LOGINเมืองหลวง จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการ
ภายในห้องหนังสือเงียบสงัดดุจสุสาน เสียงพู่กันเสียดสีกระดาษดังแผ่วเพียงเล็กน้อย คล้ายสายลมพัดผ่านกิ่งไม้ยามราตรี หวงจิ่วเยี่ยนั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่ ทอดสายตาเหนือฎีกาที่กองสูงเป็นภูผา พลันหัวใจกลับแล่นวาบด้วยความเจ็บปวดรุนแรง ราวถูกมือมารบีบรัดดวงวิญญาณให้สั่นสะท้าน มิใช่เพียงพิษร้ายที่กำเริบตามกำหนด ปีละสี่คราเท่านั้น หากแต่ยังเป็นความเจ็บปวดอันคลุมเครือ ลี้ลับ ราวมีเส้นด้ายแห่งโชคชะตาแผ่พัวพันกับใครบางคนในห้วงไกลโพ้น เขาจึงต้องเผชิญกับความทรมานนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาวางพู่กันลงแผ่วเบา เอนกายพิงพนักเก้าอี้ หลับตาแน่น คล้ายจักข่มเสียงเจ็บปวดที่แล่นลึกถึงกระดูกดำ ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้น หญิงสาวนางข้าหลวงในเรือน ก้าวเข้ามาพร้อมถาดชาในมือ ผิวมือขาวเรียวดั่งหยก นัยน์ตาเหลือบมองบุรุษเบื้องหน้า ผู้สวมอาภรณ์ดำปักลายมังกรทอง รัศมีอำนาจแผ่ซ่านดุจเทพสวรรค์เสด็จจุติ แม้เอนกายอย่างเกียจคร้าน แต่เพียงแววตาเย็นเยียบกลับบังคับให้ผู้คนไม่อาจขยับเขยื้อน หัวใจของนางสั่นระรัว ทุกก้าวที่ย่างเข้ามา คล้ายมีแรงลี้ลับบีบคั้นอกให้อึดอัดยากหายใจ สิบก้าว…เก้าก้าว…เจ็ดก้าว…หกก้าว… อีกเพียงน้อยนิดก็จักถึงโต๊ะใหญ่เพื่อวางถาดชา “ไสหัวไป” สุรเสียงทุ้มต่ำเยียบเย็น ดุจน้ำแข็งจากนรกภูมิสาดซัดกลางอากาศ ราวกระบี่เร้นที่กรีดแทงทะลุหัวใจ ร่างน้อยสะดุ้งเฮือก ถาดชาในมือร่วงหล่นแตกกระจาย ชาในถ้วยสาดกระเซ็นนองพื้น นางรีบทรุดตัวคุกเข่า ตัวสั่นสะท้านไม่อาจหยุดยั้ง “โปรดอภัย…ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ…” หวงจิ่วเยี่ยยังคงหลับตาแนบสนิท ราวกับทุกสิ่งมิได้ผ่านเข้ามาในโลกของเขา แม้เงามิได้ปรายตา เสียงเอื้อนเอ่ยกลับเย็นยะเยือกสิ้นไร้อารมณ์ “ลากออกไป” “ท่านอ๋อง…” นางข้าหลวงเปล่งเสียงสั่นระริก ปนทั้งหวาดหวั่นและเลศนัย เสียงแผ่วหวานคล้ายเรียกร้องความสงสาร แต่ซ่อนเร้นเสน่ห์ยั่วเย้าอยู่ลึกๆ … นางเชื่อมั่นว่า หากเพียงเขาเหลียวตามาสักคราหนึ่ง…ดวงพักตร์นี้ย่อมสามารถสะกดให้หลงใหลได้ไม่ยาก ทว่ากลับได้ยินเพียงสุรเสียงทุ้มต่ำแฝงโทสะ ดังก้องสะท้อนกำแพงสูง “โบยสิบไม้!” ถ้อยคำสั้นประหนึ่งกระบี่เร้น ฟาดฟันด้วยความเยียบเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งแห่งแดนหิมะ ห้วงลมภายในห้องพลันหยุดนิ่ง องครักษ์นอกห้องเรือนเร่งกรูกันเข้ามา คว้าตัวนางข้าหลวงโดยมิให้ทันได้ตั้งตัว นางดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง หวังจะอาศัยโฉมงามเป็นเกราะกำบัง แต่เมื่อสบสายตาองครักษ์ผู้แข็งกร้าวหาได้มีความปรานี ใบหน้างามก็พลันซีดเผือด ประหนึ่งกลีบผกาที่ถูกน้ำค้างยามเหมันต์ชะล้างจนไร้สีสันเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังสะท้านโถงเรือน “ท่านอ๋อง โปรดเมตตา! หม่อมฉันจะไม่กล้าอีกแล้ว!”กระนั้น สุรเสียงวิงวอนกลับจมหายไปท่ามกลางความเย็นชาสิ้นอารมณ์ของบุรุษผู้หนึ่ง “ยี่สิบไม้” คำสั่งเย็นชาเปรียบดังหิมะถล่ม ภายในห้องกลับหนักอึ้งจนแทบไร้สุ้มเสียง นางยังคงพยายามเปล่งเสียงสั่นระริก ทว่ายังไม่ทันจบ ห้วงอากาศก็ถูกฉีกขาดอีกครั้ง “สามสิบไม้” เมื่อคำสั่งหนักหนาเอื้อนเอ่ยออกมา เหล่าองครักษ์ถึงกับชะงักเพียงเสี้ยวลมหายใจ นางข้าหลวงสบช่องรีบสะบัดตัวหนี แต่สุดท้ายกลับถูกคว้ากลับมาด้วยฝีมือเหนือชั้น มิอาจหลุดรอด เถียงไม่ได้แม้เพียงก้าว เสียงกรีดร้องยังไม่ทันสิ้น กายบางก็ถูกลากหายออกไปนอกรั้วเรือน ท่ามกลางความเย็นชาไร้ปรานี ครานั้นเอง ดวงตายาวรีคู่คมของหวงจิ่วเยี่ยค่อยๆ เปิดขึ้น แววตาดุจน้ำแข็งพันปีทอดมองประตูที่ว่างเปล่า มิไหวติง คำหนึ่งหลุดจากริมฝีปากดุจสายลมหนาวพัดผ่านเหมันต์ “ไร้ค่า…” คุกใต้จวนอ๋อง เสียงโซ่เหล็กกระทบผนังหินชื้นหนาว “แกร๊ง แกร๊ง” ก้องสะท้อนทั่วคุกใต้ดิน ร่างนางข้าหลวงถูกเหวี่ยงกระแทกลงสู่พื้นแข็งเย็นยะเยือก ความมืดมิดโอบล้อมทุกด้าน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว หัวใจสั่นระรัวประหนึ่งจะทะลุออกจากอก ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนักหน่วงก็ดังแว่วใกล้เข้ามา บุรุษหลายคนก้าวเข้ามาในความมืด ร่างสูงใหญ่ ล้อมนางไว้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายราวปีศาจลอบเร้น “ท่านอ๋องมีบัญชาเท่าใด” ชายผู้หนึ่งเอ่ยเสียงห้าว “สามสิบไม้” องครักษ์ตอบด้วยน้ำเสียงห้วนเย็น “ไม่ว่าตายหรืออยู่ให้ถึงที่สุด!” เขาส่ายศีรษะเบาๆ ราวกับเวทนา “โฉมงามเพียงนี้ หากไร้สมองช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เอาเถิด พวกเจ้าสั่งสอนให้นางรู้จักเข็ดหลาบเสีย!” ถ้อยคำเย็นชานั้นประหนึ่งตราประทับแห่งชะตากรรม ใครก็ตามบังอาจใช้ความงามยั่วใกล้ชิดท่านอ๋อง…ล้วนลงเอยด้วยบั้นปลายเดียวกัน เสียงหัวเราะต่ำแปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่หื่นดังก้อง ความสิ้นหวังจู่โจมเข้าครอบงำนาง จนร่างสั่นสะท้าน นางดิ้นรนวิ่งหนีสุดแรง ทว่าทุกหนทางกลับถูกวงล้อมแข็งกร้าวปิดตาย ไร้ซึ่งช่องว่างแม้เพียงครึ่งก้าว ในเงามืด คุกใต้ดินคล้ายจะสั่นสะเทือนด้วยเสียงหวดไม้ที่กำลังจะมาเยือน เสียงสะอื้นพร่าของนางค่อยๆ จมหายไปในความหนาวเหน็บอันไร้เมตตา… หอสมบัติในจวนอ๋อง ภายในห้องลับมืดสลัว แสงตะเกียงน้ำมันส่องวาวบนผนังหยกเก่าแก่ กลิ่นสมุนไพรและยาวิเศษตลบอบอวลทุกอณู ราวกับโลกทั้งผืนถูกสถิตไว้ด้วยกลิ่นยาเพียงหนึ่งเดียว หวงจิ่วเยี่ยยกมือเรียวยาวขึ้น ถือ “เทียนซานเสวี่ยเหลียน” ดอกบัวหิมะหายากซึ่งได้รับการขนานนามว่า “ราชันแห่งโอสถฟ้า” กลีบบอบบางขาวสะอาดดุจหิมะต้องแสง ขับกลิ่นหอมเยียบเย็นเกินกว่าบุปผาใดบนพิภพ เขาใช้นิ้วเรียวยาวหยิบกลีบหนึ่งขึ้นช้าๆ นัยน์ตาล้ำลึกเยียบเย็นคล้ายธารน้ำแข็งพันปี ก่อนเปล่งสุรเสียงเรียบแต่ทุ้มต่ำก้องสะท้อนทั่วโถงหิน “ครั้งนี้ สูญเสียไปเท่าไร” องครักษ์เงาดำไป่หรง คุกเข่าแนบพื้น ดวงหน้าซีดเคร่ง เสียงสั่นเครือเอ่ยตอบ “ทัพของเราสิ้นไปหนึ่งหมื่นห้าพันนายพ่ะย่ะค่ะ…” เพียงศัตรูสามพัน กลับหาญกล้าสังหารผู้คนได้มากมายถึงเพียงนี้ นับเป็นความอัปยศที่สั่นสะเทือนทั้งกองทัพ! หวงจิ่วเยี่ยหัวเราะแผ่วในลำคอ ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย แต่ในแววตากลับหนาวเหน็บราวน้ำแข็งกัดกระดูก “พวกเจ้าก็ช่าง มีฝีมือมิใช่น้อยนัก!”หลินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจพวกคนสวมหน้ากากไม่ได้เอ่ยคำใดแม้แต่น้อยเพียงแค่หมายตาเป้าหมาย แล้วโถมเข้ามาโจมตีหวงจิ่วเยี่ยอย่างบ้าคลั่งหวงจิ่วเยี่ยออกมาโดยไม่ได้พกกระบี่หรืออาวุธใดๆนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระบี่อ่อนที่พันอยู่ที่เอว ส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว“ยืมไปใช้ก่อน!”หวงจิ่วเยี่ยชะงักนิดเดียว แต่เพียงพริบตาก็ยื่นมือรับกระบี่จากนางจากนั้นกลับควักกระบี่เล็กจากเอวตนออกมาเป็นกระบี่ขนาดเล็กเพียงนิ้วมือเดียว แล้วยื่นให้หลินซีแทน ไม่กล่าวคำใด พลันเหินร่างเข้าสู่สมรภูมิ “นี่มัน…” หลินซีอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็อดหัวเราะทั้งน้ำตาไม่ได้ นางนึกถึงเหตุการณ์ในจวน ขนม ของเล่น ของใช้ของสองพี่น้อง ที่มักจะสลับกันอยู่เสมอ ทั้งที่นางจัดวางไว้แยกชัดเจน ไม่แน่ว่า… นิสัยแบบนี้ คงถ่ายทอดมาจากเขา นางเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังร่างของหวงจิ่วเยี่ยในสนามรบ เขาใช้กระบี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วราวสายฟ้า กระบวนท่าลื่นไหลดั่งสายน้ำ แต่เฉียบขาดทุกดอกฟัน แต่ละท่วงท่า ไม่มีความลังเล ไม่มีคำว่าเมตตา ทุกครั้งที่ลงมือ มีเสียงโหยหวนติดตามมา ไม่ถึงขั้นตาย แต่ล้วนถูกฟันจนเส้นเอ็นขาด บางคนถูก
หนิงหนิงกับเป่าเป่ามีทางรอดแล้ว ไม่ต้องทรมานกับพิษร้ายที่กัดลึกถึงไขกระดูกอีกต่อไป “เทียนซานเสวี่ยเหลียน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบชัด แววตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยน หลินซีหัวเราะทั้งน้ำตา มือหนึ่งยกขึ้นปิดปากแต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ เขาไม่เคยชินกับการเห็นผู้หญิงร้องไห้และไม่รู้เลยว่าควรปลอบอย่างไร “อยู่ดี ๆ จะร้องไห้ไปไยกัน” เขาพึมพำเบา ๆ ล้วงหาผ้าเช็ดหน้าภายในชุดแต่สุดท้ายกลับพบว่า ไม่ได้พกมาเลย มือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตานางกลับถูกคว้าไว้แน่น “ของจริงหรือ?” เสียงของนางเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในแววตากลับสั่นไหว “ใช่ ของจริงแน่นอน” เขาตอบกลับโดยไม่ลังเล นางยิ้มทั้งน้ำตา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ของจริง… แล้วเจ้าจะให้ข้าจริงๆ หรือ?” เขาพยักหน้าแน่นหนัก “อืม ให้เจ้าแน่นอน” หลินซีไม่ลังเล มือเรียวกวาดกล่องผ้าไหมในมือเขามาแน่นหนา ปิดฝาลงแล้วกอดไว้แนบอกเหมือนสิ่งนี้คือชีวิตนาง น้ำหนักภายในใจที่แบกมาตลอดห้าปี ร่วงหล่นในพริบตา หญิงสาวที่เคยแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกลับรู้สึกอ่อนแรงจนต้องพิงพาเขา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความจริงว่า ชายตรงหน้าคือบิด
หลินซีแค่นเสียงเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามอง หมุนกายหมายจะจากไป แต่ยังไม่ทันพ้นสองก้าว กลับรู้สึกถึงสิ่งใดบางอย่างผิดแผก จึงหยุดยืน หันกลับมามองเขาด้วยแววตาเรียบเย็น “ท่านอ๋องทรงว่างนักหรือ?” คำเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้คิ้วของหวงจิ่วเยี่ยขมวดเข้าหากันอย่างไม่อาจปิดบัง เขาเกลียดชื่อนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะให้เลือก เขายอมให้นางเอ่ยนามเขาออกมาเต็มปากเสียยังดี ชื่อว่า หวงจิ่วเยี่ย เดิมทีสำหรับเขาก็เป็นเพียงชื่อหนึ่ง แต่เมื่อหลุดจากเรียวปากนาง กลับคล้ายกลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะเกินบรรยาย เมื่อเห็นเขานิ่งเฉย นางจึงก้าวเข้าไปหา แววตาเปี่ยมระแวง เขาเห็นนางยิ่งใกล้ หัวใจในอกก็เต้นแรงขึ้นทุกที เผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้ว… แขนของเขากลับถูกรั้งไว้โดยนาง อีกมือนางล้วงอ้อมไปด้านหลังเขา ลูบคลำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ “เจ้าคิดทำสิ่งใด?” เขากัดฟันถามเสียงต่ำ “มิได้คิดสิ่งใด” นางตอบเรียบ “เพียงอยากดูว่า เจ้าซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องลอบเร้นนัก” ยามนั้น เป็นกลางคืน ลมแรง แสงจันทร์เจือจาง หญิงชายยืนใกล้ชิดแนบอกกันกลางเงามืด ท่วงท่าคล้ายบุรุษสตรีที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เ
นางจากไปแล้ว เขาเพียงนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้ากระดานหมากล้อม แม้ผลแพ้ชนะจะตัดสินไปแล้ว แต่ในใจกลับยังว้าวุ่นไม่รู้จบ มือหนึ่งหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาแต่แม้จะเคยอ่านจนขึ้นใจ ทว่าครั้งนีไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ที่จะผ่านเข้าสู่จิตใจได้เลย จนกระทั่ง สายตาเขาหยุดลงตรงถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัด “เมื่อศัตรูยึดชัยภูมิไว้แล้ว จักต้องโยนหินล่อหยก ลอบย้ายเส้นทาง สร้างเรื่องลวง ฉกโอกาส พลิกแผนศัตรูและสุดท้าย เคี่ยวไฟใต้หม้อให้หมดทางเดือด!” ประโยคนั้น แม้รุนแรงเกินจำเป็น แต่กลับทำให้เขานึกถึงนางอย่างห้ามใจไม่ได้ หญิงสาวผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีราวเพลิงที่ไม่มีวันดับ หากวันหนึ่ง เขาเผลอทำลายความหยิ่งในแววตาคู่นั้นลงจนหมดสิ้น บางทีนางก็คงไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีก ที่สามารถดึงดูดใจเขาได้ หรือไม่ ก็อาจถึงคราวต้องฆ่านางเสียด้วยซ้ำ ให้สมกับสิ่งที่นางเคยทำไว้กับเขา! แต่ในเมื่อถึงตอนนี้ เขากลับไม่ได้ฆ่านาง หากแต่เก็บนางไว้ในใจเสียแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพียงรู้ว่าอยากคว้าเอาความรู้สึกนั้นไว้ให้แน่น อยากให้มีนางอยู่ข้างกาย แล้วค่อยๆคิดหาคำตอบในภายหลัง ทว่
“ปุ๊!”“แค่ก แค่ก แค่ก!!”หลินซีสำลักชาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากปากเขาน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปแทบพ่นกระจายออกมาทั้งคำ นางรีบหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างลนลาน หน้าแดงจัดจนแทบเปลี่ยนสีนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายตรงหน้าผู้ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี ฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ย จะเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาสุดท้าย…คำว่า “เล่าลือ” ก็เป็นเพียง “คำเล่า” เท่านั้นเองหวงจิ่วเยี่ยมองนางไอจนตัวโยน ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ขยับมือวางหมากลงอย่างสงบนิ่งดวงตาคมทอดมองกระดานตรงหน้า เห็นผลแพ้ชนะที่สิ้นสุดไปแล้วอย่างเรียบง่ายแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจตรงกันข้าม ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่ทัดเทียมกับตนโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นคือ “นาง”หลินซีวางหมากลงอีกเม็ด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ตรงไปตรงมาไร้เยื่อใย“ท่านอ๋อง ท่านแพ้แล้ว ได้โปรดทำตามสัญญาเถิด”เขาพยักหน้าช้า ๆ รับคำอย่างสงบ“ข้ายอมรับว่าแพ้จริงแต่ถึงข้าจะบอกเจ้าว่า หิมะบัวเทียนซานอยู่ที่ใด…เจ้าก็ใช่ว่าจะได้มันไปง่าย ๆ ห
เพราะหนิงหนิงกับเป่าเป่าเคยพูดไว้ว่า…‘พวกเราไม่กลัวตาย… แต่เรากลัวว่า ตอนที่ต้องตายท่านแม่จะไม่อยู่ด้วย…”ไม่… เป็นไปไม่ได้!หลินซีไม่มีวันยอมให้ลูกๆต้องตาย!นางไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของนางจากไปอย่างเดียวดายในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีวัน!เด็กทั้งสองยังเล็กนัก เส้นทางชีวิตในวันหน้ายังอีกยาวไกลนางจะต้องหาวิธีไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง นางก็ยินยอมหวงจิ่วเยี่ยเดินนำหน้า นางเดินตามอยู่เงียบ ๆเขาก้าวไปช้า นางก็ย่างตามช้า ๆ ทั้งสองมิได้เอ่ยสิ่งใดเขาไม่หันกลับมา นางก็ไม่ทัก ไม่เรียก ไม่ใส่ใจกระทั่งถึงทางแยก ระหว่างหอพักกับโถงหน้าเขาตั้งใจจะตรงไปยังห้องของตน แต่หลินซีกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่กี่ก้าวถัดไป เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าด้านหลังจึงชะงัก หันกลับมา สายตาเย็นเฉียบจับจ้องนาง “เหตุใดจึงไม่เดินต่อ?”หลินซียกคิ้ว ตอบเสียงเรียบ“ท่านอ๋อง ท่านเดินผิดทางแล้ว”จะพาไปห้องพักของเขารึ? จะให้ไปเล่นหมากในนั้น?เห็นทีจะไม่เหมาะมังหวงจิ่วเยี่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายเข้าใจบางสิ่งเขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง เด







