ไป่หรงรีบทรุดกายต่ำลงกว่าเดิม ดวงตาหลุบต่ำ มิกล้าเงยขึ้นสู้สายตาท่านอ๋อง
“ท่านอ๋อง…ศัตรูครานี้หาใช่กองทัพยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นสตรีเพียงสองนาง กระหม่อมลองเข้าประมือแล้ว…กลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง หากมิใช่กำลังพลหนุนหลัง เกรงว่ากระหม่อมคงสิ้นชีพไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หวงจิ่วเยี่ยหลับตาเพียงครู่ ก่อนเอื้อนสุรเสียงเบาแต่แฝงดุจอัสนี “หึ… ห้าปีผ่านไป แผ่นดินนี้ยังมิสูญสิ้นยอดคนเช่นนั้น…” เขาเอื้อมมือเด็ดกลีบบัวหิมะ สูดกลิ่นหอมกรุ่นเบาๆ ความเย็นในกลีบแทรกซึมสู่หัวใจ แววตาเขายิ่งลึกลับจนผู้คนไม่อาจหยั่งถึง บรรยากาศภายในห้องลับพลันเงียบงันถึงที่สุด จนแม้เข็มร่วงยังได้ยินแจ่มชัด ครู่ใหญ่นั้น หวงจิ่วเยี่ยหันไปยังบุรุษผู้หนึ่งในชุดม่วง ผู้ยืนเคียงข้างอย่างสงบ จิ่นอู่หมอเทวะผู้เป็นขุมปัญญา “จิ่นอู่…เจ้าว่า ดอกบัวหิมะนี้ เพียงกลีบเดียว จักเพียงพอถอนพิษในกายข้าหรือไม่” จิ่นอู่ขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนเอื้อนสุรเสียงมั่นคงหนักแน่น “กลีบเดียวหาเพียงพอไม่ อย่างน้อยต้องสองกลีบจึงจะล้างพิษได้ หากข้าผสานเข้ากับตัวยาอื่น ปรุงเป็นโอสถยาวิเศษ มิใช่เพียงขจัดพิษ แต่ยังเพิ่มพูนพลังปราณของท่านได้อีกสามสิบปี!” “สามสิบปีหรือ…” หวงจิ่วเยี่ยหัวเราะต่ำแผ่วในลำคอ แววตาเยียบเย็นฉายประกายประหนึ่งหิมะตกกลางราตรี “ฟังดูก็น่าสนใจไม่น้อย” จิ่นอู่ที่ยืนเคียงข้างเหลือบมองอย่างระแวดระวัง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ในนัยน์ตาแฝงความเคร่งเครียด “เช่นนั้น…ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” หวงจิ่วเยี่ยมิได้ตอบตรงๆ หากเพียงหันสายตาคมกร้าวจับจ้องไปยังเขา ดุจคมกระบี่ที่ส่องประกายแฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ ก่อนจะเปล่งสุรเสียงเรียบเย็นเป็นคำถามอีกข้อ “จิ่นอู่ หากข้าปล่อยพิษในกายให้คงอยู่เช่นนี้ แล้วเกิดมีสัมพันธ์กับสตรีจนให้กำเนิดบุตร… พิษในกายข้า จะถ่ายทอดสู่เด็กนั้นหรือไม่” บรรยากาศในหอสมบัติพลันหนักอึ้งจนลมหายใจสะดุด จิ่นอู่ก้มหน้าลง ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่นไม่คลอนแคลน “ตามหลักแล้ว…ใช่พ่ะย่ะค่ะ” “แล้วผลลัพธ์จักเป็นเช่นไร” เสียงตอบชัดถ้อยกระชับ ราวดาบที่ฟันฉับลงตรงกลางหัวใจ “หากอยู่ในครรภ์ที่ถูกพิษกัดกร่อน เด็กนั้นแม้จักลืมตาดูโลกได้ แต่เกรงว่าจะไม่อาจมีอายุยืนเกินสามปี…” สามปี… ดวงตาคมกริบดั่งเหยี่ยวของหวงจิ่วเยี่ยพลันหรี่แคบลง ความคิดพลุ่งพล่านวาบผ่านสมองดุจอสนีบาต ท่วงท่าที่เยือกเย็นพลันแฝงคลื่นลึกล้ำที่มิอาจหยั่งถึง หากในคืนอันอุกอาจนั้น…สตรีผู้นั้นที่บังอาจล่วงเกินเขา เกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจริง เวลานี้ห้าปีล่วงผ่านไปแล้ว เด็กคนนั้น…ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เงียบงันครู่ใหญ่ เสียงทุ้มเย็นพลันเอื้อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เสวี่ยเหลียนที่เหลือ…เก็บไว้ก่อน” เอ่ยเพียงเท่านี้ หวงจิ่วเยี่ยก็โปรยกลีบบัวหิมะที่คีบอยู่ในมือส่งให้จิ่นอู่ แววตาไร้อาลัยไร้ความผูกพัน ก่อนก้าวยาวออกจากหอสมบัติ เสียงก้าวเดินของเขาก้องสะท้อนห้องหินดังดุจระฆังบอกภัย ฟ้าแลบฟาดเงียบงันในอกทุกผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้น จิ่นอู่มองตามเงาหลังอันสูงสง่าไปด้วยความฉงน ลอบถอนหายใจ ค่อยๆ ยกกลีบเสวี่ยเหลียนขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นหอมกรุ่นอันเย็นเฉียบ ก่อนเด็ดกลีบหนึ่งวางลงบนถาดหยก เตรียมนำไปปรุงโอสถล้ำค่าโอสถซึ่งอาจกำหนดชะตาของทั้งราชสำนัก…และชีวิตผู้คนมากกว่าที่ใครจะคาดถึง ห้องหนังสือในจวนอ๋อง เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังลอดเข้ามา ชายร่างเตี้ยแคระ หน้าตาลิงลมปากแหลม วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง! ข่าวที่ให้กระหม่อมไปสืบ…บัดนี้ได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ดวงตาคมกริบของหวงจิ่วเยี่ยวาวขึ้นด้วยแววอำมหิต กำมือแน่นจนข้อนิ้วดังกรอบแกรบ “ว่ามา!” ชายเตี้ยสะดุ้งเฮือก รีบยกมือไหว้รัวๆ เสียงสั่นเครือ “โปรดอภัย หากหม่อมฉันเผลอกล่าวผิด…” เพียงสายตาเฉียงแลหนึ่งจากบุรุษบนเก้าอี้ใหญ่ ก็ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งกาย รีบกล้ำกลืนเสียงหัวเราะแห้ง ก่อนเอื้อนเอ่ยอย่างลนลาน “หญิงนั้นมีนามว่า มู่หลินซี อายุยี่สิบสองปี สืบสายจากตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยติดหนึ่งในแผ่นดิน ทำการค้ากว้างขวาง เงินทองไหลมาไม่ขาด เพียงแต่เมื่อไม่นานมานี้นางเหมือนจะถูกพิษเล่นงาน จึงส่งคนไปตามหาบัวหิมะบนเทียนซาน แต่กลับถูกท่านอ๋องชิงตัดหน้าไปก่อน… ตอนนี้นางเก็บทรัพย์สินเตรียมเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” “งั้นหรือ” หวงจิ่วเยี่ยยกมือขึ้น สะบัดเบาๆ เป็นสัญญาณให้หยุดพูดทันที ชายเตี้ยหน้าเหยเก หัวเราะแห้งกลบเกลื่อน “ใช่ๆ …ท่านอ๋อง…” แม้ผู้คนเรียกขานว่า “เปาซานกั่ว” เซียนข่าวสารผู้เก่งกาจ แต่ที่แท้กลับนำมาได้เพียงเศษเสี้ยวเรื่องราวเท่านั้นเอง หวงจิ่วเยี่ยปรายตามองเย็นเยียบ เอ่ยเสียงเรียบ “เอาเงินไป แล้วไสหัวไปให้พ้น” “ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” ชายเตี้ยดีใจราวสุนัขได้กระดูก คว้าถุงเงินแน่น ก่อนวิ่งหายลับไป ความเงียบกลับคืนสู่ห้องหนังสือ หวงจิ่วเยี่ยหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบชัด “ไป่หลิง!” ทันใดนั้น เงาดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเงียบกริบ คุกเข่าลงเบื้องหน้า “ท่านอ๋อง!” หวงจิ่วเยี่ยเพียงโบกมือสั้นๆ ไป่หลิงจึงก้าวเข้ามาใกล้ โน้มตัวลงเพื่อรอฟังคำสั่ง ริมฝีปากของเจ้านายกระซิบเพียงไม่กี่คำ แต่กลับทำให้ดวงหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปในบัดดล “ท่านอ๋อง…นี่มัน…” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้นแทรกทันที “ไปทำเถิด” แววตาคมกริบของหวงจิ่วเยี่ยส่องประกายวาววับ แฝงทั้งอำนาจและความน่าหวาดกลัว ก่อนเอ่ยย้ำชัดด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ “และจำไว้… ต้องทำให้งดงามที่สุด!” จวนมู่ เมืองเจียงหนาน ภายในห้องน้อยเงียบสงบ ดวงตะวันยามสายลอดผ่านหน้าต่างไม้แกะสลัก อาบแสงลงบนเตียงเล็กๆ อย่างอ่อนโยน มู่หลินซีนั่งอยู่เงียบๆข้างเตียงไม้ แววตานางทอดมองลูกน้อยทั้งสองผู้กำลังหลับใหล กายเล็กๆ สองร่างซุกอยู่ใต้ผ้านวมสีขาวสะอาดราวก้อนสำลี ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด มือเรียวเอื้อมออกไป ดึงผ้าห่มให้แนบแน่นกว่าเดิม พลางลูบเบาๆ ที่กลุ่มผมอ่อนของลูกน้อย สักพัก นางก็ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ฝีเท้าทุกก้าวเปี่ยมไปด้วยความอาลัย ก่อนจะเดินออกจากห้องโดยไร้เสียงรบกวน ชายชราไว้หนวดเคราขาว ยืนสงบนิ่งราวเสาหิน ทันทีที่หลินซีเดินผ่าน เขาก็ขยับกายติดตามไปอย่างเงียบเชียบ มิได้ปริปากแม้คำเดียว ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด หลินซีเอนกายลงบนเก้าอี้ไม้ พิงพนักด้วยท่าทีอ่อนแรง นางหลับตาลง สีหน้าฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคย ผ่านไปเนิ่นนาน นางลืมตาขึ้นช้าๆ เสียงที่เอ่ยออกมาเบาดุจลมหายใจ “…ยังเหลือเวลาอีกเท่าใด” ชายชราผู้อยู่เบื้องหน้าก้มศีรษะตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “หากควบคุมพิษได้ดี คุณหนูน้อยและคุณชายตัวน้อยอาจอยู่ได้ถึงหนึ่งปี แต่หากร่างกายต้านทานไม่ไหว เกรงว่าจะอยู่ได้ไม่ถึงครึ่งปี… มากที่สุด เจ็ดเดือน” ทันใดนั้น น้ำเสียงอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น “พอแล้ว!” คำเอ่ยของหลินซีดุจคมมีด กรีดอากาศจนชายชราสะดุ้ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนกลั้นบางอย่างไว้ในอก แล้วโบกมือเบาๆ “เจ้าถอยไปเถิด…” ชายชราก้มศีรษะลงอีกครั้ง ก่อนกล่าวเสียงเบา “ขอรับคุณหนู…” จากนั้นเขาก็ถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้นางนั่งอยู่ลำพังกับความทุกข์ระทมที่เกาะกินหัวใจ“ต่อให้เทียนซานเสวี่ยเหลียนไม่ตกอยู่ในมือพวกเราตั้งแต่แรก หากเมื่อใดมันเผยโฉม เราก็ต้อง แย่งมาให้ได้…ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!” เสียงของนางราวสายลมหนาวในหุบเหว ฉูเหวินทรุดกายคุกเข่าทันที “ขอรับ!” ศึกหญิงงามชิงเด่น ข่าวลือเรื่องที่อ๋องผู้สำเร็จราชการจะจัดการคัดเลือกหญิงงาม เพียงแพร่สะพัดออกไป ก็สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางผู้ทรงอำนาจและตระกูลมั่งคั่งต่างรีบส่งบุตรีที่งดงามที่สุดของตนออกมาอวดโฉม บ้างว่าจ้างครูผู้ชำนาญมาสอนศิลปะสารพัดแขนง บ้างสั่งตัดชุดงามล้ำจากหอจิ่นซ่านเก๋อ ยิ่งใครปรารถนาผลลัพธ์มากเท่าไร ยิ่งทุ่มเทมากเท่านั้น โชคดีที่หอจิ่นซ่านเก๋อมีหญิงปักผ้าฝีมือเอกมากพอ แม้จะสั่งทำเฉพาะ ก็ยังสามารถส่งมอบได้ภายในสามวัน แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ถูกนำมานับถือคือเงินทอง หากเจ้ามีเงิน เจ้าก็เป็นได้ถึงขั้นบงการ หากขัดสนแต่ยังอยากรักษาหน้า ก็เลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปแขวนอยู่ตรงนั้น จ่ายเงินแล้วนำกลับไปอวดอ้างก็ยังได้อยู่ดี เพราะเสื้อผ้าของหอจิ่นซ่านเก๋อขึ้นชื่อมาแต่เดิมว่า หรูหรา งดงาม และสูงศักดิ์ “คุณหนู ฮะฮะฮะ ช่วงนี้รายได้งามนัก” ฉูเหวินถือสมุดบัญชีเดินยิ้มเข้ามาใ
คืนนั้น… คงทำให้ตาเฒ่าชราผู้นั้น ตกใจไม่น้อยเลยกระมัง ไม่อย่างนั้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผู้คนมากมายยังแวะเวียนมาดูอาการนาง ทว่าเพียงเขาผู้เดียวที่ไม่เคยปรากฏตัว“ตาเฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “ท่านอาวุโสยังแข็งแรงดีเจ้าค่ะ!” หลินซีส่ายหน้าเบา ๆ แววตาเศร้าลึกจนยากจะเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายถึงยามนี้ แต่หมายถึงคืนนั้น หลังจากเขาส่งข้ากลับมาแล้ว… เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงเม้มปากแน่น หันมองรอบกายอย่างระวัง พอแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ จึงโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา “คืนนั้น หลังจากผู้อาวุโสอุ้มคุณหนูกลับถึงเรือน เขาก็หมดสติลงทันทีเจ้าค่ะ ” คำพูดแผ่วๆ เหล่านั้น กลับดังกึกก้องในห้วงจิตของหลินซี หัวใจพลันบีบรัดแน่น ราวถูกมือใครบีบไว้เต็มแรง “ข้าคิดว่า… เทียนซานเสวี่ยเหลียน หาได้ง่ายดายนัก เหมือนของที่หยิบออกมาจากกระเป๋า แต่เปล่าเลย…” เสียงนางสั่นเครือ มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นปิดริมฝีปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้นที่แทบจะทะลักออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมด… คือความประมาทของนางเอง นางควรระลึกไว้ให้มั่น ว่า… หวงจิ่วเยี่ยคือผู้ใด เขาไม่ใช่ชายคนหน
เด็กน้อยสองคน วัยเพียงห้าขวบเท่านั้น กลับกอดกันแน่นราวกับโลกทั้งใบพังทลาย และมีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้น… ที่ยังหลงเหลือ หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยร้อง ไม่เคยเอะอะ แม้กระทั่งคำพูดก็ยังต้องเอื้อนเอ่ยเบาที่สุด เพราะกลัวจะรบกวนผู้เป็นมารดาที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว แม้จะยังเล็กนัก แต่กลับเข้าใจทุกอย่างเข้าใจมากเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรจะเข้าใจ และเพราะเข้าใจ พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ ในความเงียบที่กดทับ บนใบหน้าที่ฝืนแววกล้า ไม่มีใครรู้เลยว่าในใจของเด็กน้อยสองคนนี้ เต็มไปด้วยความกลัว ความว้าเหว่ และความหวังเพียงริบหรี่ที่เกาะกุมอยู่ ซือหรงยืนเงียบอยู่หน้าประตูห้อง สายตาแน่วนิ่งไปยังภาพบนเตียง เด็กน้อยสองคนกอดกันแน่นจนแทบเป็นเนื้อเดียว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหันหน้าหนีเงียบๆ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงอาบแก้ม ไร้เสียงสะอื้น แต่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนแทบกลืนไม่ลง ในห้วงขณะนั้นเอง มือของหลินซีก็ขยับไหวเพียงเล็กน้อย เปลือกตาคู่งามค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ อย่างยากเย็นและภาพแรกที่แลเข้ามาในสายตา คือภาพของเป่าเป่าและหนิงหนิง เด็กน้อยทั้งสองที่กอดกันแน่น เฝ้านา
เพราะเขารู้ดี หวงจิ่วเยี่ยไม่เคยเป็นเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนชอบดื่มสุรา และต่อให้ดื่ม… ก็ไม่เคยเมา แต่ยามนี้… เขากลับดื่มราวกับไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกเลย เหมือนคนที่ไม่เหลืออะไรให้หวงแหนในโลกนี้อีกแล้ว “ท่านอ๋อง?” จิ่นอู่เอ่ยขึ้นเบา ๆ พักใหญ่ กว่าหวงจิ่วเยี่ยจะค่อย ๆ ลืมตา เขาหันมามองจิ่นอู่ตรง ๆ สายตานิ่งราวกับคนสิ้นใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ่นอู่… เจ้ารู้ไหม ที่จริง ข้ามีความลับข้อหนึ่ง ไม่เคยบอกใครมาก่อนเลยจริงๆ” จิ่นอู่ขมวดคิ้วทันที “ความลับ? ท่านน่ะ มีมากเกินพอแล้ว ข้าไม่อยากรู้ ” แต่หวงจิ่วเยี่ยกลับจับไหล่เขาไว้แน่น มือที่ยังอุ่นด้วยสุรา แต่กลับสั่นอย่างรุนแรง “ไม่… เจ้าต้องฟัง! จิ่นอู่… ข้าขอแค่ครั้งเดียว เจ้าต้องฟังให้จบ!” จิ่นอู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “ก็ได้ ว่ามา ข้าฟังอยู่” เงียบไปชั่วอึดใจ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นเบาๆ “จริง ๆ แล้ว ข้า...”หวงจิ่วเยี่ยกระดกสุราลงคอหลายอึกติดกัน สุราร้อนลวกราวเปลวเพลิง ไหลผ่านลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ในห้วงขณะหนึ่ง เขากลับรู้สึก อยากกลับไป… อยากกลับไปเสียเถอะ… เสียงไอแห้งๆ ดังขึ้นถี่รัว ก่อนที่ร่างสูงจะโซเซเดินออกจากลานอย่างเ
แต่กลับ… ไม่อาจสลัดหลุดและในอ้อมแขนนั้น ร่างของหญิงสาวผู้แกร่งกล้า ค่อย ๆ เย็นเยียบลงทุกที เลือดสีเข้มไหลรินจากมุมปาก หยดลงบนอกเสื้อของเขาเป็นดวง ๆ “เจ้าหนู…?” เสียงเรียกนั้นเบาหวิว ราวตาเฒ่ากำลังร้องเรียกวิญญาณใกล้พราก หลินซีฝืนลืมตา ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด “ข้าไม่เป็นไร… พาข้ากลับไป ข้า… ข้าจะไปหาหนิงหนิงกับเป่าเป่า ข้ายัง… ยังต้องไปหา…ลูก…ของข้า…” เสียงของนางแผ่วจนแทบไร้ลมหายใจ แต่ทุกคำกลับหนักแน่นดุจภูผา ชายชรากัดฟันแน่น น้ำเสียงพลันแปรเป็นเกรี้ยวกราด “ไม่! คนดีมักอายุสั้น แต่คนอย่างเจ้า ไม่ใช่แน่นอน! เจ้ายังต้องอยู่ต่อไป!” เขาแหงนหน้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยุดวิ่ง หันกลับทันควัน แล้วพาร่างในอ้อมแขนพุ่งตรงไปยัง “สาขาหลักของสำนักกุ้ยเซี่ย” ที่ตั้งอยู่กลางเมือง! หากหวงจิ่วเยี่ยมันจะตาม ก็ให้มันตามมา! หากมันกล้าขวาง ข้าจะฆ่ามันเสียด้วยมือของข้าเอง!และหวงจิ่วเยี่ยก็ไล่ตามไม่ลดละ สีหน้าของเขาแข็งกร้าว ดวงตาแดงฉาน มือแน่นดั่งกรงเหล็ก เขาไม่ได้ไล่เพื่อฆ่า เขาแค่จะชิงตัวนางกลับคืนมา แต่แล้ว… เมื่อแสงจันทร์ทอดตัวลงกระทบใบหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนของกู่เซี่ย เขาก็ต้องชะงัก ใบหน้าท
เขาไม่เคยต้องการให้นางเจ็บ ไม่เคยเลย… เขาปล่อยกระบี่ลง ปล่อยให้นางแทงเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ขณะเดียวกัน หวงจิ่วเยี่ยรวบรวมพลังไว้ที่มือข้างหนึ่งก่อนปลายกระบี่ของหลินซีจะสัมผัสถึงอก เขากลับยื่นมือออกอย่างรวดเร็ว ใช้เคล็ด “ดูดพลัง” ดูดลมปราณทั้งหมดของนางกลับเข้าสู่ร่างตน! “เคล็ดดูดพลัง! เจ้าหนู ระวัง!” เสียงคำรามของชายชรากู่เซี่ยดังลั่นราวฟ้าผ่า เขากระโจนเข้าหานางทันที ทว่า มังกรหนึ่งกับองครักษ์เงาสองคน พุ่งมาขวางไว้ในพริบตา! เสียงกระบี่ปะทะดังแหลมสนั่นกลางอากาศ ประกายโลหิตกระเซ็นวาบ แต่กู่เซี่ยไม่มีทางฝ่าเข้าไปได้ หลินซีเบิกตาโพลง จ้องหน้าเขาด้วยความไม่อยากเชื่อขณะพลังภายในร่างไหลออกอย่างไม่อาจควบคุม มือเรียวไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับกระบี่ไว้ให้มั่น ร่างทั้งร่างอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ สุดท้าย… กระบี่ร่วงหล่นจากมือ และร่างของนางก็ตกจากอากาศอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่หลินซี… ยังไม่ยอมแพ้! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร นางจะตายไม่ได้! ภาพในใจแวบขึ้นมา เสียงหัวเราะใสๆของหนิงหนิงรอยยิ้มอบอุ่นของเป่าเป่า หัวใจที่แทบหยุดเต้นของนางกลับเต้นแรงอีกครั้ง นางยังมีลูก นางต้องอยู่ต่อ! ทันใดนั้น ร่างที่ใกล้