เสียงดนตรีบรรเลงดังสะท้อนก้องทั่ววังหลวง แสงโคมไฟสว่างไสวแต่งแต้มทั่วตำหนักองค์ชายสาม ผู้คนต่างเฉลิมฉลองให้กับพิธีสมรสขององค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง กับบุตรสาวของเสนาบดีไป๋เหวินเทียน
ทว่าภายในเรือนหอ บรรยากาศกลับเย็นเยียบราวกับหลุมศพ
ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่บนเตียงบุปผา อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดปักดิ้นทองขับผิวงามให้ขาวผ่อง แต่หลังจากเจ้าบ่าวได้ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกกลับเผยใบหน้าอวบดูซีดเซียว ร่างกายอวบอ้วนทำให้อาภรณ์ที่ควรจะสง่างามกลับดูรัดแน่นจนน่าอึดอัด
นางเอื้อมมือไปลูบชายผ้าของตัวเอง รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาผสมกับฝ่ามือเย็นเฉียบ เมื่อนางได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเกลียดชังนางเพียงใด
“สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว หมดหน้าที่ของข้าแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาและกดข่มดังขึ้นจากด้านหน้า หลังปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งแคว้นต้าเฉิง
หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งต้าเฉิง ยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา เขาสวมอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ขับให้ใบหน้าคมคายดูดุดันราวกับเทพสงครามของแคว้น
“องค์ชายสาม ต่อจากนี้ หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านแล้ว แม้ท่านยังไม่รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันจะใช้ชีวิตข้างกายท่านให้ดีที่สุดเพคะ”
“เจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาของข้าด้วยซ้ำ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“เจ้าใช้ความดีความชอบที่ช่วยชีวิตข้า มาแลกกับการเป็นพระชายาสามของข้า ฝันใฝ่ถึงข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน ราวกับถูกกรีดกลางหัวใจ
“หม่อมฉัน” นางอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำใดเปล่งออกมา
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าสมควรยืนอยู่ข้างกายข้า” ร่างสูงสูดหายใจลึกเพื่อระงับความโกรธ
“คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น มือของนางสั่นเล็กน้อย
“หม่อมฉัน”
“เจ้าเป็นสตรีที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัวนัก ไป๋ลี่เยว่ ” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็น
“เจ้าอ้วน หน้าตาธรรมดา ไร้เสน่ห์ มีดีเพียงฐานะบุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเท่านั้น”
“เช่นนี้แล้ว เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะยินดีแต่งงานกับเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนโลกของนางกำลังพังทลาย บุรุษที่นางรัก พูดกับนางเช่นนี้
ใช่ นางรักเขา
เมื่อสามปีก่อน องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกลอบสังหาร บังเอิญว่านางไปพบเข้า และช่วยเหลือเขาไว้ แม้ในตอนนั้นเขาจะหมดสติ แต่นางก็ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตเขาเป็นเวลาหลายเดือนกว่าเขาจะฟื้น
ตอนนั้นนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นางช่วยชีวิตไว้เป็นใคร นางรู้เพียงว่ารักเขาตั้งแต่แรกพบ
เมื่อได้รับโอกาสให้ขอรางวัลจากฮ่องเต้ นางจึงขอเพียงแค่ ‘การแต่งงาน’ กับเขา คิดว่า บางทีเขาอาจจะมองนางในแง่ดีขึ้นบ้าง
ทว่า นางคิดผิด
“เจ้ามัน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เจ้าคิดจริงหรือว่าการช่วยชีวิตข้าจะทำให้ข้ารักเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลง น้ำตาที่เอ่อล้นถูกกลืนกลับไปในลำคอ
“หม่อมฉันมิได้หวังให้ท่านรักหม่อมฉันตอนนี้” นางกล่าวแผ่วเบา
“หม่อมฉันเพียงหวังว่า ท่านจะไม่รังเกียจหม่อมฉันเพียงนี้”
หลงเจิ้งหยางหัวเราะเยาะ “แต่ข้าก็รังเกียจเจ้าอยู่ดี”
“ไปให้พ้นจากสายตาข้า”
เสียงทรงอำนาจขององค์ชายสามดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ไป๋ลี่เยว่ที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงสดยังไม่ทันตั้งตัวดี ก็ถูกผลักไสให้ล้มลงไปกับพื้นเย็นเยียบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ ราวกับว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นตราบาปของชีวิต นางกำมือแน่น พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด แต่หยาดน้ำตากลับหยดลงมาบนอาภรณ์สีแดงสด
“องค์ชาย” นางพยายามยกมืออวบขึ้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย
“อย่ามาแตะต้องข้า อ้วนเหมือนหมูเช่นเจ้า คิดหรือว่าจะคู่ควรกับข้า”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น ฝืนกล้ำกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ
“แต่” นางเรียกเขาอย่างแผ่วเบา เสียงสั่นเครือ
“คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเรา”
“เข้าหอ น่าขันสิ้นดี” หลงเจิ้งหยางหัวเราะเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเย้ยหยัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลับนอนกับสตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้าจริงหรือ”
หัวใจของไป๋ลี่เยว่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก นางรับรู้ถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อนาง แต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้
“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายาของพระองค์” นางพยายามเอ่ยออกมา แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของนางไร้ความหมาย
หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ คุกเข่าลงตรงหน้าเตียงแล้วบีบคางของนางแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“จำไว้ให้ดีไป๋ลี่เยว่ ข้าแต่งงานกับเจ้าก็เพราะราชโองการ หาใช่เพราะข้าเต็มใจ”
แววตาของเขามีแต่ความเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่นางไม่เข้าใจ
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นนางจิ้งจอกไปขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อมาบังคับข้า เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะลดตัวมาแต่งกับเจ้าที่อัปลักษณ์เช่นนี้”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางมีแววปวดร้าว
“หม่อมฉันรู้ ว่าท่านมิได้รักหม่อมฉัน”
“แต่หม่อมฉันก็เพียงหวังว่า จะได้ดูแลท่าน ได้อยู่เคียงข้างท่าน เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว” นางกลั้นน้ำตาไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ดูเหมือนว่า หม่อมฉันจะคิดผิด”
หลงเจิ้งหยางจ้องมองนาง หัวเราะเยาะอีกครั้ง
“ดีที่เจ้ารู้ตัว เช่นนั้น เจ้าจงอยู่ในตำหนักไปเงียบๆ และอย่าได้หวังว่าจะได้รับความรักจากข้า เพราะข้าจะไม่มีวันรักเจ้า”
“ไม่มีวัน” หลงเจิ้งหยางย้ำเสียงดัง
เขากำลังจะออกจากห้องหอนี้โดยไม่ต้องแตะต้องนาง แต่ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนผ่าว
“นี่มัน”
ความร้อนวาบพุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกกระหายที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
“องค์ชาย ท่านเป็นอะไรไป” ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยความตกใจ
“ข้า ข้าถูกวางยา” หลงเจิ้งหยางกัดฟันแน่น เขาถูกวางยาปลุกกำหนัดและรู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของผู้ใด
“เสด็จแม่”
และมีเพียงนาง ที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้
“องค์ชาย”
ไป๋ลี่เยว่ยังคงนิ่ง แม้จะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่นางก็ยังคงอ่อนโยน และมิได้ผลักไสเขาออกไป
หลงเจิ้งหยางกำหมัดแน่น เขาโกรธตัวเอง โกรธเสด็จแม่ โกรธไป๋ลี่เยว่ และโกรธโชคชะตาที่บีบบังคับเขา
แต่ในค่ำคืนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
“เจ้าต้องการเป็นพระชายาของข้านักใช่หรือไม่” หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาเย็นเยียบของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
“เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนที่ร่างของนางจะถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนของบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ
ภายหลังเสร็จสิ้นพิธีถวายราชสาส์น เสียงฆ้องหลวงสามระลอกกึกก้องทั่วท้องพระโรง เป่ยเจินต้าเตี้ยนอันโอ่อ่า ขันทีหลวงประจำพิธีก้าวออกมาประสานฝ่ามือแล้วประกาศเสียงดังกังวาน“คณะทูตแคว้นต้าเหยียน…ขอน้อมนำบรรณาการถวายแด่ใต้หล้าอันสูงส่ง แห่งแคว้นต้าเฉิง ตามราชประเพณี”เสียงดนตรีราชสำนักลอยแผ่วท่ามกลางกลิ่นกำยานหอมเย็นตลบทั่วโถง คณะทูตหกนายก้าวช้า ๆ สง่างาม เข้าแถวเบื้องหน้าบัลลังก์มังกรองค์ชายเย่ลวี่ ซุ่น ผู้เป็นราชทูตสูงสุดแห่งแคว้นต้าเหยียน คุกเข่าเบื้องหน้าพระพักตร์แล้วประสานมือคำนับ ก่อนกล่าวเสียงดังกังวาน“กระหม่อม เย่ลวี่ ซุ่น ราชโอรสแห่งต้าเหยียน ในนามแคว้นต้าเหยียน ขอน้อมถวายบรรณาการแห่งไมตรี ทั้งเจ็ดชนิด ประกอบด้วย”“หยกสุริยันจันทรา จากแหล่งหยกฮั่นเจิน…ม้าศึกอู่หลินพันธุ์แท้สายเลือดจ้าวอัคคี จำนวนแปดสิบสี่ตัว…ผ้าแพรหิมะหลอมไหมเงิน จากเวิ่นชาง…สมุนไพรหลีจิงอายุวัฒนะตำรับลับจากหุบเขาเสวียนหลง กว่าสามสิบหีบ…เพชรพลอยเก้าสีจากใต้ขุนเขาหยกหิมะเหมืองอี้หลาน...เครื่องเคลือบเขียวหยกตำรับราชสำนักและกล่องหยกจันทน์ ประดับลายเมฆเหนือมังกรสลัก… บรรจุของขวัญขวัญพิเศษแห่งมิตรภาพ… แด่ฝ่าบาทผู้ทรงธร
ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมบางเบาสีทองอ่อนสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาปะปนกับกลิ่นกำยานเร้าอารมณ์แห่งพิธีราชสำนัก เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่ง บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งขรึม เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน นางแต่งองค์ด้วยชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์และเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางจากทุกฝ่ายนั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งขรึม พระสนมชิงอวี่นั่งที่พระเก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ ชิงอวี่ปรายตามองลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยังไร้สัญญาณสั่งโหมประโคม เสียงขุนนางต่างลือกระซิบตลอดลานพิธี เสน
ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมสีทองอ่อนพลิ้วสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาเร้าอารมณ์เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่งสมเกียรติพิธีการราชสำนัก บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งลุ่มลึก เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน งามสง่าในฉลองพระองค์ชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์หากแต่ส่องแสงอำนาจให้ทุกผู้คนต้องเคารพและเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊นั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งครัด พระสนมชิงอวี่นั่งที่เก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า มาดนิ่ง เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ พระสนมชิงอวี่ปรายตามองทอดไปยังลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยั
รุ่งเช้า ณ ตำหนักชิงอวิ๋นม่านแพรบางสีไข่มุกไหวระริกตามแรงลมหิมะเบา แสงแดดยามเช้าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนเตียงใหญ่ผืนงาม ร่างสูงของหลงเจิ้งหยางหลับตานิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนักปรากฏอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาเพียงหายใจช้า ๆ อย่างพอใจในอ้อมแขนที่โอบร่างบางไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาดำสนิทที่มักแฝงกลิ่นคมคายเยือกเย็น บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ เขาทอดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตน พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝันไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อรอยจุมพิตจากรัตติกาล ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจากหอสมุดลับในวังหลวง“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ เยว่เอ๋อร์…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบชิดข้างหูพระชายา ก่อนจะโน้มใบหน้าแนบหน้าผากนา
รุ่งอรุณแห่งยามเหม่า ณ ตำหนักชิงอวิ๋น ม่านแพรบางสีไข่มุกพลิ้วไหวระริกต้องลมหนาว หิมะบางร่วงโปรยเบื้องนอก แสงอรุณแรกแห่งยามเหม่าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนแท่นบรรทมผืนใหญ่ ร่างสูงใหญ่ของหลงเจิ้งหยางทอดกายสงบ ดวงตาหลับนิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนัก ปรากฏอยู่บนดวงหน้าเข้มคมซึ่งเคยดุดัน บัดนี้กลับละมุนอ่อนโยนเพียงเพราะอ้อมแขนที่โอบกอดร่างบางของพระชายาไว้แนบกาย สายตาคมที่เคยเปี่ยมด้วยประกายเย็นยะเยือก บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ ตาคมทอดมองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตนอย่างพอใจ พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝัน ไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อด้วยร่องรอยจุมพิตจากรัตติกาลก่อน ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจ
“เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา”เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่อุ้งมือประกบสัมผัสแท่งหยกแนบแน่นมากขึ้น ปลายนิ้วลูบวนๆ ตามความยาว สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มทำเอาขนกายเขาลุกชัน แขนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้ามือนางยึดไว้"คืนนี้ หม่อมฉันขอลงโทษพระองค์บ้าง… โทษฐานที่เคยว่าร้ายหม่อมฉัน ไล่หม่อมฉันมาอยู่ตำหนักเย็น”หลงเจิ้งหยางมิทันได้ตอบ กางเกงแพรเนื้อเบาบนร่างแกร่งถูกคลายเชือกอย่างง่ายดาย แท่งหยกพิโรธที่ร้อนผ่าวถูกปลดปล่อยเผยโฉมออกมาผงาดพร้อมรบเมื่อพ้นเนื้อผ้าบดบังกลีบบุปผาแห่งนางแอบสั่นไหวระริก ขับน้ำเหนียวออกมา จนเจ้าของร่างก็ไม่กล้าขยับแรง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหยุดอยู่ตรงกลางแหล่งอารมณ์อันเป็นศูนย์รวมความทรมานของบุรุษ พลางก้มลง... ประทับจุมพิตแท่งหยกงามที่เคยอ่อนนิ่ม แต่บัดนี้กลับแข็งตึงราวเหล็กกล้า ซ้ำยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าเดิม“พระองค์ หม่อมฉันสามารถชิมเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่เ