ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงเอ็ดลูกชายไปแล้วที่นอนดึก แต่ภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไม่ทำให้สติแตกจนฟั่นเฟือนก็เรียกว่าดีมากแล้วสำหรับเด็ก
เด็กชายดลนับว่าเป็นหัวโจกกลุ่มเด็กในหมู่บ้านคนหนึ่ง เขามักนำตัวเองเป็นศูนย์กลางของกลุ่มเด็กทโมนพาเพื่อนไปเล่นสุ่มเสี่ยง ตรงไหนที่ผู้ใหญ่ห้ามหรือดุก็จะแอบพากันไปจนรู้แน่ชัดว่าห้ามเพราะอะไรก็จะหยุดเอง ตอนที่ยายล้มลงแล้วลุกขึ้นมากัดตา ณ ตอนนั้นเด็กชายดลเข้าใจได้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่ไม่ปกติ คนตรงหน้าไม่ใช่ยายของเขาอีกต่อไป
เด็กตัวเล็กคนหนึ่งรีบพาแม่ออกจากบ้าน ดาริณีวิ่งตามลูกชายมาอย่างงุนงงในตอนแรกเพราะช็อกกับสภาพที่พ่อถูกแม่กัดเลือดท่วมตัว ไหนจะคนในหมู่บ้านบางคนที่มีลักษณะเหมือนแม่ของเธอ ทั้งสองคนจึงได้แต่วิ่งฝ่าความมืดหวังไปขอพึ่งพิงบ้านสามี ได้แต่โทษตัวเองว่าคืนนี้เธอไม่น่าขอบ้านนั้นพาลูกมานอนที่นี่เลย จะได้ไม่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้
ใครจะคาดคิดว่าแทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ เธอกลับถูกขับไล่เพราะอีกฝ่ายเห็นว่ามีฝูงตัวอะไรบางอย่างกำลังคืบคลานมาหาเธอและลูก พวกเขาเขวี้ยงปาสิ่งของจากชั้นบนของบ้าน
เธอได้แต่เหลียวหลังไปดูคนในหมู่บ้านที่เปลี่ยนสภาพไม่ต่างจากแม่ที่กัดพ่อก็ได้แต่ตัดใจพาลูกชายออกวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไร้ทิศทางจนกระทั่งกลับมาที่บ้านของตัวเองอีกหน ลูกชายของเธอจึงลองเสี่ยงเรียกพี่ชายข้างบ้าน โชคดีที่เฉินเฟิงยอมเปิดประตูให้เข้าไป ยินดีให้พวกเธอได้อาศัยอยู่ด้วยในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน อีกทั้งยังออกปากแบ่งอาหารให้อย่างใจกว้าง
“แม่ครับ” เด็กชายดลซุกซบลงกับอกแม่ พอรู้ตัวว่าปลอดภัยดีแล้ว ความกลัวไร้ที่มาพาให้ร่างเล็กสั่นสะท้านจนคนเป็นแม่ต้องกอดปลอบไว้แนบอก
“ไม่ต้องกลัวนะครับ คนเก่งของแม่”
“ถ้านอนลืมตามองเพดานไปเรื่อย ๆ อาจจะหลับก็ได้นะครับ” เฉินเฟิงแนะนำ ร่างกายอาจชัตดาวน์ไปอย่างไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำเพราะความเพลีย
เป็นเด็กชายดลที่นอนกอดแม่หลับไปก่อนเป็นคนแรก ตามมาคือดารินีที่เพลียจากการวิ่งหนีมาค่อนคืน และคนสุดท้ายคือเจ้าของบ้านที่นอนลืมตามองเพดาน หลังมั่นใจว่านอกบ้านไม่มีเสียงใดรบกวนอีกจึงปิดเปลือกตาลงบ้าง แล้วหมดสติไปอย่างรวดเร็วจากภาวะตึงเครียดสะสม
เสียงนกร้องในยามเช้าและเสียงไก่ขันมักเป็นเสียงประจำที่หาก ครอาศัยอยู่ชนบทจะได้ยินจนเคยชิน แต่เช้าวันนี้กลับแตกต่างออกไป
กระต๊าก ๆ ๆ
เสียงไก่ที่ออกมาทำงานอย่างขยันขันแข็งทุกเช้ากลับถูกผู้เลี้ยงของมันจับกินอย่างเลือดเย็น พาลให้เจ้าสัตว์มีปีกตัวอื่นกระพือปีกวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง และเสียงร้องนี้ก็ทำให้คนที่ยังมีสติอยู่ต่างพากันหลบลี้หนีหายเข้าบ้านไม่กล้าโผล่หน้าออกมาดูลาดเลาอีก
ช่างเป็นเช้าที่ดูผิดแผกไปจากปกติสุขจนขนหัวลุก
“แม่” เด็กชายดลเบียดตัวเข้าหาแม่ การที่ต้องตื่นมาเจออะไรแบบนี้ ช่างเป็นเช้าที่น่าหวาดหวั่นเหลือเกิน
“แม่อยู่นี่ครับ” หญิงสาวกอดปลอบลูกชายไว้ มองไปทางชายหนุ่มเจ้าของบ้านก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แถมยังดูเหมือนกำลังทรมาน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึมออกมาตามกรอบหน้า คิ้วเรียวขมวดเป็นปม พอนำหลังมือไปอังหน้าผากก็พบว่าอีกฝ่ายมีอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ
“เดี๋ยวแม่ไปหาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดพี่เฟิงก่อนนะครับ” เธอพยายามลองปลุกชายหนุ่มดูแล้วแต่ทำอย่างไรก็ไม่ตื่น จึงไม่สามารถป้อนยาลดไข้ให้กินได้ จะให้ป้อนด้วยปากเหมือนละครก็กลัวยาจะลงหลอดลมแทนที่จะเป็นหลอดอาหาร จึงได้แต่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ก่อนเท่านั้น
“พี่เฟิงเป็นอะไรครับแม่” เด็กชายยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากพี่ชายเลียนแบบแม่
“คงจะไม่สบายจ้ะ” ดาริณีใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดตามกรอบหน้าและลำคอ
“ไหนน้องดลช่วยแกะกระดุมพี่เฟิงให้คุณแม่ทีครับ” เด็กน้อยทำตามอย่างเชื่อฟัง
โครก…
หลังเปลี่ยนน้ำไปเกือบสามกะละมัง ร่างกายร้อนผ่าวของชายหนุ่มจึงพอบรรเทาอาการลงได้บ้าง พอเห็นคนเป็นแม่มือว่าง ท้องน้อย ๆ ของเด็กชายก็ส่งเสียงโครกครากร้องหาอาหารต่อ
ดาริณีเองก็หิวไม่ต่างกันจึงได้แต่ขอเฉินเฟิงที่ยังไม่ได้สติว่าจะเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้พวกเราทุกคน และจะขอทำงานชดใช้ค่าอาหารให้ในภายหลัง
หญิงสาวให้ลูกชายเฝ้าเจ้าของบ้านไว้ ส่วนตัวเองก็เข้าครัวมาดูว่ามีอะไรที่พอจะนำมาทำเป็นอาหารเช้าได้บ้าง ดีที่ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาจากจ่ายตลาดเมื่อวาน ไฟฟ้าเองก็ยังคงใช้ได้ ในตู้เย็นจึงมีทั้งของสดและผักเต็มไปหมด เธอเลือกทำข้าวผัดหมูโดยพยายามใช้วัตถุดิบให้น้อยที่สุดเพราะไม่รู้ว่าอีกกี่วันถึงจะสามารถออกไปนอกบ้านได้ หากกินอาหารที่มีจนหมดคงอยู่ได้ไม่นาน
...
เฉินเฟิงหมดสติไปเกือบสามวัน พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปที่ตรงไหน
“พี่เฟิงฟื้นแล้ว!” เด็กชายดลอาสาเฝ้าพี่ชายทุกครั้งที่ดาริณีออกไปรดน้ำผักหลังบ้านรีบวิ่งไปเรียกแม่ทันที
“อย่าเสียงดัง เดี๋ยวพวกซอมบี้ก็มาเกาะรั้วอีกหรอก” สามวันที่ผ่านมามีชาวบ้านใจกล้าออกมาจัดการกับพวกศพเดินได้นี้บ้างแต่มันก็ยังไม่หมดเสียที เป็นต้องได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากที่ไหนสักที่อยู่เสมอ เธอและลูกชายจึงยิ่งขนของมาอุดรูโหว่อยู่ตลอด ทั้งนอกบ้านและในบ้าน
พอเข้ามาก็เห็นชายหนุ่มกำลังยันตัวลุกขึ้นพิงโซฟา
“รู้สึกยังไงบ้าง” ดาริณีวางมือลงบนหน้าผากเด็กหนุ่ม อุณหภูมิที่ร้อนมาตลอดสามวันลดลงอย่างน่าประหลาด
“หิวสุด ๆ ไปเลยครับ” ชายหนุ่มตอบ แอบเบ้หน้าเพราะกลิ่นปากที่เกินบรรยาย
“เดี๋ยวพี่ไปทำกับข้าวให้ ไปอาบน้ำแปรงฟันเถอะ อาเฟิงหมดสติไปตั้งสามวันแน่ะ รู้ไหม”
“สามวัน!” ทำไมเขาแค่รู้สึกเหมือนหลับลึกไปตื่นหนึ่งเท่านั้น
“คุยแต่เรื่องซีรีส์ไม่ก็พวกหนังฆาตกรรมสยองขวัญที่เข้าฉายก่อนวันสิ้นโลก แถมเป็นพวกสายโซเชียลเหมือนกันก็เลยค่อนข้างมีเรื่องคุยเยอะ” ผิดกับเขาที่ชอบดูพวกสตรีมเมอร์หรือไม่ก็เล่นเกมออนไลน์มากกว่า จึงไม่ค่อยเข้าใจคำสแลงที่มีความหมายยาก ๆ ที่ทั้งสองคนใช้พูดคุยตลอดการเดินทาง“ก็ทำตัวสมกับเป็นวัยรุ่นดี” โจเซฟไม่ได้ออกความเห็นหากทั้งสองคนจะสนิทกัน เหมือนไอซ์จะปรับปรุงทัศนคติและความคิดของตัวเองได้บ้างแล้ว ส่วนเลวี่ถึงจะมีทีโอที่เคยเป็นรูมเมตอยู่ในกลุ่มด้วย แต่เพราะความรู้สึกที่มีให้กันนั้นเป็นไปในลักษณะของการชอบพอ ย่อมต้องมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับอีกฝ่ายได้ หากมีคนให้ปรับทุกข์เรื่องส่วนตัวหรือแม้แต่เรื่องของทีโอก็คงจะดีไม่น้อย“ก็ไม่ได้ว่าอะไร…” ปากบอกไม่ว่าอะไร แต่น้ำเสียงกลับเบาลง ทั้งยังก้มหน้า ใช้เท้าเขี่ยหิมะเล่นราวกับเด็กน้อย ที่ถูกเพื่อนหยิบของเล่นที่ตนถูกใจไปแล้วทำอะไรไม่ได้“อะไรกัน เหงาเหรอเจ้าหนูทีโอ” โจเซฟแกล้งแหย่“ไม่ได้เหงาสักหน่อย หมอนั่นมีเพื่อนเพิ่มก็ดีแล้ว จะได้บ่นผมน้อยลง” คนปากแข็งยังคงง้างเท่าไรก็ง้างลำบากอยู่วันยังค่ำ แม้จะเริ่มสำรวจท่าทีของเลวี่มากขึ้น แต่ความไม่กล้าที่บ
พวกเขาเลือกที่จะจอดรถห่างจากหมู่บ้านครูเมตตาไปประมาณ 3 กิโลเมตร ให้พ้นระยะการได้ยินของมนุษย์กลายพันธุ์ พอเช็กว่าไม่มีคนหรือสัตว์ประหลาดอยู่ในละแวกนี้ถึงค่อยยอมให้ไอซ์ใช้พลังนำปลานกกระจอกออกมาจากมิติ จากนั้นดาริณีก็นำเชือกท้ายรถมาผูกปลาทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วเดินลากมันไปยังทางเข้าหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียว คนที่เหลือก็ช่วยกันกรุยทางไม่ให้หญิงสาวเดินลำบากวิทย์ตกใจแทบตายเมื่อเปิดประตูมาแล้วเจอสมาชิกในทีมของโจเซฟลากสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ติดมือกลับมาด้วย หลังจากพิจารณากันอยู่ครู่หนึ่งวิทย์ก็ขอให้ลากปลาพวกนี้ไปวางไว้ที่สนามหญ้าหน้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความใหญ่โตใกล้เคียงกับรถบรรทุกขนาดเล็กของปลาบินทั้งสองตัว ย่อมดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ในบ้านได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ก็พยายามมาด้อม ๆ มอง ๆ เผื่อจะได้รับส่วนแบ่งมาสักคำสองคำเช่นกันเนื่องจากคนในค่ายของวิทย์นั้นมีเพิ่มมาพอสมควร อีกทั้งเด็กน้อยทั้งหลายก็ยังอยู่ในวัยกำลังโต ปลา 1 ตัวโดยไม่ตัดแบ่งสักส่วนจึงตกเป็นของหมู่บ้านครูเมตตาไปโดยปริยายจากนั้นก็ขอให้ไอซ์อยู่ที่บ้านครูเมตตาก่อนสักวันสองวัน พวกเขายังมีธุระที่ต้องไปต่อ ซึ่งไอซ์ก็ไม่ได
ช่วงที่มีโรคระบาดนอกจากเชื้อไวรัสแล้ว สิ่งแปลกปลอมที่เรารับเข้ามาในร่างกายก็มีแค่วัคซีนที่รัฐบาลแจกจ่ายเท่านั้น“ถ้าใช่จริงเขาก็คงอยากจะยกระดับมนุษย์ให้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งล่ะมั้ง” โจเซฟไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่มีคนบางกลุ่มคิดว่าพวกเขาเป็นหนูทดลองในกรงสีน้ำเงินใบนี้ “หรือตีความอีกอย่าง… คงมีคนหวังให้โลกวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่มาตั้งแต่แรก”“มีแต่เรื่องน่าปวดหัวทั้งนั้นเลย” เฉินเฟิงยกมือปิดตาแหงนคอพิงกับพนักโซฟา รู้สึกอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ วันสิ้นโลกที่เขากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว“เหมือนการรีเซตโลกใหม่” ทำลายระบบของมนุษย์ให้สิ้นซาก ให้สัตว์กลับมามีอำนาจปกครองถิ่นของตนอย่างที่เคยเป็นเมื่อครั้งอดีตกาล แบ่งพื้นที่อยู่อาศัยกันให้พอดีกับความต้องการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะคุ้มได้ก่อนทีจะมองหาทรัพยากรชิ้นใหม่“...” สิงหาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาย่อมเข้าใจดีว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นสำคัญมากแค่ไหน ปัญหาก่อนหน้านี้อาจไม่ได้ส่งผลกระทบในยุคสมัยของพวกเขามากนัก แต่คนที่จะรับกรรมก็คือเด็กรุ่นหลังที่ถูกผู้ใหญ่ถลุงทรัพยากรไปอย่างละโมบโลภมากการที่โลกร้
“ตอนที่ผมยังเด็กและเป็นแค่นักหัดวิจัยโนเนมเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน มีโครงการหนึ่งที่โด่งดังมากในวงการนักวิทยาศาสตร์ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนโดยเฉพาะ... พวกคุณรู้จักคำว่าโลกร้อนใช่ไหมครับ” สิงหาหันมาถามแขกก่อน เขาเคยได้ยินว่าชาวบ้านบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกร้อนคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าการกระทำของตนเองนั้นทำร้ายโลกที่เราอาศัยอยู่ไปมากน้อยแค่ไหน“เคยได้ยินสิ” มีการรณรงค์อยู่ทั่วทุกที่ ขอแค่เป็นคนที่อยู่ในโลกโซเชียลต้องมีผ่านตาสักครั้งแน่นอน“เพราะกิจกรรมในแต่ละวันของมนุษย์นั้นส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อโลกเพิ่มมากขึ้นในระดับที่เรียกได้ว่ามหาศาล พวกคุณคงเคยได้ยินเรื่องธารน้ำแข็งขั้วโลกที่ละลาย ทำให้แบคทีเรียที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายล้านปีก่อนกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งใช่ไหมครับ นั่นนับเป็นข่าวใหญ่ที่สร้างความตระหนกให้กับพวกเรานักวิจัยเป็นอย่างมากโครงการที่กล่าวมาจึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับอนาคต ผมไม่รู้รายละเอียดเชิงลึกมากนัก รู้แค่ว่าหลังจากที่มีการคัดนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งไปเข้าร่วมการประชุมที่ต่างประเทศ เมื่อพวกเขากลับมาก็ไม่ได้ออกมาเผยแพร่การประชุมก
หัวหน้าหน่วยหรือคนที่ทำคุณประโยชน์ให้กับค่ายพันธมิตรจะมีสวัสดิการที่ทางค่ายมอบให้แตกต่างกันไป อย่างสิงหาที่เป็นถึงระดับหัวหน้าก็ได้รับเสบียงอาหาร แต้มคะแนนรายเดือน การเข้าถึงข้อมูลสำคัญ การรักษาพยาบาล และบ้านประจำตำแหน่งสิงหาไม่ค่อยได้เข้ามาที่บ้านหลังนี้บ่อยนัก ภายในบ้านจึงมีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้น เพราะเจ้าของบ้านมักจะหมกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้างานวิจัยมากกว่า เมื่อต้องต้อนรับแขกคนสำคัญ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะจึงต้องผันตัวมาเป็นพ่อบ้านเต็มรูปแบบ“ชาล็อต ขอผ้าขนหนูแห้งหน่อย” ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการถูพื้นด้วยน้ำอุ่น แต่เขาดันถอยหลังไปชนถังน้ำจนมันหกราดไปทั้งบ้านออด~“อ๊ะ มากันแล้ว” สิงหาสะดุ้งเฮือก รีบลุกขึ้นแล้วก้าวไปที่ประตูโดยลืมไปว่าพื้นในบ้านยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ และทันทีที่สลิปเปอร์สำหรับใส่ในบ้านเหยียบของเหลวลงไป…พรืด! ตุบมีแต่เสียงก็เดาได้ว่าเด็กหนุ่มได้ลื่นก้นกระแทกพื้นไปแล้วเรียบร้อย“ขอโทษครับ ให้แขกเห็นภาพไม่น่าดูซะแล้ว” สิงหาในสภาพเปียกโชกไปทั้งตัวเดินออกมาเปิดประตูรั้ว ฝ่ามือข้างหนึ่งลูบสะโพกตัวเองป้อย ๆ ผายมือให้แขกทั้งสามเดินเข้ามาในตัวบ้าน
“เดี๋ยวผมลองไปถามท่านนายพลเอง” โจเซฟว่าจบก็เตรียมจะเดินไปที่หน่วยทหาร ไอซ์จึงรีบวิ่งตามไปติด ๆ“แน่ใจนะว่าดูแลไหว” นิโคลัสหันไปมองทีโอที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา“ก็ดูเหมือนจะสำนึกได้บ้างแล้ว คงไม่มาก่อเรื่องหรอกมั้ง” ทีโอยักไหล่“คิดยังไงถึงจะพาเขาไปด้วย” ปกติเห็นเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน มาวันนี้กลับเสนอให้ไปเยี่ยมบ้านกันเสียอย่างนั้น“ปลาบินสองตัวเลยนะพี่นิค แบ่งให้สามหมู่บ้านได้สบายเลย” แถมยังอยู่ในสภาพสดใหม่อีกต่างหาก“แต่นั่นเป็นผู้มีพลังมิติที่มีเพียงคนเดียวในค่ายนะ” เจ้ากระต่ายไม่คิดว่าท่านนายพลจะยอมให้หลานชายออกไปด้านนอกอีก“ก็ไม่แน่นะครับ ตอนนี้ขอแค่เป็นหัวหน้าเราไปพูด ผมคิดว่าท่านนายพลต้องฟัง ระหว่างที่พวกเราไปบ้านบนภูเขาก็ให้ไอซ์พักอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไปก่อน” ไม่ได้มีความคิดจะเปิดเผยเรื่องเส้นทางลับแลกเปลี่ยนสิ่งของหรือที่ตั้งของหมู่บ้านในสมาพันธ์ผู้รอดชีวิต“เนื้อปลาหลังรถเราก็มีพอแค่กินกันในบ้านบนภูเขา แต่ถ้ามีเยอะ ๆ คงพอแบ่งให้กับอีกสามหมู่บ้านได้แน่ หน้าหนาวแบบนี้อาหารยิ่งมีเยอะเท่าไรก็ยิ่งดี” เขาอยากให้เด็ก ๆ ที่บ้านรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้กินเนื้ออย่างเต็มปากเต็มคำเหม