LOGINไป่หรงรีบทรุดกายต่ำลงกว่าเดิม ดวงตาหลุบต่ำ มิกล้าเงยขึ้นสู้สายตาท่านอ๋อง
“ท่านอ๋อง…ศัตรูครานี้หาใช่กองทัพยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นสตรีเพียงสองนาง กระหม่อมลองเข้าประมือแล้ว…กลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง หากมิใช่กำลังพลหนุนหลัง เกรงว่ากระหม่อมคงสิ้นชีพไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หวงจิ่วเยี่ยหลับตาเพียงครู่ ก่อนเอื้อนสุรเสียงเบาแต่แฝงดุจอัสนี “หึ… ห้าปีผ่านไป แผ่นดินนี้ยังมิสูญสิ้นยอดคนเช่นนั้น…” เขาเอื้อมมือเด็ดกลีบบัวหิมะ สูดกลิ่นหอมกรุ่นเบาๆ ความเย็นในกลีบแทรกซึมสู่หัวใจ แววตาเขายิ่งลึกลับจนผู้คนไม่อาจหยั่งถึง บรรยากาศภายในห้องลับพลันเงียบงันถึงที่สุด จนแม้เข็มร่วงยังได้ยินแจ่มชัด ครู่ใหญ่นั้น หวงจิ่วเยี่ยหันไปยังบุรุษผู้หนึ่งในชุดม่วง ผู้ยืนเคียงข้างอย่างสงบ จิ่นอู่หมอเทวะผู้เป็นขุมปัญญา “จิ่นอู่…เจ้าว่า ดอกบัวหิมะนี้ เพียงกลีบเดียว จักเพียงพอถอนพิษในกายข้าหรือไม่” จิ่นอู่ขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนเอื้อนสุรเสียงมั่นคงหนักแน่น “กลีบเดียวหาเพียงพอไม่ อย่างน้อยต้องสองกลีบจึงจะล้างพิษได้ หากข้าผสานเข้ากับตัวยาอื่น ปรุงเป็นโอสถยาวิเศษ มิใช่เพียงขจัดพิษ แต่ยังเพิ่มพูนพลังปราณของท่านได้อีกสามสิบปี!” “สามสิบปีหรือ…” หวงจิ่วเยี่ยหัวเราะต่ำแผ่วในลำคอ แววตาเยียบเย็นฉายประกายประหนึ่งหิมะตกกลางราตรี “ฟังดูก็น่าสนใจไม่น้อย” จิ่นอู่ที่ยืนเคียงข้างเหลือบมองอย่างระแวดระวัง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ในนัยน์ตาแฝงความเคร่งเครียด “เช่นนั้น…ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หวงจิ่วเยี่ยมิได้ตอบตรงๆ หากเพียงหันสายตาคมกร้าวจับจ้องไปยังเขา ดุจคมกระบี่ที่ส่องประกายแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ ก่อนจะเปล่งสุรเสียงเรียบเย็นเป็นคำถามอีกข้อ “จิ่นอู่ หากข้าปล่อยพิษในกายให้คงอยู่เช่นนี้ แล้วเกิดมีสัมพันธ์กับสตรีจนให้กำเนิดบุตร… พิษในกายข้า จะถ่ายทอดสู่เด็กนั้นหรือไม่” บรรยากาศในหอสมบัติพลันหนักอึ้งจนลมหายใจสะดุด จิ่นอู่ก้มหน้าลง ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่นไม่คลอนแคลน “ตามหลักแล้ว…ใช่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วผลลัพธ์จักเป็นเช่นไร” เสียงตอบชัดถ้อยกระชับ ราวดาบที่ฟันฉับลงตรงกลางหัวใจ “หากอยู่ในครรภ์ที่ถูกพิษกัดกร่อน เด็กนั้นแม้จักลืมตาดูโลกได้ แต่เกรงว่าจะไม่อาจมีอายุยืนเกินสามปี…” สามปี… ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวของหวงจิ่วเยี่ยพลันหรี่แคบลง ความคิดพลุ่งพล่านวาบผ่านสมองดุจอสนีบาต ท่วงท่าที่เยือกเย็นพลันแฝงคลื่นลึกล้ำที่มิอาจหยั่งถึง หากในคืนอันอุกอาจนั้น…สตรีผู้นั้นที่บังอาจล่วงเกินเขา เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจริง เวลานี้ห้าปีล่วงผ่านไปแล้ว เด็กคนนั้น…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เงียบงันครู่ใหญ่ เสียงทุ้มเย็นพลันเอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เสวี่ยเหลียนที่เหลือ…เก็บไว้ก่อน” เอ่ยเพียงเท่านี้ หวงจิ่วเยี่ยก็โปรยกลีบบัวหิมะที่คีบอยู่ในมือส่งให้จิ่นอู่ แววตาไร้อาลัยไร้ความผูกพัน ก่อนก้าวยาวออกจากหอสมบัติ เสียงก้าวเดินของเขาก้องสะท้อนห้องหินดังดุจระฆังบอกภัย ฟ้าแลบฟาดเงียบงันในอกทุกผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้น จิ่นอู่มองตามเงาหลังอันสูงสง่าไปด้วยความฉงน ลอบถอนหายใจ ค่อยๆ ยกกลีบเสวี่ยเหลียนขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นหอมกรุ่นอันเย็นเฉียบ ก่อนเด็ดกลีบหนึ่งวางลงบนถาดหยก เตรียมนำไปปรุงโอสถล้ำค่าโอสถซึ่งอาจกำหนดชะตาของทั้งราชสำนัก…และชีวิตผู้คนมากกว่าที่ใครจะคาดถึง ห้องหนังสือในจวนอ๋อง เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอดเข้ามา ชายร่างเตี้ยแคระ หน้าตาลิงลมปากแหลม วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง! ข่าวที่ให้กระหม่อมไปสืบ…บัดนี้ได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ดวงตาคมกริบของหวงจิ่วเยี่ยวาวขึ้นด้วยแววอำมหิต กำมือแน่นจนข้อนิ้วดังกรอบแกรบ “ว่ามา!” ชายเตี้ยสะดุ้งเฮือก รีบยกมือไหว้รัวๆ เสียงสั่นเครือ “โปรดอภัย หากหม่อมฉันเผลอกล่าวผิด…” เพียงสายตาเฉียงแลหนึ่งจากบุรุษบนเก้าอี้ใหญ่ ก็ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งกาย รีบกล้ำกลืนเสียงหัวเราะแห้ง ก่อนเอื้อนเอ่ยอย่างลนลาน “หญิงนั้นมีนามว่า มู่หลินซี อายุยี่สิบสองปี สืบสายจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยติดหนึ่งในแผ่นดิน ทำการค้ากว้างขวาง เงินทองไหลมาไม่ขาด เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้นางเหมือนจะถูกพิษเล่นงาน จึงส่งคนไปตามหาบัวหิมะบนเทียนซาน แต่กลับถูกท่านอ๋องชิงตัดหน้าไปก่อน… ตอนนี้นางเก็บทรัพย์สินเตรียมเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” “งั้นหรือ” หวงจิ่วเยี่ยยกมือขึ้น สะบัดเบาๆ เป็นสัญญาณให้หยุดพูดทันที ชายเตี้ยหน้าเหยเก หัวเราะแห้งกลบเกลื่อน “ใช่ๆ …ท่านอ๋อง…” แม้ผู้คนเรียกขานว่า “เปาซานกั่ว” เซียนข่าวสารผู้เก่งกาจ แต่ที่แท้กลับนำมาได้เพียงเศษเสี้ยวเรื่องราวเท่านั้นเอง หวงจิ่วเยี่ยปรายตามองเย็นเยียบ เอ่ยเสียงเรียบ “เอาเงินไป แล้วไสหัวไปให้พ้น” “ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” ชายเตี้ยดีใจราวสุนัขได้กระดูก คว้าถุงเงินแน่น ก่อนวิ่งหายลับไป ความเงียบกลับคืนสู่ห้องหนังสือ หวงจิ่วเยี่ยหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบชัด “ไป่หลิง!” ทันใดนั้น เงาดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเงียบกริบ คุกเข่าลงเบื้องหน้า “ท่านอ๋อง!” หวงจิ่วเยี่ยเพียงโบกมือสั้นๆ ไป่หลิงจึงก้าวเข้ามาใกล้ โน้มตัวลงเพื่อรอฟังคำสั่ง ริมฝีปากของเจ้านายกระซิบเพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ดวงหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปในบัดดล “ท่านอ๋อง…นี่มัน…” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้นแทรกทันที “ไปทำเถิด” แววตาคมกริบของหวงจิ่วเยี่ยส่องประกายวาววับ แฝงทั้งอำนาจและความน่าหวาดกลัว ก่อนเอ่ยย้ำชัดด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ “และจำไว้… ต้องทำให้งดงามที่สุด!” จวนมู่ เมืองเจียงหนาน ภายในห้องน้อยเงียบสงบ ดวงตะวันยามสายลอดผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก อาบแสงลงบนเตียงเล็กๆ อย่างอ่อนโยน มู่หลินซีนั่งอยู่เงียบๆข้างเตียงไม้ แววตานางทอดมองลูกน้อยทั้งสองผู้กำลังหลับใหล กายเล็กๆ สองร่างซุกอยู่ใต้ผ้านวมสีขาวสะอาดราวก้อนสำลี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มือเรียวเอื้อมออกไป ดึงผ้าห่มให้แนบแน่นกว่าเดิม พลางลูบเบาๆ ที่กลุ่มผมอ่อนของลูกน้อย สักพัก นางก็ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ฝีเท้าทุกก้าวเปี่ยมไปด้วยความอาลัย ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไร้เสียงรบกวน ชายชราไว้หนวดเคราขาว ยืนสงบนิ่งราวเสาหิน ทันทีที่หลินซีเดินผ่าน เขาก็ขยับกายติดตามไปอย่างเงียบเชียบ มิได้ปริปากแม้คำเดียว ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด หลินซีเอนกายลงบนเก้าอี้ไม้ พิงพนักด้วยท่าทีอ่อนแรง นางหลับตาลง สีหน้าฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคย ผ่านไปเนิ่นนาน นางลืมตาขึ้นช้าๆ เสียงที่เอ่ยออกมาเบาดุจลมหายใจ “…ยังเหลือเวลาอีกเท่าใด” ชายชราผู้อยู่เบื้องหน้าก้มศีรษะตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “หากควบคุมพิษได้ดี คุณหนูน้อยและคุณชายตัวน้อยอาจอยู่ได้ถึงหนึ่งปี แต่หากร่างกายต้านทานไม่ไหว เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปี… มากที่สุด เจ็ดเดือน” ทันใดนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น “พอแล้ว!” คำเอ่ยของหลินซีดุจคมมีด กรีดอากาศจนชายชราสะดุ้ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนกลั้นบางอย่างไว้ในอก แล้วโบกมือเบาๆ “เจ้าถอยไปเถิด…” ชายชราก้มศีรษะลงอีกครั้ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “ขอรับคุณหนู…” จากนั้นเขาก็ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้นางนั่งอยู่ลำพังกับความทุกข์ระทมที่เกาะกินหัวใจหลินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจพวกคนสวมหน้ากากไม่ได้เอ่ยคำใดแม้แต่น้อยเพียงแค่หมายตาเป้าหมาย แล้วโถมเข้ามาโจมตีหวงจิ่วเยี่ยอย่างบ้าคลั่งหวงจิ่วเยี่ยออกมาโดยไม่ได้พกกระบี่หรืออาวุธใดๆนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระบี่อ่อนที่พันอยู่ที่เอว ส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว“ยืมไปใช้ก่อน!”หวงจิ่วเยี่ยชะงักนิดเดียว แต่เพียงพริบตาก็ยื่นมือรับกระบี่จากนางจากนั้นกลับควักกระบี่เล็กจากเอวตนออกมาเป็นกระบี่ขนาดเล็กเพียงนิ้วมือเดียว แล้วยื่นให้หลินซีแทน ไม่กล่าวคำใด พลันเหินร่างเข้าสู่สมรภูมิ “นี่มัน…” หลินซีอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็อดหัวเราะทั้งน้ำตาไม่ได้ นางนึกถึงเหตุการณ์ในจวน ขนม ของเล่น ของใช้ของสองพี่น้อง ที่มักจะสลับกันอยู่เสมอ ทั้งที่นางจัดวางไว้แยกชัดเจน ไม่แน่ว่า… นิสัยแบบนี้ คงถ่ายทอดมาจากเขา นางเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังร่างของหวงจิ่วเยี่ยในสนามรบ เขาใช้กระบี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วราวสายฟ้า กระบวนท่าลื่นไหลดั่งสายน้ำ แต่เฉียบขาดทุกดอกฟัน แต่ละท่วงท่า ไม่มีความลังเล ไม่มีคำว่าเมตตา ทุกครั้งที่ลงมือ มีเสียงโหยหวนติดตามมา ไม่ถึงขั้นตาย แต่ล้วนถูกฟันจนเส้นเอ็นขาด บางคนถูก
หนิงหนิงกับเป่าเป่ามีทางรอดแล้ว ไม่ต้องทรมานกับพิษร้ายที่กัดลึกถึงไขกระดูกอีกต่อไป “เทียนซานเสวี่ยเหลียน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบชัด แววตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยน หลินซีหัวเราะทั้งน้ำตา มือหนึ่งยกขึ้นปิดปากแต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ เขาไม่เคยชินกับการเห็นผู้หญิงร้องไห้และไม่รู้เลยว่าควรปลอบอย่างไร “อยู่ดี ๆ จะร้องไห้ไปไยกัน” เขาพึมพำเบา ๆ ล้วงหาผ้าเช็ดหน้าภายในชุดแต่สุดท้ายกลับพบว่า ไม่ได้พกมาเลย มือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตานางกลับถูกคว้าไว้แน่น “ของจริงหรือ?” เสียงของนางเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในแววตากลับสั่นไหว “ใช่ ของจริงแน่นอน” เขาตอบกลับโดยไม่ลังเล นางยิ้มทั้งน้ำตา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ของจริง… แล้วเจ้าจะให้ข้าจริงๆ หรือ?” เขาพยักหน้าแน่นหนัก “อืม ให้เจ้าแน่นอน” หลินซีไม่ลังเล มือเรียวกวาดกล่องผ้าไหมในมือเขามาแน่นหนา ปิดฝาลงแล้วกอดไว้แนบอกเหมือนสิ่งนี้คือชีวิตนาง น้ำหนักภายในใจที่แบกมาตลอดห้าปี ร่วงหล่นในพริบตา หญิงสาวที่เคยแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกลับรู้สึกอ่อนแรงจนต้องพิงพาเขา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความจริงว่า ชายตรงหน้าคือบิด
หลินซีแค่นเสียงเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามอง หมุนกายหมายจะจากไป แต่ยังไม่ทันพ้นสองก้าว กลับรู้สึกถึงสิ่งใดบางอย่างผิดแผก จึงหยุดยืน หันกลับมามองเขาด้วยแววตาเรียบเย็น “ท่านอ๋องทรงว่างนักหรือ?” คำเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้คิ้วของหวงจิ่วเยี่ยขมวดเข้าหากันอย่างไม่อาจปิดบัง เขาเกลียดชื่อนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะให้เลือก เขายอมให้นางเอ่ยนามเขาออกมาเต็มปากเสียยังดี ชื่อว่า หวงจิ่วเยี่ย เดิมทีสำหรับเขาก็เป็นเพียงชื่อหนึ่ง แต่เมื่อหลุดจากเรียวปากนาง กลับคล้ายกลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะเกินบรรยาย เมื่อเห็นเขานิ่งเฉย นางจึงก้าวเข้าไปหา แววตาเปี่ยมระแวง เขาเห็นนางยิ่งใกล้ หัวใจในอกก็เต้นแรงขึ้นทุกที เผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้ว… แขนของเขากลับถูกรั้งไว้โดยนาง อีกมือนางล้วงอ้อมไปด้านหลังเขา ลูบคลำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ “เจ้าคิดทำสิ่งใด?” เขากัดฟันถามเสียงต่ำ “มิได้คิดสิ่งใด” นางตอบเรียบ “เพียงอยากดูว่า เจ้าซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องลอบเร้นนัก” ยามนั้น เป็นกลางคืน ลมแรง แสงจันทร์เจือจาง หญิงชายยืนใกล้ชิดแนบอกกันกลางเงามืด ท่วงท่าคล้ายบุรุษสตรีที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เ
นางจากไปแล้ว เขาเพียงนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้ากระดานหมากล้อม แม้ผลแพ้ชนะจะตัดสินไปแล้ว แต่ในใจกลับยังว้าวุ่นไม่รู้จบ มือหนึ่งหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาแต่แม้จะเคยอ่านจนขึ้นใจ ทว่าครั้งนีไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ที่จะผ่านเข้าสู่จิตใจได้เลย จนกระทั่ง สายตาเขาหยุดลงตรงถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัด “เมื่อศัตรูยึดชัยภูมิไว้แล้ว จักต้องโยนหินล่อหยก ลอบย้ายเส้นทาง สร้างเรื่องลวง ฉกโอกาส พลิกแผนศัตรูและสุดท้าย เคี่ยวไฟใต้หม้อให้หมดทางเดือด!” ประโยคนั้น แม้รุนแรงเกินจำเป็น แต่กลับทำให้เขานึกถึงนางอย่างห้ามใจไม่ได้ หญิงสาวผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีราวเพลิงที่ไม่มีวันดับ หากวันหนึ่ง เขาเผลอทำลายความหยิ่งในแววตาคู่นั้นลงจนหมดสิ้น บางทีนางก็คงไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีก ที่สามารถดึงดูดใจเขาได้ หรือไม่ ก็อาจถึงคราวต้องฆ่านางเสียด้วยซ้ำ ให้สมกับสิ่งที่นางเคยทำไว้กับเขา! แต่ในเมื่อถึงตอนนี้ เขากลับไม่ได้ฆ่านาง หากแต่เก็บนางไว้ในใจเสียแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพียงรู้ว่าอยากคว้าเอาความรู้สึกนั้นไว้ให้แน่น อยากให้มีนางอยู่ข้างกาย แล้วค่อยๆคิดหาคำตอบในภายหลัง ทว่
“ปุ๊!”“แค่ก แค่ก แค่ก!!”หลินซีสำลักชาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากปากเขาน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปแทบพ่นกระจายออกมาทั้งคำ นางรีบหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างลนลาน หน้าแดงจัดจนแทบเปลี่ยนสีนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายตรงหน้าผู้ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี ฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ย จะเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาสุดท้าย…คำว่า “เล่าลือ” ก็เป็นเพียง “คำเล่า” เท่านั้นเองหวงจิ่วเยี่ยมองนางไอจนตัวโยน ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ขยับมือวางหมากลงอย่างสงบนิ่งดวงตาคมทอดมองกระดานตรงหน้า เห็นผลแพ้ชนะที่สิ้นสุดไปแล้วอย่างเรียบง่ายแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจตรงกันข้าม ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่ทัดเทียมกับตนโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นคือ “นาง”หลินซีวางหมากลงอีกเม็ด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ตรงไปตรงมาไร้เยื่อใย“ท่านอ๋อง ท่านแพ้แล้ว ได้โปรดทำตามสัญญาเถิด”เขาพยักหน้าช้า ๆ รับคำอย่างสงบ“ข้ายอมรับว่าแพ้จริงแต่ถึงข้าจะบอกเจ้าว่า หิมะบัวเทียนซานอยู่ที่ใด…เจ้าก็ใช่ว่าจะได้มันไปง่าย ๆ ห
เพราะหนิงหนิงกับเป่าเป่าเคยพูดไว้ว่า…‘พวกเราไม่กลัวตาย… แต่เรากลัวว่า ตอนที่ต้องตายท่านแม่จะไม่อยู่ด้วย…”ไม่… เป็นไปไม่ได้!หลินซีไม่มีวันยอมให้ลูกๆต้องตาย!นางไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของนางจากไปอย่างเดียวดายในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีวัน!เด็กทั้งสองยังเล็กนัก เส้นทางชีวิตในวันหน้ายังอีกยาวไกลนางจะต้องหาวิธีไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง นางก็ยินยอมหวงจิ่วเยี่ยเดินนำหน้า นางเดินตามอยู่เงียบ ๆเขาก้าวไปช้า นางก็ย่างตามช้า ๆ ทั้งสองมิได้เอ่ยสิ่งใดเขาไม่หันกลับมา นางก็ไม่ทัก ไม่เรียก ไม่ใส่ใจกระทั่งถึงทางแยก ระหว่างหอพักกับโถงหน้าเขาตั้งใจจะตรงไปยังห้องของตน แต่หลินซีกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่กี่ก้าวถัดไป เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าด้านหลังจึงชะงัก หันกลับมา สายตาเย็นเฉียบจับจ้องนาง “เหตุใดจึงไม่เดินต่อ?”หลินซียกคิ้ว ตอบเสียงเรียบ“ท่านอ๋อง ท่านเดินผิดทางแล้ว”จะพาไปห้องพักของเขารึ? จะให้ไปเล่นหมากในนั้น?เห็นทีจะไม่เหมาะมังหวงจิ่วเยี่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายเข้าใจบางสิ่งเขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง เด







