพียงเท่านั้น นังเหมยหลิงหญิงเพศยาสารเลว!” เสวี่ยหนิงแผดเสียงร้องดังไม่เกรงกลัวผู้ใดจะได้ยิน
อันหยาสะดุ้งตกใจกับการกระทำของบุตรี รีบใช้มือปิดปากนางไว้แน่น
“เสียงเบาหน่อย เดี๋ยวคนอื่นได้ยินเจ้าและข้าได้ถูกฮองเฮาเล่นงานได้”
“ข้าเกลียดนางหนิท่านแม่ นางจงใจแยกข้าออกจาก
รัชทายาท หากไปแคว้นฉีมากสุดก็ได้เพียงตำแหน่งชายารอง หากข้าอยู่นี่โอกาสเป็นฮองเฮาของรัชทายาทเป็นไปได้มาก ท่านไม่อยากแก้แค้นฮองเฮา
หรือไง ที่เป็นต้นเหตุให้โอรสองค์แรกที่เกิดจากท่านกับเสด็จพ่อต้องตายไป”
เสวี่ยหนิงมองมารดาด้วยดวงตาแดงก่ำ หากพี่ชายนางไม่สิ้นชีพตั้งแต่คลอดได้เพียงเดือนเดียว นางกับมารดาคงไม่ต้องมีตำแหน่งต่ำต้อย และอยู่ตำหนักเล็กเท่ารูหนูเช่นนี้ ครั้งนั้นหากฮองเฮาไม่ล้มป่วยจนหมอหลวงต้องไปตรวจอาการกันทั้งหมด พี่ชายของนางคงมีหมอหลวงมารักษาและไม่ต้องตายด้วยอาการไข้หวัดเช่นนั้น
“อยากแก้แค้นสิ เหตุใดข้าจะไม่อยาก แต่เรื่องที่เจ้าหวังเป็นไปได้ยาก รัชทายาทเจ๋อหานมีใจให้เจ้าแล้วอย่างไรฮองเฮายังอยู่ อีกทั้งขุนนางเหล่านั้นไม่ยอมให้เขาอภิเษกกับเจ้าแน่ แลอีกอย่างเรื่องนี้ใช่ว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วย” อันหยากล่าวเตือนสติบุตรีเพียงคนเดียวของนาง
“เช่นนั้นต้องหาวิธีปฏิเสธไม่ใช่หรือ” เสวี่ยหนิงกล่าวพลางครุ่นคิดหาทางออก
“เจ้า.....ไม่อยากแต่งกับหยางหมิงหรือ เจ้ารักเขาไม่ใช่หรือ” อันหยาถามหยั่งเชิง
“ข้ารักเขาหากเขาให้ตำแหน่งชายาเอกกับข้าได้ แต่ตอนนี้ข้ามีโอกาสจะได้เป็นฮองเฮาเหตุใดข้าจะรักรัชทายาทมากกว่าไม่ได้” เสวี่ยหนิงกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“เหตุใดสวรรค์ถึงไม่เข้าข้างเราบ้าง เหตุใดคนที่ขัดขวางข้าไม่ตาย ๆ กันให้หมดเสียที!” เมื่อคิดหาทางใดไม่ได้ เสวี่ยหนิงจึงได้แต่ก่นด่าไปทั่ว สิ้นความเป็นท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้หย่งเฮ่า
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ