นางเหลียวมองรอบข้าง "เขาไปแล้วหรือ?""ไปไกลแล้ว" กู้จิ่นตอบ "เมื่อครู่สถานการณ์คับขัน ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าก่อน ขออภัยด้วย"เจียงซุ่ยฮวนแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ โบกมือ "ก็แค่กอดเท่านั้น มีอะไรหรือ"ดวงตากู้จิ่นวาววับ "เจ้าคิดว่าไม่มีอะไรหรือ?""อืม!"ในวินาถัดมา กู้จิ่นก้มตัวลง โอบกอดเจียงซุ่ยฮวนอีกครั้งเจียงซุ่ยฮวนแข็งทื่อไปทั้งตัว แม้แต่วิธีหายใจก็ลืม นางรู้สึกราวกับตนเองกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้วการกอดของกู้จิ่นครั้งนี้แผ่วเบามาก เพียงชั่วครู่ก็ปล่อยออก เขาลูบศีรษะเจียงซุ่ยฮวน "พอเถอะ ไม่แหย่เจ้าแล้ว ดูสิ แข็งทื่อไปหมด"เจียงซุ่ยฮวนสูดหายใจเฮือก ดีที่ตรงนี้ค่อนข้างมืด กู้จิ่นจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของนางเพื่อไม่ให้ผู้อื่นจับได้ ทั้งสองจึงต้องแยกย้ายกันไป เจียงซุ่ยฮวนค่อยๆ เดินกลับไปภายใต้สายตาของกู้จิ่นเพิ่งกลับถึงกระโจม ก็เห็นหมอหลวงเมิ่งและหมอหลวงอื่นๆ เก็บของเตรียมจะกลับ มีเพียงฝูหลิงที่ยังก้มหน้าก้มตาคัดลอกตำราอยู่ใต้แสงตะเกียงหมอหลวงเมิ่งเห็นเจียงซุ่ยฮวนเดินเข้ามา รู้สึกว่าท่าเดินของนางแปลกๆ แต่บอกไม่ถูกว่าแปลกตรงไหนกลับเป็นหมอหลวงหยางที่ถามขึ้น "เจียงเอ๋อร์ เห
เจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา "ช่างเถิด เจ้าไปเที่ยวเล่นเถิด""แต่ข้ายังคัดลอกไม่เสร็จอีกมากเลยเจ้าค่ะ" ฝูหลิงถอนหายใจ สะบัดมือที่ชาไปมา"ไม่เป็นไร" เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง "ข้าจะอธิบายกับอาจารย์ของเจ้าเอง ไปเที่ยวเล่นเถิด""จริงหรือเจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นขอบพระคุณท่านหมอเจียงมากเจ้าค่ะ!" ดวงตาของฝูหลิงเป็นประกาย วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้นส่วนเจียงซุ่ยฮวนหยิบพู่กันขึ้น เริ่มเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษลายมือของนางประณีตเล็กกะทัดรัด เขียนได้รวดเร็ว เพียงชั่วยามครึ่งก็เขียนเต็มกระดาษถึงสิบแผ่นนางวางพู่กันลง นวดข้อมือที่ปวดเมื่อย พึมพำกับตัวเอง "หากมีคอมพิวเตอร์คงดี ใช้สองมือพิมพ์คงไม่เหนื่อยเพียงนี้"ความง่วงค่อยๆ คืบคลานเข้ามา นางอุ้มพู่กันและกระดาษ ดับตะเกียงน้ำมัน เตรียมกลับคฤหาสน์เมื่อออกจากกระโจม นางเห็นกระโจมรอบข้างมืดสนิททั้งหมด กองไฟเริ่มมอดลงไม่ลุกโชนเหมือนเมื่อครู่ ผู้คนรอบกองไฟก็จากไปเกือบหมด เหลือเพียงคุณชายหนุ่มไม่กี่คนที่ยังดื่มสุราและเล่นทายนิ้วนางมองไปรอบๆ ไม่เห็นเงาของกู้จิ่น คงเป็นเพราะเขาติดตามฝ่าบาทกลับคฤหาสน์แล้วแสงจันทร์เย็นยะเยือก เจียงซุ่ยฮวนสะบัดเสื้อคลุม อุ้มกร
เจียงซุ่ยฮวนพูดอย่างสำนึกผิด "ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ""ไม่เป็นไร เป็นความผิดข้าเอง ไม่ควรให้ชางอี้แอบติดตามเจ้า ควรจะบอกเจ้าล่วงหน้า" สายตากู้จิ่นเจือความเจ็บปวด "เจ้าคงตกใจมาก""ข้าไม่เป็นไร พอรู้ว่าเป็นคนก็ไม่กลัวเท่าไหร่แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าชี้ไปที่ชางอี้ที่สลบอยู่ "แค่รู้สึกผิดต่อเขาเล็กน้อย""ไม่ต้องรู้สึกผิด แค่ยาสลบเท่านั้น ให้เขานอนสักตื่นก็หาย" กู้จิ่นดีดนิ้วแล้วพูดกับเพดาน "ชางเอ๋อร์ แบกพี่ชายเจ้ากลับไป"เงาดำร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากเพดาน มาถึงข้างกายทั้งสอง กลั้นหัวเราะแบกชางอี้ที่นอนอยู่บนพื้นแล้วพาจากไปเจียงซุ่ยฮวนเพื่อบรรเทาความกระอักกระอ่วน จึงถาม "องครักษ์ลับของท่านใช้ชื่อชาง ทั้งหมดหรือ? ชางอี้ ชางเอ๋อร์ ชางซาน เรียงไปตามลำดับ?"กู้จิ่นส่ายหน้า "แต่ละคนมีชื่อรหัสต่างกัน สองคนนี้เป็นพี่น้องกัน จึงใช้ชื่อชางอี้ ชางเอ๋อร์""อ้อๆ"เพราะลากชางอี้กลับมา หมวกคลุมของเจียงซุ่ยฮวนจึงเอียงเล็กน้อย กู้จิ่นยื่นมือจัดให้ตรง พลางกล่าว "เมื่อครู่ข้าไปดูเสวียหลิงมา""เร็วจัง เสวียหลิงคงยังไม่ฟื้นกระมัง?" เจียงซุ่ยฮวนถาม"อืม" กู้จิ่นเอามือกลับ กล่าวว่า "เสวียหลิงยังหลั
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนมาถึง ฝูหลิงคิดว่าเจอผู้ช่วยเสียแล้ว จึงมองนางด้วยความหวัง หวังว่านางจะช่วยพูดให้ ใครจะรู้ว่านางน่ากลัวยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก!ฝูหลิงอยากร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหล "ท่านหมอเจียง ข้าไม่เคยมีเรื่องบาดหมางใดกับท่าน เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กับข้า?"หมอหลวงเมิ่งหยิบตำราแพทย์บนโต๊ะขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ ดวงตาเป็นประกาย "เจ้าเจียง นี่เจ้าใช้เวลาเพียงคืนเดียวเขียนออกมาหรือ?""เจ้าค่ะ" เจียงซุ่ยฮวนหยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะขึ้นมา พูดพลางกินไป "เขียนจนดึกดื่นเลยเจ้าค่ะ""เจ้าอายุยังน้อยแต่รู้มากถึงเพียงนี้ อนาคตไกลแน่!" หมอหลวงเมิ่งกล่าวด้วยความทึ่งเจียงซุ่ยฮวนโบกมือ "นี่เป็นเพียงความรู้พื้นฐานทางการแพทย์เท่านั้น หากจะเขียนทุกสิ่งที่ข้ารู้ออกมา คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปี"นางไม่ถ่อมตนต่อหน้าเหล่าหมอหลวงเหล่านี้เลย เพราะต้องให้พวกเขารู้ว่านางมีความสามารถจริง ไม่เพียงจ่ายยา เย็บแผล แต่ยังเขียนตำราแพทย์ได้ด้วย เช่นนี้พวกเขาจึงจะยิ่งให้ความเคารพนางฝูหลิงรับตำราแพทย์จากมือหมอหลวงเมิ่ง พลิกดูแล้วร้องครวญ "สามสิบหน้า? นี่จะเอาชีวิตข้าหรือ!"เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะบอกว่าคัดลอกครั้งเดียวก็พอ ใครจะรู
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อคืนชุนหลิวและชุนหยางไม่ได้ต้มยาถวายฮ่องเต้?หรือว่าเกี่ยวกับการบาดเจ็บของเสวียหลิง?องครักษ์เสื้อแพรพาเจียงซุ่ยฮวนมาที่หน้ากระโจมหลังหนึ่ง เจียงซุ่ยฮวนจำได้ว่านี่คือกระโจมของฮองเฮา นางยืนรออย่างเรียบร้อยที่ประตู รอจนนางกำนัลเลิกม่านขึ้นจึงก้าวเข้าไปในกระโจม ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ด้วยกัน เจียงซุ่ยฮวนประสานมือค้อมคำนับ "หม่อมฉันขอคำนับฝ่าบาทและฮองเฮา"ฮ่องเต้ตรัสช้าๆ "หมอหลวงเจียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใด?"เจียงซุ่ยฮวนยืดตัวตรง ส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ"ในตอนนั้น ฮ่องเต้ทรงไอเบาๆ ฮองเฮาที่ประทับข้างๆ รีบยกถ้วยน้ำชาถวายทันที "ฝ่าบาท เสวยน้ำชาร้อนสักหน่อยเพคะ"ฮ่องเต้ทรงรับถ้วยชา เสวยหนึ่งอึก แล้วตรัสต่อ "หมอหลวงเจียง เมื่อคืนเราถูกลมหนาว วันนี้คงไม่สามารถไปล่าสัตว์ได้แล้ว"เจียงซุ่ยฮวนตกใจ กล่าว "หม่อมฉันจะรีบกลับไปต้มยาถวายพระองค์เพคะ""ให้หมอหลวงเมิ่งต้มยาเถอะ เรามีเรื่องอื่นจะมอบหมายให้เจ้า" ฮ่องเต้ทรงไอเบาๆ อีกครั้ง "วันนี้เราไปล่าสัตว์ไม่ได้ เหลือแต่เจิ้นคนเดียว เราไม่วางใจ"เจียงซุ่ยฮวนลองถามดู "ฝ่าบาทหมายความว่า ให้หม่
เจียงซุ่ยฮวนขี่ม้าโยกเยกมาถึงข้างกายกู้จิ่น แกล้งพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ "ขอคำนับองค์ชายเป่ยโม่เพคะ!"ม่านตาของกู้จิ่นสั่นไหวเล็กน้อย แทบจะควบคุมสีหน้าไม่อยู่ ขมวดคิ้วถาม "เจ้ามาได้อย่างไร?"เจียงซุ่ยฮวนแกล้งทำไม่พอใจ "ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าติดตามท่านไปล่าสัตว์ ข้ารู้ว่าท่านรำคาญข้า แต่นี่เป็นพระบัญชา ขอท่านอดทนด้วยเถิดเพคะ"เห็นเจียงซุ่ยฮวนแกล้งพูดประชดประชัน มุมปากของกู้จิ่นยกขึ้นเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น เขาเคยเห็นนางขี่ม้ามาก่อน จึงไม่กังวลเขาดึงบังเหียน แกล้งทำหน้าบึ้งพูด "เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ"คนอื่นๆ ต่างรู้ว่าฝ่าบาททรงเป็นหวัด ไม่สามารถร่วมการล่าสัตว์ได้ จึงให้องค์ชายเป่ยโม่กู้จิ่นแทนพระองค์พวกเขาไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เพราะสัตว์ที่ฝ่าบาทล่าได้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นฝีมือของกู้จิ่น นี่เป็นความจริงที่ทุกคนรู้กันดีเพียงแต่ข้างกายกู้จิ่นจู่ๆ ก็มีหมอหลวงเพิ่มมา ซ้ำยังเป็นคนที่ไม่ถูกชะตากับกู้จิ่น ทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจองค์ชายใหญ่ถามเสียงดัง "เสด็จอา เหตุใดท่านจึงมีหมอหลวงร่วมทาง แต่หม่อมฉันกลับไม่มี?"กู้จิ่นมองเขาอย่างไร้อารมณ์ "หากเจ้าอยากมีหมอหลวงร่วมทาง ก็บอกพี่ชายของเจ้าสิ"
เมื่อคืนฝนตกเล็กน้อย มีน้ำขังอยู่ในหลุมบางแห่ง ทุกคนที่ขี่ม้าพยายามหลีกเลี่ยงหลุมเหล่านั้น เกรงว่ากีบม้าจะเปื้อนโคลนเมื่อเมิ่งชิงถูกสลัดกระเด็นออกไป ก็พอดีตกลงไปในหลุมน้ำ ทำให้โคลนกระเซ็นขึ้นมานางอย่างทุลักทุเลคลานออกมาจากหลุมน้ำ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเปรอะเปื้อนโคลน ราวกับกลายเป็นตุ๊กตาดิน ดูน่าขบขันยิ่งนัก"อ๊า!" นางเห็นตัวเองเปื้อนโคลนไปทั้งตัว จึงกรีดร้องขึ้นมาทันทีผู้คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุหลายคนเห็นนางทำให้เจียงซุ่ยฮวนเกือบตกม้า เมื่อเห็นนางตกลงไปในหลุมโคลนดูอเนจอนาถเช่นนี้ บางคนก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้จางรั่วรั่วขี่ม้าผ่านข้างกายเมิ่งชิง หยุดม้าแล้วหัวเราะดัง "ใครใช้ให้เจ้าเอาแส้ม้าฟาดม้าของหมอหลวงเจียง ตอนนี้เจ้าก็ตกม้าเองแล้วสิ นี่แหละกรรมตามสนอง ฮ่าๆๆ!"เมิ่งชิงโกรธจนหน้าแดง แต่เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยโคลน จึงมองไม่เห็น นางชี้หน้าด่าจางรั่วรั่ว "เจ้าอย่ามาพูดจาเยาะเย้ย ข้าไม่ได้ตั้งใจฟาดม้าของเจียงซุ่ยฮวน แค่พลาดเท่านั้น!""ไม่ว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ เจ้าก็โดนกรรมตามสนองแล้ว" จางรั่วรั่วหัวเราะคิกคัก กระตุกบังเหียน ม้าที่นางขี่ก็วิ่งออกไปจางรั่วรั่วจงใจให้ม้าเหยียบผ่านหลุมน้ำ
เมิ่งเซียวเป็นบุตรีนอกสมรส ท่านแม่ทัพเจิ้นหยวนไม่เคยเอ็นดูนาง ภายหลังเมื่อนางแต่งงานกับเฉินยู่หุย ท่านแม่ทัพจึงเห็นแก่หน้าอัครเสนาบดี ท่าทีต่อเมิ่งเซียวจึงดีขึ้นบ้างท่านแม่ทัพเจิ้นหยวนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย "พี่สาวเจ้าช่างเหลิงเกินไปทุกวัน ไม่นานมานี้กินแล้วไม่จ่ายเงิน วันนี้ยังกล้าทำร้ายผู้อื่นอย่างเปิดเผย หากปล่อยให้ทำตามใจต่อไป ใครจะรู้ว่านางจะก่อเรื่องร้ายแรงอะไรอีก!"เมิ่งชิงคุกเข่าร้องไห้ "ท่านปู่เจ้าคะ หลานไม่ได้กินแล้วไม่จ่าย มันเป็นเพียงความเข้าใจผิด""เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าของเยว่ฟางโหลวบอกข้าหมดแล้ว" ท่านแม่ทัพเจิ้นหยวนแค่นเสียง "ทุกครั้งเจ้าสั่งอาหารมากมาย แล้วให้คนอื่นจ่าย เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ทุกคนต่างเห็นว่าเจ้าเห็นแก่ตัวและขี้ตืด""เจ้าก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่กลับไม่มีใครมาสู่ขอเลย ถึงเวลาต้องสั่งสอนเจ้าเสียที"พอได้ยินคำนี้ เมิ่งชิงก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเมิ่งเซียวจำต้องอ้างทารกในครรภ์เป็นข้อแก้ตัว "ท่านปู่เจ้าคะ ตอนนี้หลานท้องโตเพียงนี้ ยู่หุยก็ไปล่าสัตว์ พี่สาวอยู่ที่นี่ยังช่วยดูแลหลานได้ ขอท่านปู่ให้พี่สาวอยู่ก่อน รอการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงจบแล
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช