เสียงดนตรีบรรเลงดังสะท้อนก้องทั่ววังหลวง แสงโคมไฟสว่างไสวแต่งแต้มทั่วตำหนักองค์ชายสาม ผู้คนต่างเฉลิมฉลองให้กับพิธีสมรสขององค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง กับบุตรสาวของเสนาบดีไป๋เหวินเทียน
ทว่าภายในเรือนหอ บรรยากาศกลับเย็นเยียบราวกับหลุมศพ
ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่บนเตียงบุปผา อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดปักดิ้นทองขับผิวงามให้ขาวผ่อง แต่หลังจากเจ้าบ่าวได้ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกกลับเผยใบหน้าอวบดูซีดเซียว ร่างกายอวบอ้วนทำให้อาภรณ์ที่ควรจะสง่างามกลับดูรัดแน่นจนน่าอึดอัด
นางเอื้อมมือไปลูบชายผ้าของตัวเอง รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาผสมกับฝ่ามือเย็นเฉียบ เมื่อนางได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเกลียดชังนางเพียงใด
“สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว หมดหน้าที่ของข้าแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาและกดข่มดังขึ้นจากด้านหน้า หลังปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งแคว้นต้าเฉิง
หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งต้าเฉิง ยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา เขาสวมอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ขับให้ใบหน้าคมคายดูดุดันราวกับเทพสงครามของแคว้น
“องค์ชายสาม ต่อจากนี้ หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านแล้ว แม้ท่านยังไม่รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันจะใช้ชีวิตข้างกายท่านให้ดีที่สุดเพคะ”
“เจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาของข้าด้วยซ้ำ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“เจ้าใช้ความดีความชอบที่ช่วยชีวิตข้า มาแลกกับการเป็นพระชายาสามของข้า ฝันใฝ่ถึงข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน ราวกับถูกกรีดกลางหัวใจ
“หม่อมฉัน” นางอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำใดเปล่งออกมา
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าสมควรยืนอยู่ข้างกายข้า” ร่างสูงสูดหายใจลึกเพื่อระงับความโกรธ
“คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น มือของนางสั่นเล็กน้อย
“หม่อมฉัน”
“เจ้าเป็นสตรีที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัวนัก ไป๋ลี่เยว่ ” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็น
“เจ้าอ้วน หน้าตาธรรมดา ไร้เสน่ห์ มีดีเพียงฐานะบุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเท่านั้น”
“เช่นนี้แล้ว เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะยินดีแต่งงานกับเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนโลกของนางกำลังพังทลาย บุรุษที่นางรัก พูดกับนางเช่นนี้
ใช่ นางรักเขา
เมื่อสามปีก่อน องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกลอบสังหาร บังเอิญว่านางไปพบเข้า และช่วยเหลือเขาไว้ แม้ในตอนนั้นเขาจะหมดสติ แต่นางก็ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตเขาเป็นเวลาหลายเดือนกว่าเขาจะฟื้น
ตอนนั้นนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นางช่วยชีวิตไว้เป็นใคร นางรู้เพียงว่ารักเขาตั้งแต่แรกพบ
เมื่อได้รับโอกาสให้ขอรางวัลจากฮ่องเต้ นางจึงขอเพียงแค่ ‘การแต่งงาน’ กับเขา คิดว่า บางทีเขาอาจจะมองนางในแง่ดีขึ้นบ้าง
ทว่า นางคิดผิด
“เจ้ามัน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เจ้าคิดจริงหรือว่าการช่วยชีวิตข้าจะทำให้ข้ารักเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลง น้ำตาที่เอ่อล้นถูกกลืนกลับไปในลำคอ
“หม่อมฉันมิได้หวังให้ท่านรักหม่อมฉันตอนนี้” นางกล่าวแผ่วเบา
“หม่อมฉันเพียงหวังว่า ท่านจะไม่รังเกียจหม่อมฉันเพียงนี้”
หลงเจิ้งหยางหัวเราะเยาะ “แต่ข้าก็รังเกียจเจ้าอยู่ดี”
“ไปให้พ้นจากสายตาข้า”
เสียงทรงอำนาจขององค์ชายสามดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ไป๋ลี่เยว่ที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงสดยังไม่ทันตั้งตัวดี ก็ถูกผลักไสให้ล้มลงไปกับพื้นเย็นเยียบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ ราวกับว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นตราบาปของชีวิต นางกำมือแน่น พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด แต่หยาดน้ำตากลับหยดลงมาบนอาภรณ์สีแดงสด
“องค์ชาย” นางพยายามยกมืออวบขึ้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย
“อย่ามาแตะต้องข้า อ้วนเหมือนหมูเช่นเจ้า คิดหรือว่าจะคู่ควรกับข้า”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น ฝืนกล้ำกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ
“แต่” นางเรียกเขาอย่างแผ่วเบา เสียงสั่นเครือ
“คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเรา”
“เข้าหอ น่าขันสิ้นดี” หลงเจิ้งหยางหัวเราะเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเย้ยหยัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลับนอนกับสตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้าจริงหรือ”
หัวใจของไป๋ลี่เยว่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก นางรับรู้ถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อนาง แต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้
“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายาของพระองค์” นางพยายามเอ่ยออกมา แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของนางไร้ความหมาย
หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ คุกเข่าลงตรงหน้าเตียงแล้วบีบคางของนางแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“จำไว้ให้ดีไป๋ลี่เยว่ ข้าแต่งงานกับเจ้าก็เพราะราชโองการ หาใช่เพราะข้าเต็มใจ”
แววตาของเขามีแต่ความเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่นางไม่เข้าใจ
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นนางจิ้งจอกไปขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อมาบังคับข้า เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะลดตัวมาแต่งกับเจ้าที่อัปลักษณ์เช่นนี้”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางมีแววปวดร้าว
“หม่อมฉันรู้ ว่าท่านมิได้รักหม่อมฉัน”
“แต่หม่อมฉันก็เพียงหวังว่า จะได้ดูแลท่าน ได้อยู่เคียงข้างท่าน เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว” นางกลั้นน้ำตาไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ดูเหมือนว่า หม่อมฉันจะคิดผิด”
หลงเจิ้งหยางจ้องมองนาง หัวเราะเยาะอีกครั้ง
“ดีที่เจ้ารู้ตัว เช่นนั้น เจ้าจงอยู่ในตำหนักไปเงียบๆ และอย่าได้หวังว่าจะได้รับความรักจากข้า เพราะข้าจะไม่มีวันรักเจ้า”
“ไม่มีวัน” หลงเจิ้งหยางย้ำเสียงดัง
เขากำลังจะออกจากห้องหอนี้โดยไม่ต้องแตะต้องนาง แต่ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนผ่าว
“นี่มัน”
ความร้อนวาบพุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกกระหายที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
“องค์ชาย ท่านเป็นอะไรไป” ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยความตกใจ
“ข้า ข้าถูกวางยา” หลงเจิ้งหยางกัดฟันแน่น เขาถูกวางยาปลุกกำหนัดและรู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของผู้ใด
“เสด็จแม่”
และมีเพียงนาง ที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้
“องค์ชาย”
ไป๋ลี่เยว่ยังคงนิ่ง แม้จะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่นางก็ยังคงอ่อนโยน และมิได้ผลักไสเขาออกไป
หลงเจิ้งหยางกำหมัดแน่น เขาโกรธตัวเอง โกรธเสด็จแม่ โกรธไป๋ลี่เยว่ และโกรธโชคชะตาที่บีบบังคับเขา
แต่ในค่ำคืนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
“เจ้าต้องการเป็นพระชายาของข้านักใช่หรือไม่” หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาเย็นเยียบของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
“เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนที่ร่างของนางจะถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนของบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ
“…ใคร” ซูเหวินเงยหน้าช้า ๆ “หนึ่งในนักฆ่ากลุ่มกระบี่ม่วง พ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด “พวกมัน…ยังไม่ตายหมดอย่างนั้นหรือ” เขาพึมพำกับตัวเอง คิ้วเข้มขมวดแน่น “มันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีกำลังคนจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขององครักษ์รายงานอย่างเร่งร้อน “สายที่หอเมฆหม่นรายงานว่า มีการส่งของบางอย่าง เป็นหีบดำขนาดเล็ก พร้อมจดหมายลับ กระหม่อมสันนิษฐานว่า...น่าจะเป็นการว่าจ้างบางอย่างที่ส่อเค้าเป็นภัยอย่างยิ่งอีกพ่ะย่ะค่ะ” หลงเจิ้งหยางหรี่ตาลงช้า ๆ ดวงตาคมวาวราวพญาเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อในระยะประชิด สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แต่อากัปกิริยากลับแฝงไปด้วยแรงกล้าของพายุที่พร้อมโหมกระหน่ำ “สั่งให้คนของเราจับตาทุกฝีก้าว อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว อย่าเพิ่งลงมือ…สืบให้ได้ว่ามีแผนอันใดอีก ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันเดินเกมในเงามืดลับหลังเราได้อีกเป็นครั้งที่สอง” “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “…เจ้าช่างไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริง ๆ เสนาบดีหลี่…” หลงเจิ้งหยางยืนนิ่ง ริมฝีปากขยับพึมพำแผ่วเบาราวเสียงลมพัด ตอนแรกคล้ายคำชม แต่กลับตามมาด้วยแววตาเย็นเยียบ ก่อนจะตาหรี่ลงอีกครั้ง พลางเสียงคำสั่งเย็นชา
“เขาไม่ควรใช้มันแล้ว...” เสียงพึมพำแผ่วเบาราวสายลมหลุดจากริมฝีปากไป๋ลี่เยว่ นางชะงักมือลงขณะกำลังจะหยิบสมุนไพรอีกกำมือใส่ลงหม้อต้มยา กลิ่นสมุนไพรหอมอบอวลลอยขึ้นทั่วห้องยามน้ำเดือดปุด ๆ ดวงตางามหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นใบซานเจียวเซินที่ยังวางอยู่ในถาด มือเรียวสั่นเล็กน้อย ราวกับลังเล… สมุนไพรนี้ แม้จะช่วยฟื้นกำลังสำหรับผู้ที่ยังอ่อนแรง...ให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่เหตุใดมันกลับใช้ไม่ได้ผลกับคนที่นอนเจ็บอยู่ในตำหนัก องค์ชายสาม...เขามิได้มีทีท่าว่าอาการจะหนักถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดยังเอาแต่นอนนิ่งเช่นผู้ไร้เรี่ยวแรง นางดับไฟ มือบางยกหม้อยาสมุนไพรเมื่อเดือดได้ที่แล้วลง ก่อนจะเทรินยาใส่ถ้วยอย่างเรียบร้อย เบนสายตาไปทางห้องบรรทมที่พระสวามีของนางนอนพักอยู่ แล้วเดินเนิบช้าสู่ห้องบรรทมที่สองพ่อลูกดูแลกันอยู่ แสงแดดยามสายลอดผ่านม่านบางภายในห้องบรรทม หลงเจิ้งหยางนั่งพิงหัวเตียงในอาภรณ์ผ้าแพรสีอ่อน มือหนึ่งถือกระดาษที่หลงจิ่นอวิ๋นวาดเล่น อีกมือวางนิ่งบนตัก แม้ใบหน้าซีดเซียว แต่แววตาฉายประกายอ่อนโยนขณะมองภาพครอบครัวที่โอรสน้อยกำลังวาด เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ยามาแล้วเพคะ”
ห้องบรรทมในตำหนักชิงอวิ๋น เสียงฝีเท้าแผ่วเบา บนพื้นหินเจียระไนดังก้องสะท้อนในโถงเงียบสงัดของตำหนักชิงอวิ๋น ซูเหวินก้าวเข้ามาในห้องด้านใน ซึ่งมีเพียงตะเกียงน้ำนมดวงเดียวให้แสงสลัว กลิ่นยาสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว ดวงตาคมใต้คิ้วหนาหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อพบว่าองค์ชายสามยังคงนั่งเอนกายพิงหมอนอยู่บนเตียง มีผ้าคลุมหนาห่มกายอยู่ แม้บาดแผลยังไม่หายสนิท แต่สีหน้าดูดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ทว่าผู้เป็นนายกลับมิยอมพักผ่อน ยังคงรอคอยการรายงานจากเขา “องค์ชาย กระหม่อมขอรายงาน…” ซูเหวินกล่าวเสียงเบา ขณะเดินเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าประสานมือคารวะ หลงเจิ้งหยางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ปรายตามองเขานิ่ง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วทว่าเด็ดขาด “ได้ความว่าอย่างไร..ว่ามา” เขาหยุดพูดไปครู่ ดวงตาทอดมองความมืดนอกหน้าต่าง ราวกับจับจ้องอะไรบางอย่าง ซูเหวินค้อมศีรษะก่อนกล่าวเสียงเบา “กระหม่อมเริ่มตามร่องรอยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้ที่ลงมือในวันนั้น…” เขาหยุดเว้นจังหวะ ก่อนกล่าวต่อ “มือสังหารมิใช่พวกจากแคว้นเรา หากแต่เป็นผู้ที่มีฝีมือ เป็นนักฆ่าที่ชำนาญวิชาจากแดนใต้…เรียกตนว่ากระบี่ม่วง กลุ่มนี้รับงานเฉพาะจากสกุลขุนนางใหญ่เพีย
ระเบียงทางเดินในวังหลวง “ท่านเสนาบดีหลี่…” เสียงทุ้มนุ่มฟังดูสุภาพดังขึ้นจากด้านข้าง ทำให้ผู้เป็นขุนนางเฒ่าหยุดชะงัก หันไปพบกับบุรุษในอาภรณ์สีม่วงปักลายมังกรห้ากรงเล็บ ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มแต่แววตากลับลึกล้ำ “องค์ชายสอง กระหม่อมคารวะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีหลี่รีบประสานมือคารวะหลงเหวินหยาง องค์ชายสูงศักดิ์เพียงยกมือขึ้นเบา ๆ “ไม่ต้องเกรงใจท่านเสนาบดี ข้าเพียงผ่านมาพอดี เห็นท่านยังมีแววหมองในดวงตา คงเป็นเรื่องของคุณหนูหลี่กระมัง” “พระองค์ทรงเอ่ยถึง…” เสนาบดีหลี่สบตาอีกฝ่าย สีหน้าเจือรอยระวัง “ข้าเองก็ได้ยินขุนนางกล่าวถึงเรื่องในงานชมบุปผาวันนั้น... ข้าเจ็บใจแทน คุณหนูหลี่เป็นหญิงงามมีความสามารถ หาได้ควรถูกลบแสงด้วยอุบะดอกไม้เช่นนั้น...” หลงเหวินหยางถอนใจแผ่วเบาอย่างคนมีเมตตา ดวงตาของเขาฉายความเจ็บใจแทนอย่างจริงใจ แต่เพียงพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มละมุน “น่าเสียดายที่บางผู้ไม่เห็นคุณค่า กลับไปลุ่มหลงสิ่งเดิมที่มีอยู่และคิดว่าดีที่สุดแล้ว” ดวงตาคมจับจ้องขุนนางคู่สนทนาอย่างสื่อความหมาย “แต่บางที...อาจถึงเวลาที่สวรรค์ควรมอบเวทีใหม่ให้นางได้เจิดจรัสในที่ที่เหมาะสมกว่า” ขุนนางหลี่ยืน
“ท่านพ่อ…เจ็บมากหรือไม่…” เสียงโอรสน้อยถามบิดา ทว่าไม่มีคำตอบจากบุรุษที่ยังนอนนิ่งอยู่ ดวงตาที่เพิ่งลืมเมื่อครู่ปิดลงอีกครั้ง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ไป๋ลี่เยว่นั่งนิ่งเฝ้ามองลูกน้อยที่จับมือพระบิดาราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไป สายตานางทอดยาวไปยังร่างที่นอนแน่นิ่ง ใบหน้าที่เคยดุดันบัดนี้ซีดขาวไร้สีเลือด “…ดื้อด้านเพียงใด ตัวเองเจ็บเจียนตายยังตื่นมาห่วงลูก…” แม้ปากจะบ่น แต่ร่างบางที่ดูอ่อนแรงจากการเฝ้าดูแผล กลับไม่มีทีท่าว่าจะลุกไปพักแม้เพียงครู่ เดิมทีคิดจะเพียงรักษาให้เสร็จแล้วเดินจากไป…แต่กลับทำไม่ได้ “ท่านแม่…” เด็กน้อยเอ่ยเสียงงัวเงีย “ถ้าท่านพ่อฟื้นอีกที จะเจ็บอีกไหม” นางไม่ตอบในทันที…เพียงแค่มองใบหน้าที่ซีดขาวของบุรุษตรงหน้า ดวงตานั้นปิดสนิท ไร้แววแห่งความทรมาน แต่กลับคล้ายหลับลึกยิ่งกว่าครั้งไหน “ไม่หรอก แม่ให้ยาระงับปวดแล้ว…เจ้ากลัวหรือไม่ เสี่ยวเป่า” นางถาม พลางเอื้อมมือไปลูบผมโอรส หลงจิ่นอวิ๋นพยักหน้าช้า ๆ “กลัว…แต่ก็…สงสารท่านพ่อ” คำตอบสั้น ๆ ของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของนางคล้ายถูกมือใครบางคนบีบไว้เบา ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่แล้
“เปิดทาง! เปิดประตูตำหนักเดี๋ยวนี้!”เสียงตะโกนของซูเหวินกึกก้องสะท้อนลั่นลานด้านหน้าตำหนักชิงอวิ๋น อีกทั้งเสียงฝีเท้าดังระรัวประหนึ่งกลองรบกลางรัตติกาล กลบความเงียบสงบของตำหนักให้แตกกระเจิง ทหารเวรยามวิ่งกรูมาอย่างตื่นตระหนก ก่อนชะงักไปเมื่อภาพตรงหน้ากระแทกใจร่างสูงใหญ่ไร้สติขององค์ชายสาม ถูกซูเหวินแบกไว้บนแผ่นหลัง เสื้อคลุมโชกโลหิต และไหล่ซ้ายมีลูกศรยาวปักคาไว้ ข้างกายคือเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อยผู้สูงศักดิ์ องค์ชายน้อยหลงจิ่นอวิ๋นที่หลินซ่างอุ้มวิ่งตามมาร้องน้ำตานองแก้ม“เสด็จพ่อ พ่อข้า ท่านพ่อ..ฮึก…”เสียงเล็กนั้นสั่นเครือ ประดุจมีดกรีดกลางหัวใจ ก่อนที่จะบอกให้หลินซ่างปล่อยตัวเองลง ฝีเท้าเล็กเร่งตามซูเหวินไม่ต่างจากใจที่แทบหลุดออกจากอก“รีบ! ส่งข่าวถึงหมอหลวงโดยไว! ให้คนไปเชิญหมอหลวงเดี๋ยวนี้” หลินซ่างตะโกนก้อง พลางวิ่งตามซูเหวินไปทว่า…ทุกเสียงหยุดกึกทันที เมื่อม่านผ้าแพรหน้าตำหนักพลันแหวกออกเงาร่างหนึ่งปรากฏกาย ร่างระหงในชุดสีขาวสะอาดราวม่านหมอกใต้แสงจันทรา พระชายาไป๋ลี่เยว่ ผู้งามเลิศล้ำแห่งตำหนัก ยามนี้ดวงหน้างามซีดเผือด ทว่าสง่าราศีมิได้ลดถอยนางยืนนิ่ง…ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเ