 Masuk
Masuk“ก็ใช่น่ะสิ เอาล่ะ ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวพี่ไปทำกับข้าวให้” ดาริณีลุกเดินเข้าครัว มุมปากยกยิ้มสนุก...รอให้เจ้าตัวเห็นเองจะดีกว่า
เฉินเฟิงไม่ทันเห็นรอยยิ้มประหลาดของพี่สาวข้างบ้านจึงเดินเข้าไปในห้องนอนตัวเอง คว้าเสื้อผ้าในตู้แล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำ แต่พอจะถอดเสื้อผ้าออกจากหัวกลับรู้สึกว่าส่วนคอเสื้อไปเกี่ยวอะไรสักอย่างบนศีรษะ
อะไร?
ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับ
“?!!”
ตึง ๆ
“แม่ พี่เฟิงต้องเห็นแล้วแน่เลย” เสียงดังตึงตังออกมาจากห้องนอนของชายหนุ่ม
“พี่เขาคงตกใจน่ะ ตอนเราเห็นครั้งแรกก็ตกใจเนอะ” หญิงสาวยิ้มขัน เชื่อว่าเจ้าตัวคงตกใจจนช็อกไปแล้ว
ไม่ผิดจากที่ดาริณีพูด เฉินเฟิงตกใจมากจริง ๆ ถึงกับต้องวิ่งไปเกาะกระจกเพื่อดูไอ้สิ่งที่มันติดอยู่บนหัวเขา!
ใช่! บนหัวเขามีบางอย่างโผล่ขึ้นมาไม่ใช่มีแค่เส้นผมเพียงอย่างเดียว
“เฮ้ย” แล้วทำไมผมของเขากลายเป็นสีขาว!
“นี่มันอะไรกันวะ!” ไหนจะดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ที่เตะตาเขาตั้งแต่แรกเห็นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมีตั้งแต่เกิด เพราะบนศีรษะของเขากลับมีบางสิ่งบางอย่างงอกขึ้นมาเพิ่ม นั่นคือหูยาวสีขาวเหมือนกระต่ายต่างหากที่ทำให้เขาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
ใช่แล้วมันคือ หู-กระ-ต่าย
เชี่ย!
เขาไม่ใช่โฮโมเซเปียน[1]แล้วเหรอวะ?!
“พี่ดา” เฉินเฟิงเดินใจลอยออกมาจากห้อง สภาพหูตั้งสีขาวของเขาเรียกรอยยิ้มให้กับสองแม่ลูกได้เป็นอย่างดี “เกิดอะไรขึ้นกับผมเหรอครับ” เขาแค่หลับไปใช่ไหม?
หรือสองแม่ลูกแอบแกล้งเขา?
“ออกมาสภาพนี้พี่เขินนะ ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถอะ” เฉินเฟิงเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าออกมาทั้งที่เพิ่งถอดเสื้อไป รีบหมุนตัวกลับเข้าห้องไปอาบน้ำอย่างรวดเร็ว ทำใจไม่มองหูสีขาวที่กระดิกไปมา
คือจริง ๆ ก็สนใจแต่ไม่กล้ามอง
เฉินเฟิงใช้เวลาไม่นานจัดการตัวเอง ก่อนออกจากห้องก็ไม่ลืมหยิบฮู้ดสีเข้มแบบสวมมาใส่ทับไปอีกหนึ่งชั้นปกปิดใบหูกับผมสีขาวสว่าง ส่วนสีตา... ตอนนี้ยังอยู่ในบ้าน หากมีเหตุให้ต้องออกไปข้างนอกเขาคงต้องหยิบแว่นกันแดดมาใส่
“พี่เฟิงงง” เด็กชายดลเรียกพี่ชายเสียงดัง
“น้องดล แม่บอกให้เบาเสียงลงไงครับ” ดาริณีเตือน
“ขอโทษครับ” เด็กน้อยก้มหน้าลง เขาแค่ตื่นเต้นนิดเดียวเอง ก็พี่ชายเปลี่ยนร่างได้นี่นา
“เอ่อ…” เฉินเฟิงไม่รู้ควรเริ่มพูดจากตรงไหนก่อน
“กินข้าวก่อนเถอะ พี่ว่าเราคงหิวแล้ว” หญิงสาวรีบเอาอาหารขึ้นโต๊ะ เน้นหนักไปที่ผักและอาหารย่อยง่าย คิดว่าชายหนุ่มนอนหลับไปนาน ควรกินอาหารอ่อน ๆ ก่อน
“หิวมากจริง ๆ ครับ” เฉินเฟิงเกาแก้มยอมรับ
“อี๋ ผัก” เด็กชายดลคายแครอทออกมาจากปาก อุตส่าห์เขี่ยไว้ข้างจานหลายชิ้นแล้วนะ ทำไมยังมีหลงมาอยู่ในปากได้
“น้องดล กินเข้าไปเถอะลูก หลังจากนี้หนูจะเลือกกินไม่ได้แล้วนะครับ” ดาริณีใช้ช้อนเขี่ยแครอทกองโตของเด็กชายกลับเข้าไปในจาน “แม่กับพี่เฉินเฟิงออกไปซื้อหมูหรือไก่ไม่ได้แล้วนะ ถ้าออกไปต้องโดนซอมบี้พวกนั้นกัดแน่” พร้อมให้เหตุผล
หูก็ฟังแม่ ตาก็มองแครอทที่ไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้เกลียด มือเล็กกำช้อนในมือแน่นก่อนจะยอมจิ้มไปที่แครอทแล้วเอาเข้าปาก ใบหน้าเล็กยับยู่ยี่จากสัมผัสของผักสีส้ม
ฟากเฉินเฟิงก็กำส้อมในมือแน่นเช่นกัน ไม่ใช่ไม่ชอบกินแต่ต้องอดใจไม่ให้ยื่นมือไปจิ้มของเด็กชายมากินแทน ส่วนผักในจานเขาที่มีมากกว่าทุกคนหมดไปตั้งนานแล้ว ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่าผักและพืชตระกูลหัวอร่อยมากกว่าปกติ หรือนี่จะเป็นผลจากที่เขามีหูกระต่ายอยู่บนศีรษะเพิ่มขึ้นมา
ด้วยไม่รู้สถานการณ์ภายนอกทุกคนจึงต้องกินอาหารบนโต๊ะให้หมด หากมีเหลือก็เก็บไว้กินในมื้อถัดไป
“ทำไมผมถึงอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะครับ” พออิ่มท้องกันก็พากันมานั่งยังห้องรับแขก ชายหนุ่มจึงเปิดปากถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนเขาหมดสติไป
“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน หลังจากเช้าวันแรกพี่ตื่นขึ้นมาเจออาเฟิงนอนหมดสติ ทั้งยังตัวร้อนไข้ขึ้นสูง…” ดาริณีเริ่มเล่าให้คุณเจ้าของบ้านฟัง
เฉินเฟิงนั่งฟังไปก็ลอบเหงื่อตกไป สรุปได้ใจความง่าย ๆ ว่าเขาไข้ขึ้นอยู่สามวัน พอเข้าวันที่สองสีผมก็เริ่มอ่อนจางลงรวมถึงหูกระต่ายที่งอกออกมา ส่วนดวงตาสีแดง ดาริณีและลูกชายก็เพิ่งเห็นหลังจากเขาลืมตา
“หรือจะเป็นผลข้างเคียงจากเศษอุกาบาต” เหมือนนิยายแฟนตาซีที่เธอเคยอ่าน
“ก็อาจจะมีส่วนครับ” ไม่อย่างนั้นเรื่องพิลึกกึกกือนี้คงไม่เกิดขึ้น แถมได้ข่าวว่ามีบางส่วนตกไม่ไกลจากที่นี่ด้วย แต่มีหน่วยงานวิทยาศาสตร์เก็บไปในวันแรก ๆ พวกชาวบ้านบางคนก็รีบเดินทางไปตั้งใจจะไปดูเลขเด็ด
“แต่พอเป็นแบบนี้แล้วอาเฟิงน่ารักมากเลยน้าาา” ดาริณีแกล้งหยอก ภาพรวมของเฉินเฟิงคือชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสะอาดสะอ้านน่าคบหา ไม่ได้เด่นสะดุดตาในฝูงชนแต่มองได้ไม่เบื่อ
มาตอนนี้ราวกับโครงหน้าได้รับการเปลี่ยนแปลง ดวงตาก็โตขึ้น ผิวก็ขาวขึ้นมากกว่าเดิมดูนุ่มนิ่มเหมือนกับน้ำนม ไหนจะผมสีขาวกับตาสีแดงอีก ถ้าไม่มีหูกระต่ายคงให้ความรู้สึกว่าเหมือนแวมไพร์ในภาพยนตร์ชื่อดังของต่างประเทศ
เป็นกระต่ายสูงโปร่งเกือบ 175 เซนติเมตร
[1] โฮโมเซเปียน (Homo Sapiens) สปีชีส์ของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

“แม่เองก็อยากรู้เหมือนกัน” กิ่งแก้วพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้สถานการณ์กลับมาสงบสุขลงแล้ว แต่ลูกชายเธอก็ยังคงขลุกตัวอยู่กับการฝึกฝน บางวันก็วิ่งโร่ไปล่าหนูกลายพันธุ์ถึงนิคมอุตสาหกรรม หากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็คงช่วยปรามได้บ้าง“ผมออกไปเดินเล่นดีกว่า” ชายหนุ่มค่อยๆ กระถดตัวไปทางประตูบ้าน ก่อนจะวิ่งหนีหายไปด้วยความรวดเร็ว“ทีอย่างนี้ล่ะ เร็วเชียว” กิ่งแก้วส่ายหน้า“ฮ่าๆ อย่าไปบังคับน้องเลยครับ ถึงเวลาจะมีเดี๋ยวก็มีเองแหละ” เจ้ากระต่ายหัวเราะร่วนกับปฏิกิริยาของกรที่ดูเหมือนจะยังไม่อยากมีแฟน“หรือไม่ก็อาจจะกำลังมีคนคุยๆ อยู่แต่ไม่กล้าเปิดตัวหรือเปล่า” ต่างกับนิโคลัสที่มองอีกมุมแก้มแดงๆ นั่นหลบไม่พ้นสายตาของเขาหรอก“เอ๊ะ ลูกคนนี้ แอบมีแฟนแล้วไม่บอกแม่เหรอ กิ่งไปก่อนนะยาย” หันไปร่ำลาคุณยายแล้วถกผ้าถุงออกจากบ้านมองหาเจ้าลูกตัวแสบทันที“พี่นิคไปรู้อะไรมาครับเนี่ย” เฉินเฟิงเชื่อว่าคนรักไม่มีทางพูดไปเรื่อยเปื่อยแน่“รอดูไปก่อน ไม่แน่ว่าหลังเรากลับมาจากไปเยี่ยมบ้านพี่ กรอาจกล้าเปิดตัวกับแม่ก็ได้” คุณหมอหมีไม่อยากเฉลย เผื่อเจ้าตัวยังไม่พร้อมส่วนเมื่อสักครู่ก็ถือว่าสร้างสีสันให้คนป่วย ดูสิ คุณยายร้านขา
“น่องไก่นั่นผมมองไว้นานแล้วนะพี่ อย่าแย่งดิ” ทีโอใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ที่หงส์เตรียมตักเข้าจานของตน“อะไร อย่ามาโมเมนะ” หงส์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ถึงสงครามครั้งนี้จะไม่มีมังคุดเข้าร่วมกลั่นแกล้งด้วย เธอก็ไม่คิดจะรามือ เวลาเห็นทีโอทำหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วตลกดีเธอเห็นแล้วว่าทีโอจ้องน่องไก่ชิ้นนี้ตาเป็นมันนานแล้ว และเธอกับตุ่นเองก็มีในจานอยู่คนละน่อง เจ้าเด็กนี่เลยอนุมานไปว่าชิ้นที่ยังลอยเท้งเต้งนั้นจะต้องตกเป็นของตนเอง“พี่หงส์ พี่อย่ามาแกล้งผม ในจานพี่ก็ยังมีน่องไก่ ทำไมไม่แบ่งให้น้องให้นุ่ง” ทีโองอแงกระเง้ากระงอดทั้งที่มือยังใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ไว้ไม่ผละไปไหน“เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” โจเซฟส่ายศีรษะเอือมระอา ตั้งแต่รวมกลุ่มกันมา สองคนนี้ต้องมีปากเสียงตอนกินอาหารได้ทุกมื้อ“เนื้อส่วนอื่นของไก่ก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ” เลวี่ดุคนรักเสียงจริงจังทั้งที่มืออีกข้างก็กำลังถือน่องไก่กัดเข้าปากคำใหญ่“คนที่ได้กินน่องไก่ชิ้นที่สามแล้วกล้าตักเตือนกูเหรอ ฮะ?” ทีโอเค้นเสียงลอดไรฟัน เพราะน่องไก่ชิ้นแรกถูกคนรักแย่งไปจากช้อน เขาถึงต้องเล็งชิ้นใหม่ไม่ใช่หรือไง“...” เลวี่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้“ท
พูดคุยอัปเดตสภาพบ้านแต่ละหลังอีกเล็กน้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของส่วนตัวบ้านใครบ้านมัน พลายวารีกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดนำพี่ชายไปยังโรงนอนที่ถูกปรับปรุงใหม่“โห บ้านดูเป็นบ้านมาก” เฉินเฟิงเปิดประตูเข้ามาพบกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโซฟา โต๊ะรับแขก หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่“เกรงใจพี่พิมแย่” นิโคลัสลูบเนื้อไม้เรียบสนิท มันถูกขัดจนมันและลงน้ำยาป้องกันแมลงไว้เรียบร้อย“ไว้เราออกไปเยี่ยมแม่ของพี่นิคก็ขนของฝากกลับมาให้มากหน่อยดีไหมครับ” เฉินเฟิงเสนอ“เป็นความคิดที่ดี” คุณหมอหมีเห็นด้วย อย่างน้อยก็คงได้พวกเครื่องนุ่งห่มสวยๆ กลับมาให้เหล่าหญิงสาวได้เลือกชม ยิ่งหน้าหนาวในประเทศ T ตอนนี้หนาวไปถึงกระดูก ไปประเทศ A น่าจะได้เสื้อกันหนาวคุณภาพดีมาเพิ่ม“เฮ้อ… ในที่สุดก็ได้กลับบ้านสักที” เฉินเฟิงวางกระเป๋าไว้มุมห้องแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง “หือ พี่พิมเปลี่ยนฟูกที่นอนให้ด้วย” จำได้ว่าก่อนไปทำภารกิจ ที่นอนไม่ได้นิ่มขนาดนี้“ไว้ทำเตาผิงไว้ในห้องด้วยดีกว่า” ฤดูหนาวที่ผ่านมาต้องพึ่งพาพลังพิเศษระหว่างการนอนหลับ แต่ถ้ามีเตาผิงอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าห้องจะไม่อบอุ่น“หวา เหมือนบ้
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ”แอ๊ว!ทันทีที่รถจอดบริเวณตีนภูเขาก็พบพิมพาและพลายวารียืนรออยู่“พี่พิม~ คิดถึงจังเลยค่ะ” กวางสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับอุ้มเด็กหญิงพลอยใสตามลงมา“ปลอดภัยกันสินะคะ” พิมพาโล่งอกเมื่อกวาดตามองคร่าวๆ แล้วไม่พบว่ามีใครได้รับบาดเจ็บกลับมา “น้องพลอยไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหมคะ”“หนูเป็นเด็กดี ฮึก เป็นเด็กดีจริงๆ นะ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีด้วย ฮือๆ” เด็กหญิงโผเข้ากอดมารดาแน่น พลอยใสไม่เคยห่างจากแม่นานขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะตนเลือกที่จะอาสาออกไปสู้กับซอมบี้เองจึงไม่อาจงอแงร้องไห้คิดถึงบ้านได้เหมือนเด็กทั่วไปมาวันนี้ได้กอดคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันก็พาให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย“จ้ะ แม่รู้แล้ว แม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆ เลยนะ” พิมพาย่อตัวช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียนใส ใจจริงเธอไม่อยากให้ลูกสาวออกไปเผชิญกับอันตรายเลย แต่เพราะเชื่อว่าการได้ออกไปในยามที่มีสมาชิกคนอื่นๆ ไปด้วยย่อมปลอดภัยกว่า จึงวางใจให้ลูกสาวออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ส่วนเธอก็จะปกป้องบ้านไว้รอต้อนรับทุกคน“แล้วสงคราม…” พิมพาผละจากลูกสาวมามองหน้าสมาชิกคนอื่นๆ “จบแล้วจริงๆ ใช่ไหมคะ”เธออยากได้รับคำยืนยันต่อหน้ามากกว่าคำ
กลุ่มทหารรับจ้างไม่ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการขับรถที่นำมาด้วยกลับไปจอดไว้ยังตีนภูเขา และอีกเหตุผลก็เพราะมังคุดตัวโตขึ้นเล็กน้อย บริเวณท้องของมันไม่สามารถผ่านประตูทางเข้าได้ ทุกคนจึงลงความเห็นให้เดินทางโดยใช้ถนนเส้นหลักแทน“ต้องลดความอ้วนแล้วหรือเปล่านะ” เฉินเฟิงมองพุงกลมของมังคุดด้วยความหนักใจ ช่วงบนเดินผ่านทางเข้าได้ไม่มีปัญหา แต่พอถึงช่วงกลางลำตัวกลับเข้าไม่ได้ เขาเลี้ยงเจ้าตัวนี้ดีเกินไปหรือเปล่านะ?กี๊ซ (มังคุดไม่อ้วนนะ)แร็กคูนที่ถูกแปะป้ายไว้บนหน้าผากว่าอ้วนรีบแย้ง ถ้าให้มันงดอาหาร มันยอมอยู่ที่ค่ายพันธมิตรต่อยังดีกว่า… แล้วค่อยกลับบ้านตอนท้องอิ่ม“ไม่อ้วนตรงไหนกันฮึ” เฉินเฟิงจ้องมองพุงกลม หลักฐานสำคัญที่จำเลยดิ้นไม่หลุดกี๊ซ (นี่เป็นพลังงานสำรองต่างหาก)เจ้าตัวโตแอ่นพุงไม่ยอมรับว่าหน้าท้องส่วนนี้เป็นไขมันที่เกิดจากการกินล้วนๆ“เอาเถอะ จะยอมเชื่อก็ได้” ในเมื่อเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ เจ้ากระต่ายก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลดพุงเด็กดื้อนิโคลัสยกยิ้มมุมปากมองคนรักกับเจ้าตัวโต้เถียงกันเรื่องน้ำหนักเกินมาตรฐานไปตลอดทาง กระทั่งใกล้ถึงหมู่บ้านด้วงส
“พวกนาย…” ผู้ถูกขนานนามว่าเทพเซียนเดินดินเกือบน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง ยังดีที่เก๊กขรึมฮึบไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจมีสักขีพยานนับแสนเห็นท่านเทพหลั่งน้ำตา“เจอแบบนี้เขินเลยนะคะเนี่ย” แก้มใสของดาริณีขึ้นสีแดงระเรื่อ ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เทียบกันแล้วเธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่อยากจะปกป้องลูกชายและเพื่อนพ้อง ไม่ได้มีใจคิดอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากมายถึงเพียงนั้นหนักเข้าหน่อยก็มีคนชูลังกระดาษที่มีชื่อของใครสักคนเขียนอยู่“อ๋า… มีชื่อของพี่ด้วย” เหมือนแฟนคลับไปตามดาราตามงานอีเวนต์เลย“วีรกรรมพี่ดาไม่ใช่ย่อยเลยนะคะ รับความรู้สึกอยากขอบคุณจากพวกเขาเถอะค่ะ” หงส์เอ่ยให้กำลังใจ ทั้งที่ไม่ได้เป็นทหารแต่ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้กับซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ทีมเสียสมดุลกลับกัน... หากขาดดาริณีไป สงครามอาจจบล่าช้ากว่าที่คิดก็เป็นได้ดาริณีเม้มปากขัดเขิน ใบหน้าสวยก้มมองพื้นไม่กล้าสบตาใคร กระทั่งโจเซฟกอบกุมมือเรียวไว้ เธอถึงเงยหน้ามองสบตากับสามีร่วมทุกข์ร่วมสุขแค่ได้เห็นสายตาที่บอกว่าภูมิใจที่มีเธออยู่เคียงข้าง ความมั่นใจที่หล่นหายไปก็พลันเอ่อล้นออกมากี๊ซ! (ขอบคุณทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ มั








