10 นาทีต่อมา
แกร๊ก “เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!” แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม “เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ” เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ “ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์” “แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ “เฉินซินหยาน!!!” “อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย” “เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง” ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ “ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเลยนะ เรียนไปไม่ถึง 10 นาทีหลับทุกทีเลย ถ้าจะให้สอบติดมหาวิทยาลัยในปักกิ่งนอนหลับฝันเอายังมีหวังมากกว่า” “เด็กโง่...ซินหยานเธอไม่จำเป็นต้องเลือกสอบวิชาพวกนี้ ใช้สิ่งที่เธอถนัดแล้วมุ่งหน้าไปทางนั้นสิ” “ฉันเนี่ยนะ? ฉันมีอะไรที่ถนัดด้วยรึไง ทำไมตัวฉันเองไม่รู้ล่ะ” “นึกดูดี ๆ สิ เอาอย่างนี้ เธอชอบทำอะไร อยากทำอะไร” “ชอบกิน! แล้วอยากเป็นปลาเค็ม ” ผัวะ!!! ฝ่ามือพิฆาตตบลงบนกระหม่อมของเพื่อนซี้อย่างไม่ออมมือ ชี้หน้าให้หยุด ถ้ายังพูดไร้สาระเธอจะฟาดอีกที “ก็อยากนอนเฉย ๆ ให้ที่บ้านเลี้ยงไม่ได้เหรอ” “ยังจะเถียงอีก ตอนพ่อแม่เธอยังอยู่เธอจะนอนเป็นปลาเค็มไม่มีใครว่า เกิดวันไหนพวกท่านไม่อยู่อีกต่อไปล่ะ เธอคิดว่าพี่สะใภ้ในอนาคต จะยอมให้น้องสามีเป็นปลาเค็มเกาะพี่ชาย?” ‘ง่ายมาก เหม่ยถิงเธอก็มาเป็นพี่สะใภ้สิ ฉันจะได้กลายเป็นปลาเค็มได้ตลอดชีวิต’ เฉินซินหยานคิดในใจอย่างหมายมาด แต่ไม่กล้าพูดออกมาจึงได้แต่นิ่งเงียบ พยายามทำตัวเล็กเข้าไว้ “เอาล่ะอย่านอกเรื่อง ซินหยานสนใจออกแบบแฟชั่นไหม จบแล้วไปเปิดแบรนด์เสื้อผ้า รสนิยมเรื่องการแต่งตัวของเธอดีมากนะ อีกอย่างเธอมีต้นแบบดีอย่างน้าสาวที่ไปเปิดตลาดในเซี่ยงก่าง ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์” “อ๊า! นี่มันน่าสนใจมากเลย แต่ฉันจะทำได้เหรอ การแต่งตัวกับการออกแบบมันคนละเรื่องเลยนะ อีกอย่างเปิดแบรนด์มันก็ต้องคอยบริหารจัดการอีก ฉันทำไม่ได้แน่” “ไม่เห็นจะยาก เราก็ทำด้วยกันเลยไง เธอก็ทำเรื่องดีไซน์ไปเดี๋ยวเรื่องการบริหารจัดการพวกนั้นฉันทำให้เอง” “ว้าว! มันมีวิธีนี้อยู่นี่นา เหม่ยถิงฉลาดจริงด้วย” ไอ้ประโยคฉลาดจริงด้วยนี่มันยังไง มุมปากหลี่เหม่ยถิงถึงกับกระตุก มือชักอยากจะฟาดอีกสักที ดูจากหน้าตาล้อเลียนของซินหยานนี่คงจะตั้งใจสินะ “แต่ว่านะเหม่ยถิง เหลือแค่ 10 เดือนจะไหวเหรอ” เฉินซินหยานนั้นข้อดีมีหลายอย่าง เสียตรงขี้เกียจตัวเป็นขนหากเห็นหนทางข้างหน้ายากลำบาก เธอจะยอมแพ้ได้ง่ายถ้าแรงจูงใจไม่แก่กล้าพอ “เราจะได้เรียนปักกิ่งด้วยกันไง อีกอย่างออกแบบแฟชั่นเขาดูผลงานเป็นหลักไม่ได้เน้นเกรด 10 เดือนนี้เธอก็ขยันออกแบบแล้วอ่านพวกวิชาที่เกี่ยวกับแฟชั่นและการดีไซน์” “ไม่เท่ากับว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นเลยเหรอ” พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ความฮึกเหิมก่อนหน้าของเฉินซินหยานแทบจะดับมอดทันที มองหลี่เหม่ยถิงอย่างไม่แน่ใจ แต่จะให้ล้มเลิกเกรงว่าจะโดนฝ่ามืออีกรอบ “เรียนออกแบบทำแบรนด์เสื้อผ้า ต่อไปคงได้เจอนายแบบนางแบบหรือแม้แต่ดารามากมาย” เสียงใสของหลี่เหม่ยถิงดังตัดบรรยากาศหดหู่เหมือนน้ำทิพย์จากสวรรค์รดลงบนไฟต่อสู้ที่ใกล้มอด “ดีล!! ฉันสู้ตายเลยล่ะ” หลี่เหม่ยถิงได้แต่กรอกตามองบนให้มิตรภาพที่แพ้ให้กับหน้าตาของผู้คนในมโนคติของเฉินซินหยาน โรงพยาบาลเอกชนฝูต้า “ลู่เสียน เวลาของผมเริ่มนับถอยหลังแล้ว หากเราได้พบกันอีกในโลกหน้าผมจะขอขมาต่อคุณ ผมอยากขอโทษคุณมาตลอด แต่คุณไม่ต้องห่วงนะผมเลี้ยงลูกสาวของคุณกับ…แค่ก..แค่ก…มาอย่างดี เหม่ยถิงแกเป็นเด็กดีมาก” หลี่ซีซวนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล ในมือถือผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาอ่อนกำลังนั่งจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด โดยไม่รู้ว่าหน้าประตูมีสายตาเสียใจปนเคียดแค้นจ้องมองอยู่ ‘ซีซวนจนปานนี้คุณยังคงคิดถึงแต่นังแพศยานั่น มันเป็นใครมีดีกว่าฉันที่เป็นคู่หมายตามประเพณีและแม่สื่อแค่ไหนกันเชียว’ “คุณคะ เรียบร้อยแล้วหรือยังคะ” ติงหรูอี้ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาในห้อง สายตาจับจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือของสามีหวังจะเห็นความรู้สึกผิด “เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ” หลี่ซีซวนไม่ได้รีบร้อนเก็บผ้าผืนนั้น แต่ค่อย ๆ พับอย่างดีแล้วสอดเข้าอกเสื้อด้านในตรงตำแหน่งใกล้หัวใจ สายตาหากแผดเผาทำลายได้ ผ้านั่นคงไหม้เป็นจุณ ติงหรูอี้ยืนตัวสั่นเทิ้ม ขบเคี้ยวด้านในปากจนเลือดกลบ ‘ฉันทำอะไรแกไม่ได้ แต่ลูกสาวแกอย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดี!’ ยังไงเสียเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘แม่’ ของนังเด็กราคาถูกนั่น เธอสั่งให้ไปซ้ายมันไม่มีทางไปขวาแน่นอน ใช้เวลาราว 50 นาที ครอบครัวหลี่ก็เดินทางกลับมาถึงบ้านของตระกูล หลังจากรถเลี้ยวเข้ามาจอดยังหน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ หลี่เหม่ยหลินที่ยืนรอทุกคนอย่างกระวนกระวายรีบเดินออกไปรับ “คุณพ่อคุณแม่ ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณพ่อ” เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวออดอ้อนคนเป็นพ่อแม่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้จากผู้ใหญ่ที่เพิ่งก้าวลงจากรถได้ดี “เก่งก็แต่กับเรื่องออดอ้อนเอาใจนะเราน่ะ ไปเข้าไปคุยกันในบ้าน” สองพ่อลูกเดินประคองกันเข้าไปในห้องรับแขกของบ้าน ส่วนติงหรูอี้ผ่อนฝีเท้าไม่ได้เดินตามไปทันที นางปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูอมทุกข์หม่นเศร้า หลี่เหม่ยหลินสังเกตเห็นความหม่นหมอง รอยยิ้มจืดเจื่อนของแม่ตัวเองก็ลอบกำหมัดจนหลังมือขาว แม่ของเธอต้องทนกล้ำกลืนเก็บลมหายใจให้กับแสงจันทร์ขาว ในใจของคุณพ่อมาตลอด นี่ก็คงมีเรื่องนังชู้รักนั่นให้สะกิดใจอีกเป็นแน่ “แม่คะ เราขึ้นไปดูห้องคุณพ่อกันดีกว่าค่ะ พวกคนงานในบ้านมือไม้หนักอาจจะทำความสะอาดได้ไม่ดี” “จะดีเหรอลูก อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อก่อนดีกว่านะ” ติงหรูอี้ทำท่าทางปฏิเสธแล้วลอบมองสีหน้าของหลี่ซีซวน แต่ไร้ปฏิกิริยาอื่นใดกับคำพูดห่วงใยของเธอ “คุณขึ้นไปกับลูกเถอะ ผมมีเรื่องจะสอบถามพ่อบ้านฝูพอดี” “ได้ค่ะ” หลี่เหม่ยหลินจับจูงกึ่งลากติงหรูอี้ขึ้นไปยังชั้นบน คฤหาสน์หลังนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น ห้องของแม่กับเธออยู่ทางปีกซ้าย ปัง!!! “แม่คะ คุณพ่อทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจอีกใช่ไหมคะ” หลังเข้ามาในห้องนอน หลี่เหม่ยหลินรีบหันมาถามแม่ของเธอทันที “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะหลินเออร์” ติงหรูอี้ส่งยิ้มลำบากใจเหมือนทุกทีให้ลูกสาว เม้มริมฝีปากเคลือบลิปสีแดงสดเป็นเชิงไม่อยากพูดถึง หลี่เหม่ยหลินอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจนี้ จู่ ๆ ดวงตากลมโตดุจเมล็ดซิ่งสว่างวาบเหมือนคิดสิ่งใดออก “เดี๋ยวหนูขอแวะไปคุยกับคุณพ่อที่ห้องทำงานหน่อยนะคะ” รีบร้อนบอกคำกับแม่เสร็จหลี่เหม่ยหลินก็รีบเดินจนเกือบจะเป็นวิ่งออกไปปีกขวาของบ้าน ก๊อก ก๊อก “คุณพ่อคะ หลินเออร์เองค่า หนูมีเรื่องวันเกิดพี่ใหญ่จะปรึกษาค่า” “หลินเออร์เหรอลูกเข้ามาสิ” เสียงของหลี่ซีซวนยามคุยกับลูกสาวคนเล็ก ยังเจือความอบอุ่นต่างกับเสียงชืดชาที่ใช้กับภรรยาลิบลับ “คุณพ่อคะคุณพ่อ ปีนี้พี่ใหญ่จะอายุครบ 18 ปีแล้ว เราจัดงานเฉิงเนี่ยน ทำเซอร์ไพรส์พี่ใหญ่กันเถอะนะคะ” “ลูกคิดได้ตรงใจพ่อจริง ๆ พ่อกำลังเรียกเหล่าฝูมาคุยเรื่องนี้พอดี ไหนลูกลองบอกความเห็นของลูกมาสิ” เสียงพูดคุยของสองพ่อลูกแว่วออกมาให้คนที่ยืนแอบฟังอยู่ข้างกำแพงจับใจความได้ก่อนประตูห้องทำงานจะปิดลงและไม่ได้ยินสิ่งใดอีก รอยยิ้มสาสมใจจุดขึ้นบนเรียวปากสีแดงสดก่อนจะหมุนตัวเดินหันหลังกลับเข้าห้องส่วนตัวไปตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช