ค่ำคืนนั้น
หลินซียืนอยู่หน้าประตูห้องของหนิงหนิงและเป่าเป่า แววตาเต็มไปด้วยความลังเล ก่อนจะกำมือแน่น ไม่…!! ลูกของนางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด นางก็จะหาทางนำเทียนซานเสวี่ยเหลียน กลับมาให้ได้ ขณะนั้นเอง เสียงแผ่วเบาดังขึ้น… ประตูห้องเปิดออกอย่างเงียบงัน ร่างเล็กของหนิงหนิงยืนอยู่ตรงหน้า นางสวมชุดเบาบาง แววตาใสแจ๋วมองนางอย่างไว้ใจ มือข้างหนึ่งจูงเป่าเป่าไว้แน่น “…ท่านแม่…” เสียงใสของเด็กน้อยเอ่ยเบาๆ หลินซียิ้มจางนางโน้มกายลง โอบกอดร่างเล็กทั้งสองเข้ามาแนบอก ก่อนจะพาทั้งสามคนกลับเข้าห้องไปเงียบๆ ร่างของเด็กทั้งสอง แม้ใบหน้าจะยังดูสดใสน่ารัก ทว่าใต้ผ้านั้น กลับเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและแผลจากพิษ บาดแผลเหล่านั้น สำหรับเด็กอายุเพียงเท่านี้…ถือว่าเจ็บเกินทาน แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่เคยร้องไห้…ไม่เคยปริปากว่าเจ็บเลยสักคำ ทั้งสามแม่ลูกนอนแนบกันบนเตียง สองร่างเล็กซุกตัวแน่นในอ้อมแขนของหลินซี ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจอุ่นๆ ที่พึ่งพิงกันเงียบงัน นางเอ่ยเสียงแผ่ว “หนิงหนิง…เป่าเป่า…อีกสี่วันข้างหน้า เราจะออกเดินทางไปเมืองหลวงกันนะลูก…” เด็กทั้งสองเมื่อได้ยิน ก็ตาโตขึ้นทันที แม้ยังเล็กนัก แต่ก็เข้าใจดีว่า… หากต้องออกเดินทางในตอนนี้ นั่นหมายถึง “ตัวยาถอนพิษ” ยังไม่ได้มา… หัวใจเล็กๆ ของทั้งหนิงหนิงและเป่าเป่า พลันบีบรัดแน่นด้วยความเจ็บปวดที่เกินวัยจะรับไหว สองร่างน้อยเบียดกายเข้าใกล้มารดายิ่งกว่าเดิม มือเล็กๆ ที่วางอยู่บนหน้าท้องของหลินซี ค่อยๆ กำแน่น ราวกับกำลังยึดเหนี่ยวสิ่งสำคัญสุดท้ายในชีวิต สองพี่น้องไม่พูดอะไร แต่ในดวงตาน้อยๆคู่นั้นกลับฉายแววแน่วแน่ “พวกเราต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้…!” เป่าเป่าเอ่ยเสียงแผ่วราวลมหายใจ “ท่านแม่…แล้วพวกเราจะกลับมาที่นี่อีกไหม” หลินซีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือลูบกลุ่มผมนุ่มของลูกเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “…เอาไว้ค่อยว่ากันนะ… แต่อาจจะ…อาจจะ… เราอาจได้กลับมาในไม่ช้านี้ก็เป็นได้…” … วันพรุ่งนี้… ก็จะถึงเวลาที่พวกเขาต้องออกเดินทางไปยังเมืองหลวง เหล่าข้ารับใช้ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของกันให้วุ่นวาย มีเพียงนางหลินซีที่ยังคงนั่งอยู่อย่างเงียบงัน นางเอนกายลงบนเก้าอี้โยกในสวนหลังเรือน ดวงตาปิดลงช้าๆ พักใจท่ามกลางสายลมเช้า ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ราวสระน้ำไร้คลื่น ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ ผู้ใดก็มองออกว่า… ใต้ความนิ่งเฉยนั้น หัวใจของนางกำลังปั่นป่วนดั่งพายุซัด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปรบกวน แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังเว้นให้เบาที่สุด ทันใดนั้น เจ้าก้อนขาวตัวหนึ่งกระโจนขึ้นมาบนตัก พุ่งตรงซุกตัวแนบอกของหลินซีอย่างคุ้นเคย หัวกลมขาวราวหิมะค่อยๆ ถูไถเบาๆเข้ากับอกของหลินซี ท่าทางออดอ้อนเช่นนั้น ดูไร้พิษภัยนัก แต่ยังไม่ทันได้ดุอะไรเจ้าตัวที่สองก็ลอกเลียนแบบทันควัน กระโดดขึ้นมาเกาะอกนางบ้าง แล้วถูไถไม่รู้จักเหนียมอาย ดวงตากลมโตดำสนิทของมัน เป็นประกายราวองุ่นสุกเต็มผล จ้องไปยังริมฝีปากแดงระเรื่อของหลินซี ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ…พร้อมกันทั้งคู่! เจ้าก้อนขาวสองตัวค่อยๆ ขยับขึ้นมาทีละน้อย ยื่นปากจิ๋วๆ เข้ามาใกล้ราวกับจะ… “จุ๊บ” ปากนางเข้าให้! “เพี๊ยะ!” ฝ่ามือเรียวงามตวัดรวดเร็วปานสายลม ตบเข้ากลางหน้าทั้งสองตัว จนปลิวกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นหญ้าอย่างไม่ไว้หน้า! หลินซีลืมตาขึ้น ดวงตาคมวาวราวคมดาบ “พวกเจ้านี่…แค่ไม่ถูกจับโยนลงหม้อทอดไม่กี่วัน ก็ลืมตัวเสียแล้วหรือ!” น้ำเสียงของนางเยือกเย็น นัยน์ตาเฉียบคม ฉายแววเยาะหยันอย่างไม่ไว้หน้า “แม้แต่ข้า…ก็ยังกล้าถือวิสาสะถึงเพียงนี้ เจ้าทั้งสองใจกล้านัก!” ถึงแม้น้ำลายของเจ้าก้อนขาวจะมีฤทธิ์ขับพิษ บำรุงผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง แต่หลินซีผู้นี้… ไม่เคยคิดจะยอม “เสียศักดิ์ศรี” เพียงเพื่อสิ่งเช่นนั้น! เจ้าก้อนขาวทั้งสองกลิ้งไปมาด้วยความหงุดหงิด ส่งเสียง “จี๊ด ๆ” อย่างไม่พอใจ เขี้ยวเล็กสีขาวปรากฏออกมาเล็กน้อยราวกับข่มขู่ แต่เมื่อเห็นว่านางไม่แม้แต่จะปรายตามอง เจ้าตัวดีทั้งสองก็รีบ “กระดึ๊บๆ” เข้ามาซุกที่ข้อเท้า ถูไปมาออดอ้อนราวกับจะสำนึกผิด หลินซีถอนหายใจเบาๆ อย่างปลงตก “พอแล้ว… ไปให้ห่างหน่อยเถอะ… พวกเจ้า…แค่จะตามไปเมืองหลวงใช่หรือไม่” นางลูบหัวของเจ้าตัวกลมหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ได้… จะพาไปด้วยก็แล้วกัน” ถ้อยคำของหลินซียังไม่ทันจบ สองเจ้าก้อนขาวก็ร้อง “จี๊ดๆ จี๊ดๆ” ออกมาอย่างตื่นเต้นเสียงเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความยินดี ดีอกดีใจจนเกินจะบรรยาย ในจังหวะนั้นเอง เสียงฝีเท้าเล็กๆ ดังแผ่วจากด้านหลัง หนิงหนิงกับเป่าเป่าเดินเข้ามาในสวน เมื่อเจ้าก้อนขาวทั้งสองเห็นเจ้าของของตน ก็พลันดีดตัวกระโจนขึ้นสู่อ้อมแขนอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังทำท่าออดอ้อนอย่างภาคภูมิใจราวกับจะบอกว่า “พวกข้าได้รับอนุญาตแล้ว!” หนิงหนิงหัวเราะเบาๆ พลางลูบขนนุ่มๆ ของเจ้าก้อนขาวในอ้อมแขน “ท่านแม่…เจ้าก้อนขาวจะไปเมืองหลวงกับพวกเราด้วยหรือเจ้าคะ” หลินซีพยักหน้าน้อยๆ “อืม… เจ้าพวกนี้ดื้อดึงนัก ไม่ให้ไปก็จะตามอยู่ดี” “ยอดเยี่ยมเลยเจ้าค่ะ!” หนิงหนิงยิ้มกว้าง ก่อนนั่งลงข้างๆ มารดา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลังจากที่หลินซีช่วยปรับสมดุลธาตุในกาย บาดแผลพุพองของเด็กทั้งสองก็ค่อยๆ แห้ง และเริ่มตกสะเก็ด แม้จะยังคันมากอยู่บ้าง…แต่ก็ไม่เจ็บเหมือนก่อนแล้ว“ต่อให้เทียนซานเสวี่ยเหลียนไม่ตกอยู่ในมือพวกเราตั้งแต่แรก หากเมื่อใดมันเผยโฉม เราก็ต้อง แย่งมาให้ได้…ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!” เสียงของนางราวสายลมหนาวในหุบเหว ฉูเหวินทรุดกายคุกเข่าทันที “ขอรับ!” ศึกหญิงงามชิงเด่น ข่าวลือเรื่องที่อ๋องผู้สำเร็จราชการจะจัดการคัดเลือกหญิงงาม เพียงแพร่สะพัดออกไป ก็สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางผู้ทรงอำนาจและตระกูลมั่งคั่งต่างรีบส่งบุตรีที่งดงามที่สุดของตนออกมาอวดโฉม บ้างว่าจ้างครูผู้ชำนาญมาสอนศิลปะสารพัดแขนง บ้างสั่งตัดชุดงามล้ำจากหอจิ่นซ่านเก๋อ ยิ่งใครปรารถนาผลลัพธ์มากเท่าไร ยิ่งทุ่มเทมากเท่านั้น โชคดีที่หอจิ่นซ่านเก๋อมีหญิงปักผ้าฝีมือเอกมากพอ แม้จะสั่งทำเฉพาะ ก็ยังสามารถส่งมอบได้ภายในสามวัน แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ถูกนำมานับถือคือเงินทอง หากเจ้ามีเงิน เจ้าก็เป็นได้ถึงขั้นบงการ หากขัดสนแต่ยังอยากรักษาหน้า ก็เลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปแขวนอยู่ตรงนั้น จ่ายเงินแล้วนำกลับไปอวดอ้างก็ยังได้อยู่ดี เพราะเสื้อผ้าของหอจิ่นซ่านเก๋อขึ้นชื่อมาแต่เดิมว่า หรูหรา งดงาม และสูงศักดิ์ “คุณหนู ฮะฮะฮะ ช่วงนี้รายได้งามนัก” ฉูเหวินถือสมุดบัญชีเดินยิ้มเข้ามาใ
คืนนั้น… คงทำให้ตาเฒ่าชราผู้นั้น ตกใจไม่น้อยเลยกระมัง ไม่อย่างนั้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผู้คนมากมายยังแวะเวียนมาดูอาการนาง ทว่าเพียงเขาผู้เดียวที่ไม่เคยปรากฏตัว“ตาเฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “ท่านอาวุโสยังแข็งแรงดีเจ้าค่ะ!” หลินซีส่ายหน้าเบา ๆ แววตาเศร้าลึกจนยากจะเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายถึงยามนี้ แต่หมายถึงคืนนั้น หลังจากเขาส่งข้ากลับมาแล้ว… เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงเม้มปากแน่น หันมองรอบกายอย่างระวัง พอแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ จึงโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา “คืนนั้น หลังจากผู้อาวุโสอุ้มคุณหนูกลับถึงเรือน เขาก็หมดสติลงทันทีเจ้าค่ะ ” คำพูดแผ่วๆ เหล่านั้น กลับดังกึกก้องในห้วงจิตของหลินซี หัวใจพลันบีบรัดแน่น ราวถูกมือใครบีบไว้เต็มแรง “ข้าคิดว่า… เทียนซานเสวี่ยเหลียน หาได้ง่ายดายนัก เหมือนของที่หยิบออกมาจากกระเป๋า แต่เปล่าเลย…” เสียงนางสั่นเครือ มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นปิดริมฝีปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้นที่แทบจะทะลักออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมด… คือความประมาทของนางเอง นางควรระลึกไว้ให้มั่น ว่า… หวงจิ่วเยี่ยคือผู้ใด เขาไม่ใช่ชายคนหน
เด็กน้อยสองคน วัยเพียงห้าขวบเท่านั้น กลับกอดกันแน่นราวกับโลกทั้งใบพังทลาย และมีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้น… ที่ยังหลงเหลือ หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยร้อง ไม่เคยเอะอะ แม้กระทั่งคำพูดก็ยังต้องเอื้อนเอ่ยเบาที่สุด เพราะกลัวจะรบกวนผู้เป็นมารดาที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว แม้จะยังเล็กนัก แต่กลับเข้าใจทุกอย่างเข้าใจมากเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรจะเข้าใจ และเพราะเข้าใจ พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ ในความเงียบที่กดทับ บนใบหน้าที่ฝืนแววกล้า ไม่มีใครรู้เลยว่าในใจของเด็กน้อยสองคนนี้ เต็มไปด้วยความกลัว ความว้าเหว่ และความหวังเพียงริบหรี่ที่เกาะกุมอยู่ ซือหรงยืนเงียบอยู่หน้าประตูห้อง สายตาแน่วนิ่งไปยังภาพบนเตียง เด็กน้อยสองคนกอดกันแน่นจนแทบเป็นเนื้อเดียว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหันหน้าหนีเงียบๆ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงอาบแก้ม ไร้เสียงสะอื้น แต่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนแทบกลืนไม่ลง ในห้วงขณะนั้นเอง มือของหลินซีก็ขยับไหวเพียงเล็กน้อย เปลือกตาคู่งามค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ อย่างยากเย็นและภาพแรกที่แลเข้ามาในสายตา คือภาพของเป่าเป่าและหนิงหนิง เด็กน้อยทั้งสองที่กอดกันแน่น เฝ้านา
เพราะเขารู้ดี หวงจิ่วเยี่ยไม่เคยเป็นเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนชอบดื่มสุรา และต่อให้ดื่ม… ก็ไม่เคยเมา แต่ยามนี้… เขากลับดื่มราวกับไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกเลย เหมือนคนที่ไม่เหลืออะไรให้หวงแหนในโลกนี้อีกแล้ว “ท่านอ๋อง?” จิ่นอู่เอ่ยขึ้นเบา ๆ พักใหญ่ กว่าหวงจิ่วเยี่ยจะค่อย ๆ ลืมตา เขาหันมามองจิ่นอู่ตรง ๆ สายตานิ่งราวกับคนสิ้นใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ่นอู่… เจ้ารู้ไหม ที่จริง ข้ามีความลับข้อหนึ่ง ไม่เคยบอกใครมาก่อนเลยจริงๆ” จิ่นอู่ขมวดคิ้วทันที “ความลับ? ท่านน่ะ มีมากเกินพอแล้ว ข้าไม่อยากรู้ ” แต่หวงจิ่วเยี่ยกลับจับไหล่เขาไว้แน่น มือที่ยังอุ่นด้วยสุรา แต่กลับสั่นอย่างรุนแรง “ไม่… เจ้าต้องฟัง! จิ่นอู่… ข้าขอแค่ครั้งเดียว เจ้าต้องฟังให้จบ!” จิ่นอู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “ก็ได้ ว่ามา ข้าฟังอยู่” เงียบไปชั่วอึดใจ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นเบาๆ “จริง ๆ แล้ว ข้า...”หวงจิ่วเยี่ยกระดกสุราลงคอหลายอึกติดกัน สุราร้อนลวกราวเปลวเพลิง ไหลผ่านลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ในห้วงขณะหนึ่ง เขากลับรู้สึก อยากกลับไป… อยากกลับไปเสียเถอะ… เสียงไอแห้งๆ ดังขึ้นถี่รัว ก่อนที่ร่างสูงจะโซเซเดินออกจากลานอย่างเ
แต่กลับ… ไม่อาจสลัดหลุดและในอ้อมแขนนั้น ร่างของหญิงสาวผู้แกร่งกล้า ค่อย ๆ เย็นเยียบลงทุกที เลือดสีเข้มไหลรินจากมุมปาก หยดลงบนอกเสื้อของเขาเป็นดวง ๆ “เจ้าหนู…?” เสียงเรียกนั้นเบาหวิว ราวตาเฒ่ากำลังร้องเรียกวิญญาณใกล้พราก หลินซีฝืนลืมตา ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด “ข้าไม่เป็นไร… พาข้ากลับไป ข้า… ข้าจะไปหาหนิงหนิงกับเป่าเป่า ข้ายัง… ยังต้องไปหา…ลูก…ของข้า…” เสียงของนางแผ่วจนแทบไร้ลมหายใจ แต่ทุกคำกลับหนักแน่นดุจภูผา ชายชรากัดฟันแน่น น้ำเสียงพลันแปรเป็นเกรี้ยวกราด “ไม่! คนดีมักอายุสั้น แต่คนอย่างเจ้า ไม่ใช่แน่นอน! เจ้ายังต้องอยู่ต่อไป!” เขาแหงนหน้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยุดวิ่ง หันกลับทันควัน แล้วพาร่างในอ้อมแขนพุ่งตรงไปยัง “สาขาหลักของสำนักกุ้ยเซี่ย” ที่ตั้งอยู่กลางเมือง! หากหวงจิ่วเยี่ยมันจะตาม ก็ให้มันตามมา! หากมันกล้าขวาง ข้าจะฆ่ามันเสียด้วยมือของข้าเอง!และหวงจิ่วเยี่ยก็ไล่ตามไม่ลดละ สีหน้าของเขาแข็งกร้าว ดวงตาแดงฉาน มือแน่นดั่งกรงเหล็ก เขาไม่ได้ไล่เพื่อฆ่า เขาแค่จะชิงตัวนางกลับคืนมา แต่แล้ว… เมื่อแสงจันทร์ทอดตัวลงกระทบใบหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนของกู่เซี่ย เขาก็ต้องชะงัก ใบหน้าท
เขาไม่เคยต้องการให้นางเจ็บ ไม่เคยเลย… เขาปล่อยกระบี่ลง ปล่อยให้นางแทงเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ขณะเดียวกัน หวงจิ่วเยี่ยรวบรวมพลังไว้ที่มือข้างหนึ่งก่อนปลายกระบี่ของหลินซีจะสัมผัสถึงอก เขากลับยื่นมือออกอย่างรวดเร็ว ใช้เคล็ด “ดูดพลัง” ดูดลมปราณทั้งหมดของนางกลับเข้าสู่ร่างตน! “เคล็ดดูดพลัง! เจ้าหนู ระวัง!” เสียงคำรามของชายชรากู่เซี่ยดังลั่นราวฟ้าผ่า เขากระโจนเข้าหานางทันที ทว่า มังกรหนึ่งกับองครักษ์เงาสองคน พุ่งมาขวางไว้ในพริบตา! เสียงกระบี่ปะทะดังแหลมสนั่นกลางอากาศ ประกายโลหิตกระเซ็นวาบ แต่กู่เซี่ยไม่มีทางฝ่าเข้าไปได้ หลินซีเบิกตาโพลง จ้องหน้าเขาด้วยความไม่อยากเชื่อขณะพลังภายในร่างไหลออกอย่างไม่อาจควบคุม มือเรียวไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับกระบี่ไว้ให้มั่น ร่างทั้งร่างอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ สุดท้าย… กระบี่ร่วงหล่นจากมือ และร่างของนางก็ตกจากอากาศอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่หลินซี… ยังไม่ยอมแพ้! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร นางจะตายไม่ได้! ภาพในใจแวบขึ้นมา เสียงหัวเราะใสๆของหนิงหนิงรอยยิ้มอบอุ่นของเป่าเป่า หัวใจที่แทบหยุดเต้นของนางกลับเต้นแรงอีกครั้ง นางยังมีลูก นางต้องอยู่ต่อ! ทันใดนั้น ร่างที่ใกล้