“คุณหนูใหญ่ครับถึงสนามบินแล้ว” เสียงลุงหย่งอันเรียกหลังจากลงไปเปิดประตูรถให้ หลี่เหม่ยถิงที่กำลังเช็กข้อความในโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้มดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณระยะเวลาเช็กอินคิดว่าจะเดินไปซื้อชาร้อนดื่มสักแก้ว
“ลุงหย่งอันกับอาฉีกลับกันได้เลยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วครับคุณหนูใหญ่” เสียงเข้มตอบมาจากทางด้านหลังของพ่อบ้านของตระกูล ร่างสูงอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่แทบจะปริออกมาจากชุดสูทสากลสีดำเดินมายืนข้างลุงหย่งอัน ฉีฟ่านเป็นบอดี้การ์ดของคุณพ่อมานานหลายปี ชายร่างใหญ่หน้าเหลี่ยม คิ้วและปากหนา ตาคมปีกจมูกบานออก หูด้านขวามีรอยแหว่งจากรอยแผลสมัยที่ยังคงอยู่ในกองทัพ โดยรวมภาพลักษณ์ดูดุดันแตกต่างชัดเจนกับคนเป็นพ่อบ้านชนิดคนละขั้ว ลุงหย่งอันผอมเพรียว ยืนเหยียดหลังตรงในชุดสูท 5 ชิ้นดูน่าอึดอัดท่ามกลางอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน แก้มตอบเข้าทำให้โหนกแก้มดูสูง หางตาตกแต่มีประกายฉลาดเฉลียว สองคนนี้คนหนึ่งดูเป็นคนใช้เรี่ยวแรงในการทำงาน อีกคนดูทรงภูมิท่วงท่าคล้ายบัณฑิตไม่มีแม้แรงจะมัดไก่ ทำให้คิดถึงรูปร่างอวบท้วมใบหน้ากลมมน หน้าผากกว้างแต่เรียวปากบางของป้าหนิวอี หากจับทั้งสามยืนรวมกันคงเกิดเป็นทัศนียภาพที่น่าดูไม่น้อย ถ้าป้าหนิวอีมาด้วย หญิงวัยกลางคนผู้ซึ่งสูงเพียงไหล่ของลุงหย่งอันคงยืนชี้นิ้วสั่งงานไม่หยุดปากใส่ชายทั้งสอง สองคนนี้คงหัวหมุนขาแทบขวิด นึกถึงภาพจำในครั้งเก่าก่อนทำให้บรรยากาศรอบตัวของหลี่เหม่ยถิงคลายความหนักอึ้งลงได้บ้าง มีรอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏเล็ก ๆ ตรงมุมปาก ในบ้านหลังนั้นยังมีคนที่รักและหวังดีกับเธออีกหลายคน นึกถึงคุณพ่อที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล หลี่เหม่ยถิงรู้สึกผิดปะปนไปกับความเจ็บปวด เธอรู้ว่าเวลาของคุณพ่อเหลืออยู่ไม่ถึง 2 ปี ตอนตื่นจากการหลับใหลตัวเธอทั้งสับสน หวาดกลัว ความอ่อนแอไร้กำลังกัดกินจิตใจทำให้อยากหลีกหนีและถอยห่างจากสถานการณ์ตรงหน้าไปก่อน เธอถึงรีบหนีกลับไปโรงเรียน เพราะบ้านไม่ใช่ที่สำหรับเธออีกต่อไป ‘หลี่เหม่ยถิง เธอจะอ่อนแอไม่ได้’ ยังมีเวลาก่อนที่ถึงคราวที่จะต้องแตกหักกับติงหรูอี้และหลี่เหม่ยหลิน เธอต้องคิดหาทางตั้งหลักให้ตัวเอง ต้องวางแผนอนาคตล่วงหน้า เธอมีข้อได้เปรียบตรงที่รู้ความจริงแล้ว จะไม่ยอมให้ถูกเอาเปรียบหรือมีใครมากดข่มเธอได้อีก ปีกแห่งอิสรภาพที่ถูกพันธนาการไว้ เธอจะพังโซ่ตรวนให้พินาศเอง! ปึก! “โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ” ตัวของหลี่เหม่ยถิงเซไปตามแรงกระแทก ดีที่จับกระเป๋าเดินทางใบเล็กตั้งหลักได้ทันจึงไม่ล้มคะมำลงไป อีกทั้งคนชนก็แสดงความรับผิดชอบรับผิดทันที จึงไม่ติดใจเอาความกัน แรงกระแทกนี้ทำให้เธอรับรู้สถานการณ์ผิดแปลกรอบตัวหลังจากจมอยู่กับความคิดตัวเองปิดกั้นการรับรู้ภายนอกทั้งหมด “คนกลุ่มนั้นดูเท่มากเลย ผู้ชายตรงกลางนั่นเป็นคนใหญ่คนโตจากไหนกันนะ มีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเลยถ้าได้แฟนแบบนี้คงสบายไปทั้งชาติ” “นี่อย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย เป็นไงล่ะถึงขั้นเดินไปชนคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้า” “กรี๊ด! ผู้ชายคนนั้นดูหล่อมากขนาดใส่แว่นดำนะ ถ้าถอดออกมาจะหล่อขนาดไหน” “โห น่ากลัวว่ะ มาเฟียหรือเปล่านั่น” สารพัดเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบรอบตัว ทั้งสายตาที่มีทั้งแอบมองและมองกันแบบโจ่งแจ้งในทิศทางเดียวกัน ทำเอาหลี่เหม่ยถิงเอี้ยวคอมองตามกระแสมวลชนไปยังทางเข้าเกตช่องทางพิเศษระดับ VVIP กับเขาด้วย สายตาของหลี่เหม่ยถิงประสบเข้ากับกลุ่มมนุษย์ชุดสูทดำตัวใหญ่ยักษ์ยืนกั้นพื้นที่เป็นช่องทางให้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านเข้าเกตไปแล้ว เห็นเพียงใบหูและหน้าค่อนมาทางด้านหลัง รูปร่างสูงสง่าในชุดสูททางการสีเทาเข้มจนเกือบดำ ช่วงขายาวก้าวอย่างมั่นคงไปด้านหน้า ไหล่กว้างผึ่งผายบุคลิกสง่างาม มวลออร่าจากร่างสูงหนาแน่นทรงพลังมาก!! “เฮ้อ! น่าเสียดาย ทั้งที่ดูทรงพลังและเปี่ยมอำนาจขนาดนั้นแท้ ๆ ชีวิตคนนี่มันไม่แน่นอนจริง ๆ” ดวงหน้าภายใต้กรอบแว่นส่ายไปมา ถอนหายใจกับตัวเอง ออร่าที่ทรงพลังขนาดนั้น ดันมีตำหนิเป็นจุดเหลืองอมส้มเด่นชัด!!! สีของออร่าเหลืองอมส้มแสดงถึงความเจ็บป่วย ชายคนนั้นโดดเด่นจนติดอยู่ในใจของเธอตลอดเที่ยวบินไปไท่หยวนเลยทีเดียว ด้วยคิดว่าหากมีโอกาสผ่านมาเจอกันเธอจะยอมทำใจเดินเข้าไปเอ่ยปากเตือนเขา แม้จะถูกมองแปลก ๆ หรือไม่ไว้ใจก็ตาม ในใจของหลี่เหม่ยถิงรู้ดีว่าความบังเอิญขนาดนั้นคงไม่มีในโลก จึงนั่งคิดเสียดายทอดถอนใจไปกับเรื่องนี้ตั้ง 2-3 วันหลังจากกลับมาถึงโรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน แล้วร่างโชกเลือดที่นอนหมดสติแทบเท้าเธอนี่มันอะไร!?!? ความจริงที่บังเอิญมากระแทกหน้าเล่นเอาเธอมึนงง ตอนนั้นแม้จะไม่เห็นหน้า แต่ออร่าของชายคนนั้นมีเอกลักษณ์ให้จดจำ แถมออร่าสีเหลืองส้มยังออกมาจากจุดเดียวกันตรงช่องท้องอีก รับรองคนเดียวกันไม่ผิดตัวแน่ เอาไงดี? โรงเรียนมัธยมของเธอค่อนข้างเข้มงวด แถมยังเป็นโรงเรียนหญิงล้วน สภาพคนบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายค่อนข้างชัดเจนแบบนี้ เกิดทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาเผลอ ๆ ยังไม่ทันจะพาไปรักษาพ่อหนุ่มนี่คงจะโดนตามเก็บเสียก่อน “ห้องเก็บของเก่าตึกด้านหลังโรงยิมน่าจะพอซ่อนไว้ได้ล่ะนะ” “ยังหายใจอยู่ใช่ไหมเนี่ย ตรวจดูหน่อยดีกว่า ถ้าตายก็ทิ้งไว้นี่ล่ะจะได้ไม่วุ่นวาย” บ่นพึมพำพร้อมยู่ปากไปพลาง มือเรียวเล็กยื่นออกไปหวังตรวจชีพจร ลำตัวด้านบนจึงค้อมต่ำทำให้คอเสื้อหย่อนลง สร้อยพร้อมจี้หยกสีแดงจึงหลุดออกมาด้านนอก หมับ! โอ๊ย! มือแข็งแรงดุจคีมเหล็กคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบอบบาง ออกแรงบีบจนเด็กสาวร้องอุทานออกมา ดวงตาสีดำมืดครึ้มดุจรัตติกาลเผยอเปิดขึ้น สายตาแข็งกร้าวไม่ผ่อนปรน ทำเอาหลี่เหม่ยถิงร่างกายแข็งค้าง ความเหน็บหนาวคืบคลานขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง กัดฟันข่มความกลัวชายตรงหน้า ถลึงตาจ้องตรงเข้าไปนัยน์ตาเรียวชี้ปลายอย่างไม่ยอมแพ้ “ปล่อย!! คุณน้าทำกับคนที่มีบุญคุณช่วยชีวิตแบบนี้เหรอ ฮึ! ทำคุณบูชาโทษ!” เสียงต่อว่าหลุดออกจากริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม สายตาแข็ง ๆ แทนที่จะอ่อนลงกลับจ้องเขม็ง แถมเธอเห็นนะว่าเส้นเลือดตรงขมับเขายังเต้นตุบขึ้นมา ‘เอ้า โกรธเธอเฉยเลย’ หลี่เหม่ยถิงที่โดยปกติแล้วเป็นคนที่เก็บอาการค่อนข้างเก่ง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ใบหน้าเรียวเล็กที่ถูกบดบังจากผมเผ้าและแว่นตายับยู่ส่อความไม่พอใจจนเด่นหรา “อะไรเนี่ย…ถ้าช่วยแล้วเจ็บตัว น้าก็นอนแห้งตายอยู่ที่นี่ต่อไปเถอะค่ะ” โอ๊ะ…เรียกน้าแล้วดูเหมือนจะไม่พอใจแฮะ “คุณ…น้าคะ” เสียงเล็กเรียกแหย่หยั่งเชิง “ผมอายุ 25 ยังไม่แก่” เสียงแหบทุ้มต่ำเซ็กซี่กระซิบออกมาแผ่วเบาจากริมฝีปากบาง เสียงมีเสน่ห์ปัดผ่านใบหูดุจขนนกลูบไล้ พาเอาหัวใจสาวน้อยที่ไม่เคยใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามเต้นตุบ ใบหูมีสีแดงขึ้นลามจากหลังคอ “เอ้อ…อะแฮ่ม คุณปล่อยมือก่อนค่ะ จะพาไปห้องเก็บของ ขืนยังอยู่กันตรงนี้คงไม่ดีแน่ คนที่ตามล่าคุณอาจจะมาเจอได้” หลี่เหม่ยถิงยื่นข้อเสนอที่ควรคำนึงถึงตอนนี้ออกไป พยายามจัดการอารมณ์เตลิดเมื่อครู่ให้สงบ “อืม” ชายหนุ่มลังเลอยู่เพียงอึดใจก่อนพยักหน้าตกลง คิดว่าเขาคงประเมินแล้วว่าทำแบบนั้นคงดีที่สุด ดวงตาดอกท้อหวานหลังกรอบแว่นกวาดมองรอบตัว ที่มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า แน่ล่ะนี่มันภูเขาด้านหลังโรงเรียน แถมทางที่เธอเดินมายังออกนอกเส้นทางเดินปกติของนักเรียนในโรงเรียน มันเป็นเส้นทางเดินอ้อมกองหินใหญ่ไปอีกฟากของทางเดินป่า เดินไม่ไกลมากจะมีน้ำตกกับแอ่งน้ำขนาดกลาง รอบบริเวณมีพรรณไม้ดอกไม้ป่านานาชนิดขึ้นสวยงาม ร่างสูงสง่าใช้มือยันตัวขึ้นกับต้นไม้ ท่าทางโอนเอนดูอ่อนแรงแต่พยายามทรงตัวขึ้น “ฉันช่วยค่ะ” หลี่เหม่ยถิงอาสาเข้าไปช่วยประคอง ถึงตัวเธอจะเล็กกว่าแต่ก็ค่อนข้างแข็งแรงเพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ “ขอบคุณครับ ขอโทษด้วยเรื่องข้อมือของคุณ” คำเอ่ยขอบคุณและขอโทษทำสาวน้อยค่อนข้างแปลกใจแต่ก็รู้สึกดีขึ้น คิดว่านิสัยของคนคนนี้ไม่ได้แย่เลยทีเดียว ขณะเดินประคองกันไปเธอแอบลอบมองสำรวจคนด้านข้างอย่างพิจารณา หน้าตาหล่อเหลาดุจดังลูกรักของพระเจ้า ดวงหน้าหล่อมีสันกรามคมชัด จมูกโด่งตรงเป็นสัน ดวงตาหงส์คมกริบ ปลายหางตายกขึ้นเล็กน้อยล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวจนผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องอิจฉา เรียวปากบางได้รูปทรง เสียอย่างเดียวใบหน้าไร้อารมณ์นิ่งขึงจนดูดุจัดไม่น่าเข้าใกล้ “เลือดหยุดไหลหรือยังคะคือฉันไม่มียาห้ามเลือดเลยในหอพัก มีแต่พวกยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น คิดว่าคุณคงไม่อยากให้เรียกรถพยาบาล” “อืม…ฉลาด”ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช