เมื่อณิชชาเดินเข้าไปในห้องทำงานใหญ่โต รามิลนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ดวงตาคมกริบจ้องมองมาที่เธออย่างอ่านไม่ออก
"เชิญนั่ง" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ณิชชาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างระมัดระวัง "ท่านประธานมีอะไรจะคุยกับฉันหรือคะ"
“เลิกเรียกฉันว่าท่านประธานเถอะ ผมไม่ใช่เจ้านายของคุณแล้ว”
หญิงสาวเม้มปากแน่น ก่อนจะตอบกลับ “ค่ะ คุณรามิลจะคุยอะไรคะ”
"เรื่องลูก ๆ พวกเขาต้องได้รับการดูแลที่ดีที่สุด"
"ฉันก็ดูแลลูก ๆ ของฉันอย่างดีที่สุดมาตลอดห้าปี" ณิชชาตอบโต้ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
"ผมจะ..." เขาพูดไม่ทันจบ เธอก็พูดสวน
“ฉันพาลูกๆ มาอยู่ที่นี่ก็ถือว่าฉันยอมคุณมากแล้วนะคะ อย่าคิดทำอะไรให้มากนักเลย”
“คุณรู้เหรอว่าผมจะพูดอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงข้างหนึ่ง
“ฉันเคยทำงานกับคุณ รู้จักคุณดี พูดง่ายๆ ก็คือรู้ไส้คุณค่ะ คุณคงคิดว่าฉันคือภาระ ส่วนเด็กๆ น่ะ คุณอยากจะให้เขาเป็นคุณชายคุณหนู ของเล่นกองเท่าภูเขา ขนมของกินมากมาย กินทิ้งกินขว้างยังไงก็ไม่มีวันหมด พอเขาโตอีกหน่อย คุณคงซื้อรถหรูให้เขาขับไปเรียนเอง พร้อมเงินไปโรงเรียนเดือนละแสน”
เขาอึ้ง ก่อนยิ้มมุมปาก “คุณดูจะรู้จักผมดีจริงๆ ด้วย แล้วผิดเหรอไงที่ผมจะเลี้ยงลูกตามแบบวิถีคนรวย เมื่อลูกโตขึ้น ผมควรจะให้ลูกปั่นจักรยานเก่าๆ ไปเรียน พกเงินไปวันละ 20 บาทหรือไง ทั้งๆ ที่มีพ่อเป็นเศรษฐีพันล้าน”
“มีเงินมันดีมากนะ เป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ อันนี้ฉันยอมรับ เพราะถ้าไม่มีเงิน มันจะขาดโอกาสหลายอย่าง แถมยังลำบากอีก แต่ว่าการมีเงินก็เหมือนดาบสองคมค่ะ มีทั้งด้านดีและด้านสนิมเกรอะ เงินมอบความสุขสบายให้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เงินก็ทำให้คนเสียนิสัยได้เช่นเดียวกันค่ะ” เธอมองเขาเขม็ง ราวจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเธอหมายถึงใครที่ ‘นิสัยเสีย’
รามิลขบกรามกรอด "ผมแค่ต้องการชดเชย"
"ด้วยเงินของคุณน่ะหรือ" ณิชชายังไม่หยุดเยาะเย้ย "คุณคิดว่าเงินของคุณมันจะสามารถลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้?"
"ผมไม่ได้คิดเช่นนั้น" ชายหนุ่มตอบเสียงต่ำ "แต่ผมต้องการให้โอกาสลูก ๆ ของผม"
"โอกาสที่จะมีพ่อที่เพิ่งปรากฏตัว?"
"พอพูดไปพูดมาก็วกเข้าเรื่องนี้ พูดถึงแต่ความผิดของผมซ้ำๆ ซากๆ"
“ฉันเจ็บปวดเสียใจตั้งเท่าไหร่ ต้องซมซานออกจากงาน เงินก็ไม่มี ท้องอีก ตั้งท้องแฝดสาม ไม่ง่ายนะคุณ ฉันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ เหนื่อยจนสายตัวแทบขาดเลยล่ะ ส่วนคุณก็ใช้ชีวิตสุขสบาย ลันล้าไปวันๆ พอมาเจอฉันกับลูกได้แค่ไม่ถึงเดือน คิดว่าฉันจะลืมความลำบากที่ตัวเคยได้รับมาตลอดห้าปีได้ง่ายๆ งั้นเหรอ”
“เอาเถอะ” เขายกมือทำท่ายอมแพ้ “คุณแค่อยู่ในฐานะแม่ของลูก คอยดูแลเด็กๆ ให้ดีเป็นพอ ดูแลพวกเขาเหมือนที่คุณเคยทำ”
"และต้องทนอยู่ในบ้านที่คุณ..." ณิชชาเว้นคำพูด
"ที่นี่คือบ้านของลูก ๆ ของคุณด้วย" รามิลพูดขัด
"แต่ไม่ใช่บ้านของฉัน" หญิงสาวเม้มปาก... เธอรู้ดีว่าแม้เขาจะบอกว่าเธอเป็นแม่ของลูก แต่อนาคตน่าจะลำบากแน่ เขาคงค่อยๆ บีบให้เธอกลายเป็นคนนอกไปทีละน้อย จนในที่สุดก็อาจจะกลายเป็นคนที่ไร้ตัวตน
เธอเชื่อว่าเขาทำได้ เพราะเธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนใจโหดเหี้ยมมากแค่ไหน
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่ คนรับใช้ชื่อมานัตจะโผล่หน้าเข้ามารายงาน
“พอดีผมได้ยินเสียงเด็กๆ งอแงน่ะขอรับ พอเข้าไปดูก็เห็นว่าคุณหนูตื่นมาแล้วไม่เจอแม่ ผมเลยพามาที่นี่”
มานัตผลุบหน้ากลับออกไป สักพักร่างเล็กจ้อยทั้งสามก็เดินเรียงแถวกันเข้ามาด้วยท่าทางงัวเงีย โดยเฉพาะเมฆาที่ขยี้หูขยี้ตาจนแดงก่ำ
“แม่ฮับ เมฆตกใจหมดเลยที่ตื่นมาแล้วไม่เจอแม่”
“เมฆร้องไห้เสียงดังมากเลยครับ ทำให้ภูกับวาตื่นไปด้วย” ภูผาขยายความด้วยท่าทีสุขุม
“น้ำกำลังฝันว่ากินไอศกรีม เมฆไม่ได้เรื่องเลยนะ” วารินกอดอก สีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะเหล่ตามองผู้เป็นพ่อ “ทำไมพ่อกับแม่ถึงมาคุยกันตอนมืดๆ แบบนี้ล่ะ ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะคะ”
“นั่นสิ พ่อไม่มีความเกรงใจแม่เลย แม่ก็ง่วงนะ” ภูผาเดินมาจับมือแม่ไว้อย่างหวงแหน “แม่คับ คราวหน้าถ้าพ่อเรียกอีก ต้องปลุกภูนะคับ ภูจะไปเป็นเพื่อนแม่เอง”
ชายหนุ่มหน้าตึงเปรี๊ยะ เด็กพวกนี้ทำเหมือนเขาเป็นยักษ์เป็นมารที่น่ากลัวอย่างนั้นแหละ
"กลับไปนอนเถอะจ้ะ" ณิชชาตัดบท
"ไม่เอาฮับ...พวกเราอยากอยู่กับแม่" เมฆาเดินเข้าไปกอดขาณิชชา “แม่กลับไปนอนกับพวกเราเถอะนะ นะๆ นะคับ”
รามิลมองภาพเหล่านั้นแล้วคิ้วก็กระตุก รู้สึกตัวว่าไม่ได้สำคัญสำหรับเด็กๆ เขาจึงต้องใช้วิธีพิชิตใจเด็กในแบบที่ตัวเองถนัดที่สุด
"พรุ่งนี้โรงเรียนปิด พ่อจะพาพวกหนูไปเที่ยว" รามิลเอ่ยขึ้น
เด็ก ๆ มองหน้าเขาทันที แววตาเต็มไปด้วยความสนใจ
"จริงเหรอครับ"
“จริงหรือคะ”
"จริงสิ" รามิลยิ้มบางๆ ในขณะที่ณิชชามองรามิลด้วยความสงสัย…เขาต้องการอะไรกันแน่?
เขาหันมาสบตาเธอแว่บหนึ่ง แล้วก็เมินฉับไปมองหน้าลูกๆ และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ได้แต่ท่องไว้ให้ใจเย็น
เช้าวันรุ่งขึ้น รามิลสั่งให้เด็ก ๆ แต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นพิเศษ เพราะจะมีครูจากโรงเรียนเอกชนชื่อดังมาทำการคัดเลือกเพื่อเข้าเรียนในภาคเรียนถัดไปเขาได้ทำการให้เด็กๆ ลาออกจากโรงเรียนรัฐ เพื่อเข้าโรงเรียนเอกชนที่เขาเป็นคนคัดสรรว่าดีที่สุด“อย่าทำให้ผมอับอายขายหน้า หากลูกของคุณสอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าเพราะคุณสั่งสอนไม่ดี” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบขณะยืนแต่งสูทเรียบหรูหน้ากระจก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองณิชชาที่กำลังจัดชุดให้เด็ก ๆ อยู่บนโซฟา“เด็กทั้งสามคนมีศักยภาพและมีความสามารถค่ะ ฉันมั่นใจในตัวพวกเขา” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของเมฆาสั่น“ความมั่นใจลม ๆ แล้ง ๆ ของคุณ ไม่ใช่หลักประกันที่เชื่อถือได้สำหรับผม” เขาย้อนทันควันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก“ค่ะ ดูเหมือนว่าฉันพูดอะไรไปก็จะผิดหูสำหรับคุณไปหมดเลยนะคะ”“นั่นเพราะคุณมันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่”“ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ คุณจะเหน็บ จะแซะ จะแขวะอะไรฉัน
“ตุ๊กตาแพนด้าของเมฆหายไปฮับ แงงงง” เสียงร้องไห้ของเมฆาดังลั่นบ้านในเช้าวันจันทร์ที่ควรเริ่มต้นด้วยความสดใส เมฆานั่งกอดหมอนบนโซฟา น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงหน้าเล็ก ๆ ยู่ยี่ด้วยความเสียใจและไม่เข้าใจว่าทำไมตุ๊กตาตัวโปรดถึงหายไป ณิชชานั่งย่อตัวลงตรงหน้าลูกชายอย่างอ่อนโยน มือเรียวลูบศีรษะเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างปลอบโยน“เมฆแน่ใจนะว่าเอาตุ๊กตามาด้วยจริง ๆ”“แน่ใจฮับคุณแม่ เมฆวางไว้บนหัวเตียงเมื่อคืนก่อนนอน เมฆกอดมันทุกคืนเลย”“ไม่ร้องนะครับคนเก่ง เดี๋ยวแม่ช่วยหานะ” หญิงสาวยิ้มให้ลูกชายอย่างให้กำลังใจ แล้วลุกขึ้นเดินหาทั่วบ้านพร้อมกับภูผาและวารินที่ช่วยกันค้นหาอย่างขะมักเขม้น ครู่ต่อมา วารินวิ่งหน้าตื่นมาจากหลังบ้าน “คุณแม่... วาเห็นตุ๊กตาอยู่ในถังขยะค่ะ”ณิชชาชะงัก หัวใจเหมือนถูกบีบอย่างแรง เธอรีบตามลูกสาวไปที่หลังบ้าน และก็เป็นอย่างที่วารินบอก... ตุ๊กตาแพนด้าขอ
เช้าวันใหม่ เด็กทั้งสามนั่งเรียงกันอยู่บนพรมผืนนุ่มในห้องนั่งเล่น วารินกำลังสานริบบิ้นหลากสีกับแม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมฆากำลังจัดเรียงรถของเล่นคันโปรดอย่างขะมักเขม้น ส่วนภูผาเงียบกว่าทุกครั้ง เขานั่งอยู่ข้างน้องชายแต่สายตากลับคอยชำเลืองมองแม่ตลอดเวลาด้วยความกังวล“แม่ฮะ... วันนี้เราไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมฮับ” เสียงเล็กของเมฆาถามขึ้นอย่างมีความหวัง ดวงตาเป็นประกายด้วยความอยากออกไปข้างนอกหญิงสาวหันไปสบตากับลูกชายแล้วลูบศีรษะเล็ก “ถ้าพ่ออนุญาต แม่ก็พาไปได้จ้ะ”เด็กทั้งสามหันไปมองบิดาที่เพิ่งเดินลงมาจากบันไดเกือบจะพร้อมกัน รามิลมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ด้วยแววตาเย็นชา“พ่อครับ พวกเราขอออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะได้ไหมคับ” ภูผาเป็นคนลุกขึ้นก่อนใคร และออกปากขออนุญาตตามประสาพี่ใหญ่หญิงสาวเห็นสายตาของเขา ก็รู้สึกขนลุก เลยรีบพูดว่า “แค่เดินเล่นเองค่ะ ช่วงนี้เด็กๆ โรงเรียนหยุดยาวด้วย ให้ได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะคะ ฉันจะดูแลเป็นอย่างดีค่ะ”เขาพยักหน้าอนุญาตอย่างไม่เต็มใจนัก “ได้ แต่คุณต้องพาคนขับรถไปด้วย ห้ามพาเด็ก ๆ ไปในที่แออัด หรือสถานที่ที่คุณเคยไปสมัยทำงานในบริษัทเด็ดขาด” น้ำเสียงเข้มเต็ม
คืนนั้น ณิชชาแทบไม่ได้หลับเลย เธอนั่งเฝ้าลูก ๆ ที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล นอนพักฟื้นอยู่ในห้องนอนส่วนตัว ร่างเล็ก ๆ ที่เพิ่งหายจากอาการป่วยยังดูอ่อนแรง หากแต่ก็ยังส่งยิ้มสดใสให้เธอเสมอ ราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไรและไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วงหัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดราวกับถูกกรีดเป็นริ้ว ๆ หากแต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำใด หรืออธิบายความรู้สึกใด ๆ ให้ใครได้รับรู้เลย เธอทำได้เพียงกอดลูกๆไว้ และภาวนาให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยเร็วเช้าวันถัดมา รามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่งราวกับไร้อารมณ์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้ง ขณะที่ณิชชายกถาดอาหารเช้าไปวางตรงหน้าลูก ๆ“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะให้แม่ครัวเป็นคนจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็ก ๆ เอง คุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาในครัวอีกต่อไป” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ“แต่ว่า…” ณิชชาพยายามจะค้านอย่างอ่อนแรง“อย่าได้คิดที่จะโต้แย้ง ผมไม่มีเวลามากพอที่จะมาเสี่ยงกับความสะเพร่าของใครบางคน” รามิลตัดบทอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเฉียบขาดจนณิชชาไม่อาจโต้เถียงได้อีกถ้อยคำเหล่านั้นราวกับตอกย้ำว่าเธอเป็นเพียงคว
กลิ่นหอมหวานของขนมอบลอยคลุ้งไปทั่วห้องครัว ณิชชาบรรจงทำอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ทุกเช้าด้วยความใส่ใจ ราวกับเป็นกิจวัตรสำคัญที่ไม่อาจละเลย เธอผสมแป้งด้วยมือ คัดสรรวัตถุดิบทุกอย่างด้วยความระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ในใจจะรู้ดีว่า ไม่มีใครในบ้านหลังนี้รับรู้ในความตั้งใจของเธอเลยก็ตามแต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว เธอปรารถนาให้ทุกคำที่พวกเขาได้ทานเข้าไป เปี่ยมไปด้วยความรักและความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่“วันนี้แม่ทำเค้กกล้วยหอมด้วยนะลูก” เธอยิ้มละมุนขณะจัดขนมใส่จาน เตรียมเสิร์ฟพร้อมนมอุ่นหอมกรุ่นเด็กทั้งสามเดินลงมานั่งประจำที่ วารินส่งยิ้มหวานให้มารดา “วาอยากทานขนมฝีมือคุณแม่ทุกวันเลยค่ะ อร่อยที่สุดในโลก”“พี่ภูขออันที่กล้วยเยอะ ๆ นะฮะ เขาชอบกล้วย” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วณิชชาหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนจะจัดจานตามความต้องการของลูก ๆ อย่างใส่ใจ แล้วยกไปวางบนโต๊ะอาหารรามิลเดินเข้ามาในห้องอาหารพอดี นัยน์ตาคมกริบปรายมองอาหารเช้าบนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยทักทายเด็ก ๆ หรือแม้แต่เธอ“เช้านี้ฉันทำเค้กกล้วยหอมค่ะ ไม่มีน้ำตาลมาก เด็ก ๆ จะได้ทานง่าย ๆ” ณิชชาอ
เช้าวันใหม่มาพร้อมกับอากาศเย็นสบาย หากแต่ในความรู้สึกของณิชชา กลับเหมือนต้องเดินอยู่ท่ามกลางหมอกหนา ความอึดอัดที่เกาะกุมหัวใจยังคงหนักอึ้ง เธอตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมนมกล่องและอาหารเช้าสำหรับลูก ๆ ด้วยความใส่ใจ แม้ในใจจะตระหนักดีถึงสถานะของตนเองในบ้านหลังนี้เสียงฝีเท้าหนักๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร รามิลปรากฏตัวในชุดสูทสีเทาเข้ม ใบหน้าคมคายเรียบนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน"เด็ก ๆ ยังไม่ลงมาอีกหรือไง" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ"กำลังล้างมือกันอยู่ค่ะ เดี๋ยวก็มาแล้ว" ณิชชาตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพรามิลกวาดสายตาไปทั่วโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "นมต้องอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอดี ไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส อาหารว่างควรมีผลไม้สดเพื่อเพิ่มวิตามิน ไม่ใช่แค่ขนมปังอย่างเดียว นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นแม่ควรใส่ใจ หากคิดจะทำหน้าที่แม่ของลูก ๆ ผม"ณิชชากล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป พยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม เธอรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งใด ๆเด็ก ๆ วิ่งกรูเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทีร่าเริง เมฆาเป็นคนแรกที่ส่งเสียงใส "คุณพ่ออออ"รามิลยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชายคนเล็ก "