กู้จิ่นนิ่งเงียบไม่ตอบ ครั้นผ่านไปชั่วครู่จึงเบี่ยงประเด็นว่า "เหตุใดเจ้าจึงปรากฏกายยามดึกสงัดเช่นนี้?" เจียงอวี่ทอดสายตามองหัวหน้าโจรภูเขาที่นอนอยู่บนพื้น พลางชี้แจงว่า "กระหม่อมเดินทางมาพบโจรภูเขาดักปล้น เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม จึงตั้งใจจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก" "แต่หัวหน้าโจรผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก พาบริวารหลบซ่อนไปทั่ว กระทั่งหนีมาถึงละแวกเมืองหลวง" "เมื่อครู่กระหม่อมนำกำลังไล่ตามมาถึงที่นี่ เห็นโจรหลายคนต่อสู้กับผู้คน ส่วนหัวหน้าโจรนั้นแอบปีนขึ้นรถม้า กระหม่อมเกรงว่าผู้อยู่บนรถม้าจะได้รับอันตราย จึงตามขึ้นมา" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกสับสนปนเปไปหมด เจียงอวี่ผู้นี้นิสัยมิได้เลวร้าย อีกทั้งปฏิบัติต่อผู้อื่นดียิ่งนัก เพียงแต่ต่อน้องสาวแท้ ๆ ของตนเองกลับแย่เหลือทน หากเจียงอวี่ล่วงรู้ล่วงหน้าว่าผู้อยู่บนรถม้าคือนาง เขาจะยังมาช่วยหรือไม่? นางเหลียวมองออกไปนอกม่าน การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว บนพื้นเต็มไปด้วยศพโจรภูเขา และองครักษ์ลับสิบกว่านายกลับมาล้อมรอบรถม้าอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีทหารขี่ม้าอีกหลายร้อยนาย กำลังรออยู่เบื้องหน้ารถม้าเพื่อรอเจียงอวี่ กู้จิ่นเห็นทหารเหล่านั้นด้วยเช่นกัน จึงเลิกคิ้
แต่ก่อนทุกครั้งที่เขากลับมา ลานจวนอ๋องจะแขวนโคมไฟแดงมากมาย ทั้งคืนสว่างไสวไปทั่ว แม้เขาจะกลับบ้านในยามดึกสงัด เห็นลานจวนสว่างไสว ก็อบอุ่นใจยิ่งนัก ทว่าครั้งนี้เมื่อกลับมา กลับพบว่าจวนอ๋องมืดสนิท แม้แต่บ่าวที่มาต้อนรับเขาก็มีไม่กี่คน เจียงอวี่อาศัยอยู่ในจวนอ๋องมาหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าจวนอ๋องเงียบเหงาเช่นนี้ เขานึกถึงคำพูดของเจียงซุ่ยฮวน หัวใจค่อย ๆ จมลงสู่เบื้องล่าง ท่านพ่อท่านแม่เกิดเรื่องใหญ่จริงหรือ? เจียงอวี่คว้าบ่าบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ถามเสียงเคร่ง "ท่านพ่อท่านแม่ข้าอยู่ที่ใด?" เขาปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ค่อนข้างดี ดังนั้นบ่าวผู้นี้จึงไม่เกรงกลัวเขา ตอบว่า "ท่านอ๋องและฮูหยินอ๋องกำลังนอนหลับอยู่ในห้องบรรทม" "ข้าจะไปหาพวกท่าน" เจียงอวี่ปล่อยมือ ก้าวยาว ๆ ไปทางห้องบรรทมของท่านอ๋องและฮูหยินอ๋อง "คุณชาย ท่านรอฟ้าสางแล้วค่อยไปดีกว่า" บ่าวร้องเรียกเขาจากด้านหลัง เขาหยุดฝีเท้า หันกลับมาถามอย่างสงสัย "เพราะเหตุใด?" บ่าวตอบ "ท่านอ๋องพักนี้ร่างกายไม่สู้ดี หมอหลวงบอกว่าท่านต้องพักผ่อนให้เต็มที่" "เริ่มเมื่อใด?" สีหน้าเขาตกตะลึง จากคำพูดของบ่าว นี่คงเป็นเช่นนี้มาสั
เขาเดินไปนั่งข้างฮูหยินอ๋อง นางกุมแขนเสื้อของเขาไว้ เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนนี้ให้ฟัง เมื่อเล่าจบ ฮูหยินอ๋องร่ำไห้จนพูดไม่เป็นเสียง "เป็นความผิดของแม่เอง ที่ไม่รักลูกสาวแท้ ๆ ของตน กลับไปเอ็นดูเจียงเม่ยเอ๋อร์เจ้าคนอกตัญญูนั่น!" "บัดนี้ต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ ก็สมควรแล้วที่แม่ทำกรรมไว้เอง!" เจียงอวี่สีหน้าสับสน แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบา "ท่านแม่ เหตุใดจึงไม่ส่งจดหมายบอกลูกถึงเรื่องเหล่านี้?" "เจ้าไปอยู่ชายแดนเพื่อออกรบ แม่ไม่อยากให้เจ้าวอกแวกเพราะเรื่องที่บ้าน" ฮูหยินอ๋องถอนหายใจ "ตอนแรกแม่คิดว่า รอเจ้ากลับมาแล้วค่อยบอกว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์ได้เป็นชายาเอกของฉู่เจวี๋ย จะได้เป็นการสร้างความประหลาดใจ" "แต่แม่ไม่เคยคิดฝันเลยว่า เจียงเม่ยเอ๋อร์จะเป็นคนเช่นนี้ พูดโกหกไม่เว้นวาย หน้าด้านไร้ความกตัญญู!" เจียงอวี่ตกอยู่ในความเงียบ เขาไม่อยากเชื่อว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่เขารู้จักว่าบริสุทธิ์และใจดีมาตั้งแต่เด็กจะเป็นคนเช่นนั้น เขาเติบโตมาพร้อมกับเจียงเม่ยเอ๋อร์ ตอนเด็กนางมักจะเดินตามหลังเขา เรียกเขาว่าพี่ชายด้วยเสียงหวาน ๆ เมื่อเขาอารมณ์ดี เขาจะซื้อของเล่นสนุก ๆ มากมายให
"ผู้ใดหรือ?" ในใจเจียงอวี่มีความหวังผุดขึ้น รีบกล่าวว่า ท่านแม่ โปรดบอกข้าว่าผู้นั้นคือใคร ข้าจะไปเชิญมาทันที" ฮูหยินอ๋องอ้าปากแล้วหุบ ดูเหมือนพูดออกมายาก แล้วถอนหายใจหนักอีกครั้ง เจียงอวี่รู้สึกร้อนใจ "ท่านแม่ โปรดพูดมาเร็ว ๆ ผู้ใดกันแน่ที่ช่วยบิดาได้?" "แม้ต้องขึ้นภูเขาสูงชัน ข้ามผ่านทะเลเพลิง ข้าก็จะนำตัวมาดูแลอาการท่านพ่อให้จงได้" ฮูหยินอ๋องจนปัญญาจึงกล่าวว่า "ผู้นั้นก็คือน้องสาวแท้ ๆ ของเจ้า เจียงซุ่ยฮวน" "อะไรนะ?" เจียงอวี่ผุดลุกจากเก้าอี้ ในสมองนึกถึงคำพูดของเจียงซุ่ยฮวนยามค่ำคืน นางบอกว่าตนเป็นหมอหลวง หมอหลวง! ในใต้หล้านี้ หากหญิงใดก็ตามได้เป็นหมอหลวง เจียงอวี่คงไม่รู้สึกประหลาดใจมากนัก แต่มีเพียงเจียงซุ่ยฮวนเท่านั้นที่ได้เป็นหมอหลวง ทำให้เขาตกตะลึงสุดจะพรรณนา เพราะเขาไม่เคยรู้เลยว่าเจียงซุ่ยฮวนรู้วิชาแพทย์ และวิทยาการของหมอหลวงนั้นลึกซึ้งเกินหยั่งถึง ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกสับสนเลือนราง ฮูหยินอ๋องเห็นสีหน้าของเจียงอวี่เช่นนั้น จึงขมวดคิ้วกล่าว "อวี่เอ๋อร์ แม่รู้ว่าในใจเจ้าต้องประหลาดใจมาก ตอนแรกแม่ก็เช่นกัน" "หลังจากซุ่ยฮวนออกจากจวนอ๋อง นางเปิดร้านยา แม่ไม
เจียงอวี่ชักมือออก ก้าวยาว ๆ มุ่งไปยังประตู โดยไม่หันกลับมามองพลางกล่าว "ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าจะต้องเชิญน้องซุ่ยฮวนกลับมาให้จงได้" เจียงซุ่ยฮวนกำลังสนทนากับว่านเมิ่งเยียนอยู่ในห้องหนังสือ มือถือลูกคิดดีดดังเปาะแปะ ขณะที่พูดคุยอยู่นั้น จู่ ๆ นางก็จามติดกันสองครั้ง ว่านเมิ่งเยียนเอามือปิดปากหัวเราะ "ซุ่ยฮวน นี่คงมีคนกำลังคิดถึงเจ้าอยู่" "หรือบางทีอาจด่าข้าอยู่ก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนพูดเล่นไปอย่างนั้น แล้วหันไปบอกหงหลัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ "ท้ายที่สุดแล้วก็คงเพราะในห้องไม่อบอุ่นพอ นำอ่างไฟมาเพิ่มอีกใบด้วย" "เพคะ คุณหนู" หงหลัวหมุนตัวเดินออกไป ว่านเมิ่งเยียนมองตามแผ่นหลังของหงหลัวแล้วร้อง "อ้าว" ออกมา "ไฉนจึงไม่เห็นสาวใช้อีกคนเล่า?" นึกถึงว่าหยิ่งเถายังอยู่ในจวนของกู้จิ่นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เจียงซุ่ยฮวนชะงักการดีดลูกคิด กล่าวเสียงเบา "ช่วงนี้นางไม่สบาย กำลังพักฟื้น" นางวางลูกคิดในมือลง ถามว่า "เมื่อครู่เราคุยกันถึงไหนแล้วนะ?" "คุยถึงเรื่องค่าตกแต่ง" ว่านเมิ่งเยียนเตือนความจำนาง "อ้อ ใช่" นางมองตัวเลขที่คำนวณออกมา กล่าวอย่างจริงจัง "เจ้าใช้ค่าตกแต่งมากเกินไป เกินงบประมาณไปมากแ
"หา?" เจียงซุ่ยฮวนตกใจ นี่มันพวกชอบเปิดเผยเรือนร่างหรือ? นางรีบกล่าว "รีบไปแจ้งทางการสิ!" "ไม่ใช่ ๆ!" หงหลัวตระหนักว่าตนเองพูดไม่ชัดเจน จึงแก้ไข "คนผู้นั้นเพียงแต่ไม่สวมเสื้อด้านบน ด้านหลังยังแบกพวงไม้หนาม" ไม่สวมเสื้อด้านบน แบกพวงไม้หนาม มิใช่การหอบหนามมาขอโทษดอกหรือ? เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้วถาม "เขาได้บอกหรือไม่ว่าตนเป็นใคร?" "เขาบอกว่าชื่อเจียงอวี่" เจียงซุ่ยฮวนสงสัยว่าตนเองได้ยินผิด "เจ้าพูดอีกครั้งซิ" หงหลัวกะพริบตา ตอบซื่อ ๆ อีกครั้ง "เขาบอกว่าชื่อเจียงอวี่ อยากพบคุณหนู" จิตใจเจียงซุ่ยฮวนสับสนอยู่บ้าง ยามค่ำคืนเมื่อพบเจียงอวี่ เขายังรังเกียจว่านางพูดจาไม่ไพเราะ แต่ยังไม่ทันครบวันเขากลับมาหอบหนามขอขมา นี่กำลังเล่นละครบทใด? นางกล่าวกับหงหลัว "พาคนมาที่นี่เถิด" "เพคะ" หงหลัวนำเจียงอวี่มายังเรือนหลัง ขณะที่ทั้งสองเดินผ่านกงซุนซวี เขาเพียงชำเลืองมองแวบหนึ่งก็ทำดาบในมือตกพื้น กงซุนซวีมององครักษ์ลับข้าง ๆ อย่างตะลึง "คนที่เดินผ่านไปโดยไม่สวมเสื้อเมื่อครู่ คือแม่ทัพฉีหยวนใช่หรือไม่?" องครักษ์ลับพยายามสุดความสามารถในการควบคุมสีหน้า จึงสามารถพูดโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ว่า
เจียงอวี่พูดไม่ออก "เห็นแก่ที่ท่านเป็นแม่ทัพที่ดี เรื่องในอดีตข้าจะไม่คิดบัญชีกับท่าน" เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าเบื่อหน่าย โบกมือ "ไปเถิด อย่าปรากฏตัวที่บ้านข้าอีก" "ไม่" เจียงอวี่ส่ายหน้าอย่างดื้อดึง "ข้าได้สัญญากับบิดามารดาแล้ว ต้องเกลี้ยกล่อมเจ้าให้กลับจวนอ๋องให้จงได้" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกว่าช่างไร้สาระ "ท่านสัญญาก็เป็นเรื่องของท่าน เกี่ยวอะไรกับข้า?" "น้องหญิง ข้าขอสัญญากับเจ้า หากเจ้ากลับจวนอ๋อง ข้าจะชดเชยทุกสิ่งที่เจ้าสูญเสียให้ทั้งหมด" เจียงอวี่สีหน้าจริงใจ "เจ้ากลับจวนอ๋อง พวกเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ดีกว่าหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนเพียงแค่นึกภาพดังกล่าว ก็รู้สึกไม่สบายใจ รีบโบกมือว่า "ท่านเลิกรบเร้าเถิด" "ข้าจะไม่กลับไปกับท่าน และจะไม่รักษาอาการบิดาของท่าน" เจียงซุ่ยฮวนเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย "ท่านรีบไปเถิด หากเป็นหวัดหรือเป็นอะไรไป ข้าจะไม่รับผิดชอบ!" "ไม่เป็นไร เพียงแค่เจ้ากลับจวนอ๋อง รักษาอาการบิดา ข้าจะถูกอากาศหนาวกัดก็ไม่เป็นไร" เจียงซุ่ยฮวนตบโต๊ะลุกขึ้น "ท่านอย่าบีบคั้นข้าเลย หากท่านยังบีบคั้นข้า ระวังข้าจะใช้ไม้เด็ด!" "น้องหญิง..." "หงหลัว นำสี่จือมาที่นี่!"
เจียงอวี่ถาม "เงื่อนไขอะไร?" เจียงซุ่ยฮวนมองไปที่หงหลัว หงหลัวเข้าใจความหมาย ปิดประตูห้องแล้วเดินออกไป เจียงซุ่ยฮวนจึงเอ่ยปาก "ท่านรู้หรือไม่ว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์คลอดปีศาจน้อย?" "อะไรนะ? เม่ยเอ๋อร์คลอดปีศาจน้อย?" เจียงอวี่ตกใจมาก เขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงเม่ยเอ๋อร์ตั้งครรภ์ เขาจ้องมองเจียงซุ่ยฮวนอย่างจริงจัง หวังจะตัดสินความจริงเท็จจากสีหน้าของนาง เจียงซุ่ยฮวนไม่แสดงอารมณ์เกินจำเป็น "นางคลอดปีศาจน้อยในการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วง โหรหลวงกล่าวว่าปีศาจน้อยนั้นคือปีศาจที่ฝึกวิชาจนเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด สามารถปกป้องแคว้นต้าเหยียน" "หากท่านไม่เชื่อข้า ก็ลองไปสอบถามผู้อื่นดู" "ข้าเชื่อเจ้า" เจียงอวี่พยักหน้า แล้วถามต่อ "เหตุใดเจ้าจึงบอกเรื่องนี้กับข้า?" เจียงซุ่ยฮวนมองของในกล่องอีกครั้ง มุมปากยิ้มยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ "ท่านไปฆ่าปีศาจน้อยที่เจียงเม่ยเอ๋อร์คลอด ข้าจะรักษาร่างกายบิดาของท่านให้หาย เป็นอย่างไร?" เจียงอวี่ได้ยินแล้วถอยหลังไปหลายก้าว ส่ายหน้า "เม่ยเอ๋อร์เคยเป็นน้องสาวของเจ้ามาหลายปี เจ้าจะทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร?" "แม้ระหว่างพวกเจ้าจะมีความขัดแย้ง แต่เด็กนั้นไร้เด
เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งตื่น ลุกพรวดลงจากเตียงแล้วกวาดสายตาไปรอบห้อง แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของกู้จิ่น เมื่อนางก้มลงมองข้างเตียง ก็พบว่าเสื้อผ้าของกู้จิ่นก็หายไปด้วยเช่นกัน ในใจพลันรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย นางจึงลุกขึ้นแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป ยามนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดไล้ไปทั่วลาน เรืองรองดั่งม่านทอง แม่นมกำลังอุ้มเจ้าตัวน้อยถังหยวนเดินเล่นอยู่ในลาน ส่วนเจ้าสี่จือก็เดินตามแม่นมไปติด ๆ มันดูสนใจเจ้าทารกในอ้อมแขนของแม่นมยิ่งนัก หางของมันชูสูงด้วยความตื่นเต้น เจียงซุ่ยฮวนเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ พบว่าขนที่ปลายหางของสี่จือนั้นดำไหม้เกรียม น่าจะเป็นรอยจากกองเพลิงเมื่อคราวก่อน รอยยิ้มที่มุมปากของนางหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งว่ารังของสี่จืออยู่ไม่ไกลจากเรือนของฉู่เฉิน และในฐานะที่มันเป็นหมาป่า สัญชาตญาณย่อมไวต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ คืนที่เรือนของฉู่เฉินเกิดเพลิงไหม้ มันควรเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่รับรู้ได้สิ แต่นางกลับไม่ได้ยินเสียงหอนของมันเลยสักนิด แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น หรือว่ามันอาจออกติดตามผู้วางเพลิง และผู้ที่ลักพาตัวหลี่ลี่ไป “พระชายา”เสียงของชางอี้ดังขึ้นม
นางไม่รู้ว่ากู้จิ่นจะทำอะไร จึงกระพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยความสงสัย มืออีกข้างของกู้จิ่นค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าของนางเบา ๆ ดูเหมือนกำลังทายาบางอย่างลงไป ให้ความรู้สึกเย็นสบายยิ่ง เจียงซุ่ยฮวนใช้มือพยุงขอบถังน้ำ หลับตาพริ้มด้วยความสบาย “เย็นสบายจริง ๆ นี่คืออะไรหรือเพคะ” “นี่คือยาที่เซียนโอสถต้ม ชางอี้เพิ่งนำมาเมื่อครู่” กู้จิ่นตอบเสียงนุ่ม “เมื่อทายาทั่วหน้าของเจ้า ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์นี้ออกได้” กู้จิ่นทายาบนหน้านางอย่างพิถีพิถันและระมัดระวัง รอบ ๆ ถังน้ำมีฉากไม้กั้นไว้ ไอร้อนจึงไม่ระบายออก กลับรวมตัวเป็นหมอกขาวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ เมื่อเจียงซุ่ยฮวนลืมตาอีกครั้ง รอบตัวก็เต็มไปด้วยม่านหมอกสีขาว กู้จิ่นทรงสวมอาภรณ์สีขาว ยืนอยู่ท่ามกลางไอน้ำพร่าเลือน แวบแรกดูคล้ายเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึงในความงาม นางจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา หลังทายาเสร็จ กู้จิ่นก็หยิบผ้าเพื่อเช็ดยาที่เหลือบนมือ แล้วกล่าวว่า “รออีกหนึ่งก้านธูป ก็จะสามารถถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกได้” “เพคะ” เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า แล้วอยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “อาฮวน เจ้าขำอะไรหรือ?” กู้จิ่นเอ่ยถาม เจ
เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกราวกับตนล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ ร่างกายเบาหวิวจนไม่มีแม้แต่แรงจะพยักหน้า ได้แต่ครางรับเบา ๆ ในลำคอ “อืม...” กู้จิ่นค่อย ๆ ห่มผ้าให้เจียงซุ่ยฮวน จากนั้นจึงลุกลงจากเตียง แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า รูปร่างของเขานั้นได้สัดส่วนยิ่งนัก ไหล่กว้างเอวสอบ รูปร่างสูงโปร่ง บนเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่กำลังพอดี ดูแข็งแกร่งแต่ไม่ล้นเกินจนเกะกะสายตา เจียงซุ่ยฮวนนอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่ม มองเขาเงียบ ๆ ภายใต้แสงตะเกียงเมื่อคืน นางมองเห็นไม่ชัดนัก แต่เมื่อแสงอรุณส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา นางจึงมองเห็นกล้ามเนื้อทุกมัดของกู้จิ่นได้อย่างถนัดตา นางยิ่งมอง ใบหน้ายิ่งร้อนผ่าว รีบกระชากผ้าห่มมาคลุมโปงเอาไว้ด้วยความอับอาย ตอนอยู่ด้วยกันในยามค่ำคืน นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไป ก็อดรู้สึกกระดากอายไม่ได้ นาง...ช่างกล้าหาญนักที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หลังจากกู้จิ่นออกจากห้องไป เจียงซุ่ยฮวนก็ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยความอบอุ่นจนทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับไปอีกครั้ง ขณะนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงลากถังน้ำและเสียงเทน้ำลงถังอาบน้ำอย่างเงียบเชียบ หญิงใช้ชื่
วิธีการที่แมงป่องพิษทรมานกู้จิ่น ก็ราวกับแมวที่จับหนูได้ ไม่รีบกินทันที หากแต่ใช้เล็บหยอกล้อกับเหยื่ออยู่นานสองนาน ก่อนจะลงมือกินอย่างเลือดเย็นเมื่อคิดถึงช่วงเวลายาวนานที่กู้จิ่นต้องถูกทรมานจากแมงป่องพิษ หัวใจของเจียงซุ่ยฮวนก็แทบจะขาดเป็นริ้ว ๆ ด้วยความเจ็บปวด กู้จิ่นกอดนางไว้ แล้วกล่าวว่า "อาฮวน เจ้าไม่ต้องห่วงข้า" "ข้าจะสังหารแมงป่องพิษด้วยมือข้าเอง แม้ข้าในฐานะองค์ชายเป่ยโม่จะทำไม่ได้ แต่ในฐานะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู ข้าย่อมทำได้แน่นอน" นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ "องค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเหลียงตู พระองค์ได้พบกับจักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูแล้วหรือเพคะ" "ยังมิได้" กู้จิ่นส่ายหน้า "พวกเขาเป็นฝ่ายมาหาข้า ทว่าข้ายังมิได้ตอบรับใด ๆ " เขาอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนคำพูดลงไป แล้วตบหลังนางเบา ๆ ถามว่า "อาฮวน บัดนี้เจ้าวางใจแล้วหรือไม่" "วางใจแล้วเพคะ!" เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกยินดียิ่ง หากมีแคว้นเหลียงตูเป็นที่พึ่ง กู้จิ่นย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้แน่ นางโยกแขนของกู้จิ่นเบา ๆ "มีอีกสิ่งหนึ่ง พระองค์จะช่วยหม่อมฉันตามหาฉู่เฉินได้หรือไม่เพคะ" แม้นางจะรู้
กู้จิ่นตอบว่า "ไม่รู้ ฉู่ยิ่นเข้าใจว่าข้าเป็นบุตรของหญิงรับใช้ และรู้ว่าข้าไม่มีทางแย่งชิงบัลลังก์กับเขา ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ดีกับข้ามาตลอด" "เช่นนั้น... จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูทรงล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของพระองค์หรือไม่เพคะ" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าถาม "หลังจากข้าเกิดไม่นาน จักรพรรดิแห่งแคว้นเหลียงตูก็ทรงล่วงรู้แล้ว พระองค์ส่งคนนำหยกหยาบมาให้หนึ่งก้อน ฮองเฮาไท่ชิงทรงให้ช่างทำเป็นแผ่นหยกพระราชทานแก่ข้า" พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของกู้จิ่นก็ทอดมองนางอย่างลึกซึ้งแผ่นหยก เจียงซุ่ยฮวนเลิกปกเสื้อขึ้น ถอดแผ่นหยกที่ห้อยอยู่ที่คอ "คือสิ่งนี้หรือเพคะ" กู้จิ่นลูบแผ่นหยกเบา ๆ แผ่นหยกเนียนละเอียดยังอุ่นจากอุณหภูมิร่างกายของเจียงซุ่ยฮวน บนนั้นสลักอักษร "กู้" เพียงตัวเดียว "คือแผ่นนี้แหละ" กู้จิ่นทรงยกสร้อยแผ่นหยก สวมกลับคืนบนคอของเจียงซุ่ยฮวน เขากล่าวต่อไป "นับตั้งแต่ข้าเริ่มมีภาพความทรงจำ ฮองเฮาไท่ชิงก็ดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าพระนางคือเสด็จแม่ผู้ให้กำเนิด และความเฉลียวฉลาดที่ข้าแสดงออกตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ฮองเฮาไท่ชิงและไท่ซ่างหวงยิ่งทรงชื่นชมข้า" "เมื่อข้าอายุได้ห้าปี ทูตจากแคว้นเหลียงต
เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ "ทำไมหรือเพคะ" กู้จิ่นเอามือลูบผ่านเส้นผมของนางเบา ๆ "อาฮวน ความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับไท่ซ่างหวงนั้นแม้จะได้เปิดใจคุยกันแล้ว ทว่าแนวคิดของเราทั้งสองยังคงต่างกันอยู่มาก" "เขาเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจต่อกรสู้แมงป่องพิษได้ จึงปรารถนาให้ข้าหลบซ่อนตัว แต่ข้ามิอาจทำเช่นนั้นได้" ดวงตาของกู้จิ่นแข็งดุจหินนิลเป็นประกายเย็นยะเยือก ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า "แมงป่องพิษสังหารเสด็จแม่ของข้า ตลอดหลายปีมานี้ทำให้ข้าตกเป็นเบี้ยหมากในมือ" "บัดนี้ข้าได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของแมงป่องพิษแล้ว จะให้ข้าหลบหนีอีก ข้าไม่มีทางทำได้" สำหรับเจียงซุ่ยฮวน ความคิดของกู้จิ่นและไท่ซ่างหวงล้วนมิได้ผิด เพียงแต่ยืนอยู่คนละมุมมองเท่านั้น นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า "พระองค์ลองโน้มน้าวไท่ซ่างหวงอีกสักหน่อยมิดีหรือเพคะ ถึงอย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อลูกกันหากร่วมมือกันย่อมสามารถเอาชนะแมงป่องพิษได้เป็นแน่" กู้จิ่นหยุดเคลื่อนไหว แล้วโอบรอบเอวนางและถามว่า "อาฮวน เจ้ายังจำคำพูดที่ข้าเอ่ยค้างไว้ครั้งก่อนได้หรือไม่" มือของกู้จิ่นอุ่นและมั่นคง เมื่อจับที่เอวของนาง รอบเอวนางก็ราวกับมี
"ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นไร ข้าก็ยังจำเจ้าได้" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ นางก็สัมผัสได้ถึงร่างของกู่จิ่นที่สั่นไหวเล็กน้อย นางลูบแผ่นหลังของเขาเบา ๆ "มิต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัย มิได้เป็นอันตรายแม้แต่น้อย" "อืม" กู้จิ่นคลายมือ แล้วตรัสกับองครักษ์ลับในลานบ้านว่า "พวกเจ้าจงกลับไปยังตำแหน่งเดิม" เพียงชั่วพริบตา องครักษ์ลับทั้งปวงก็หายวับไป เหลือเพียงชางอี้ที่ยืนอยู่ ณ ที่เดิม กู้จิ่นจับมือเจียงซุ่ยฮวนเดินไปยังห้องนอนเจียงซุ่ยฮวนบีบมือเขาเบา ๆ แล้วกระซิบว่า "ท่านอ๋องเพคะ โปรดอภัยโทษให้ปู้กู่เถิด เขาได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยหลี่ลี่" กู้จิ่นทรงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสกับชางอี้ว่า "ไปปล่อยตัวปู้กู่มา" ชางอี้รับคำอย่างปลาบปลื้ม "พ่ะย่ะค่ะ!" "รอก่อน" กู้จิ่นเรียกชางอี้ไว้ แล้วตรัสต่อ "เขาใช้งานคนไม่เหมาะสม มิได้ปกป้องอาฮวนให้ดี แม้จะได้รับการปล่อยตัวจากคุกน้ำ ก็มิอาจพ้นโทษ" ชางอี้ทูลถาม "ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ" "ในเมื่อขาของเขาได้รับบาดเจ็บจนเคลื่อนไหวมิได้ ก็ให้เขาคัดลอกตำรากลยุทธ์หนึ่งพันรอบ" ชางอี้อดรู้สึกเสียใจมิได้ หากรู้แ
ได้ยินเงาร่างหนึ่งกล่าวว่า "แถวนี้เรือนบ้านมากมาย ซอกซอยวกวน เจ้าจงไปตามคนมาเพิ่ม ส่วนข้าจะลงไปตามหาก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก่อนฟ้าสาง เราต้องหาพระชายาให้พบ" "พ่ะย่ะค่ะ!" เจียงซุ่ยฮวนที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงตาโตด้วยความยินดี นั่นเป็นเสียงของชางอี้ พวกเขามาตามหานางแล้ว! นางรีบออกมาจากกำแพง โบกมือเรียกชางอี้บนหลังคา ชางอี้ก้มมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา เจียงซุ่ยฮวนอึ้งไปชั่วครู่ จึงนึกได้ว่าตนยังสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ ชางอี้ย่อมจำนางมิได้ นางจึงต้องตะโกนเสียงดัง "ชางอี้ ข้าอยู่นี่!" ชั่วอึดใจ ชางอี้กลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง มองนางด้วยความตกตะลึง "พระชายารึ!" "ใช่ ข้าเอง" นางพยักหน้าตอบ "เหตุใดพระชายาจึงเปลี่ยนโฉมเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้มองนางอย่างอึดอัด ก่อนเบือนหน้าหนี"..." เจียงซุ่ยฮวนถามด้วยความสงสัย "โฉมหน้าข้าตอนนี้น่าเกลียดนักหรือ" ชางอี้ก้มหน้ามองปลายเท้า กล่าวอย่างฝืนใจว่า "มิได้น่าเกลียดพ่ะย่ะค่ะ พระชายามีความงามอันแตกต่างไม่เหมือนผู้ใด" "มีคันฉ่องหรือไม่" "มีพ่ะย่ะค่ะ" ชางอี้ล้วงคันฉ่องออกมามอบให้เจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนส่องดูโฉมตนในค
คำพูดของเฉียนจิงอี๋ยังไม่ทันขาดคำ เจียงซุ่ยฮวนก็เหวี่ยงหมัดไปที่คางของเขาอย่างฉับไว ดั่งสายฟ้าฟาด เขาก้าวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มยังมิได้จางหาย "คุณหนู หากมีเรื่องจะพูดก็พูดกันดี ๆ ไยต้องลุกขึ้นมาต่อยตีกันเล่า" ในตรอกที่ทั้งแคบและมืด เจียงซุ่ยฮวนจ้องเขม็งมาที่เฉียนจิงอี๋ ดั่งสัตว์ป่าที่โกรธเกรี้ยว นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วกล่าวว่า "เลิกแสร้งเสียที! ข้ารู้ว่าท่านคือเจ้าของสนามประลองนั่น!" "อ่อหรือ" เฉียนจิงอี๋พิงกำแพงเบื้องหลัง ก่อนเลิกคิ้วถามว่า "คุณหนู เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น" เจียงซุ่ยฮวนชี้ที่ใบหน้าตัวเอง กล่าวเสียงเย็น "ใบหน้าของข้าสวมหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ มิใช่โฉมเดียวกับครั้งก่อนที่พบท่าน" "ทว่าเมื่อครู่ข้าเอ่ยถึงจุดของลูกเต๋า ท่านมิได้ลังเลสักนิดที่จะรับคำ แสดงว่าท่านจำข้าได้มาแต่แรก" เจียงซุ่ยฮวนกล่าวอย่างมั่นใจ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ท่านคือผู้จับข้ามาที่นี่ หน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าข้าก็เป็นแผนการของท่าน ท่านจึงล่วงรู้ตัวตนที่แท้ของข้า" เมื่อเจียงซุ่ยฮวนรู้ว่าผู้ที่พานางมาคือเจ้าของสนามประลอง นางก็สงสัยเฉียนจิงอี๋มาแต่ต้น เพราะสนามประลองนั้นมีความคล้ายกับบ่อนพนันซ