 LOGIN
LOGIN“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้เป็นทีมที่ไปเคลียร์โรงงานพวกนั้น” ชายหนุ่มผู้มีใบหูสุนัขบ่นออกมาเสียงดัง พวกเขาเดินทางออกจากฐานมาไกลมากแล้ว พูดบ่นไปก็มีแต่คนในทีมที่ได้ยิน สองมือถือปืนไม่ปล่อย
ปืนใหม่กระบอกนี้เขาเพิ่งใช้แต้มแลกมา
แต้มที่ต้องเก็บหอมรอมริบจากการทำภารกิจถึง 3 ภารกิจ
โคตรแพง!
“เก็บปืนไว้ด้านหลังเลย เกิดลั่นโป้งป้างขึ้นมาเดี๋ยวซวยกันหมด” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเขยิบถอยห่างออกมา บนศีรษะของเธอมีหูใบเล็กดูน่ารักรับกับเขาขนาดเล็ก
“เหอะ เธอจะมาเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายได้ยังไง”
“นิค นายคิดว่าไง ตุ่นกอดปืนไม่ปล่อยเลย” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ฟัง เธอจึงรีบหาพรรคพวกสนับสนุน
“อย่ามายุ่งกับฉันน่า” หมอประจำกลุ่มหันสายตาไปมองคู่รักที่ทะเลาะกันได้ทุกวันแต่ก็ไม่เลิกกันเสียทีด้วยสายตาเอือมระอา นัยน์ตาคมเหม่อมองออกไปนอกรถบรรทุก
“ถ้าจะจีบกันก็ช่วยเบาเสียงหน่อย” ชายที่ทำหน้าที่ขับรถควบตำแหน่งหัวหน้าทีมเบี่ยงหน้ามาบ่นตรงช่องหน้าต่าง เจ้าพวกนี้หวานกันไม่เกรงใจคนไร้คู่บ้างเลย
นอกจากเพื่อนร่วมทีมที่มีสารพัดหูสัตว์ก็คงมีแต่โจเซฟคนเดียวที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ก่อนเกิดวันสิ้นโลกเขาเป็นพลทหารที่ได้รับการฝึกฝนในหน่วยรบพิเศษ จึงสามารถรวบรวมกลุ่มคนที่แสนแปลกแยกแต่แข็งแกร่งจนปั้นให้เป็นทีมขึ้นมาได้
พื้นถนนคอนกรีตทำให้การเดินทางราบรื่นขึ้นมาก มีบ้างที่ต้องลงไปเคลียร์รถขวางถนนด้านล่างแต่ก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางล่าช้า อาจเป็นเพราะรถบรรทุกทหารคันนี้ใช้เส้นทางนอกเมืองจึงทำให้ไม่พบกับซอมบี้หรือกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ต้องการขอความช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าพวกเขาขับรถทหาร
“พี่โจ ดูยังไงคะว่าจีบกันอยู่ หมอนี่กำลังกวนประสาทหงส์ต่างหาก” หญิงสาวยื่นหน้าไปฟ้อง
“ไม่ต้องยื่นหน้าออกไปเลย” ชายหนุ่มคู่กรณีดึงแขนร่างบางให้กลับมานั่งที่เดิม
“ตุ่น” หงส์เรียกเสียงเขียว
“เออ ผัวชื่อตุ่น ทำไมชอบไปวอแวกับหัวหน้านัก ก็รู้ว่าตุ่นหึง” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียด แต่ในน้ำเสียงมีความสั่นเครือเล็กน้อยเพราะกำลังตัดพ้อ
“รู้หรอกน่าว่าสามีชื่อตุ่น ไม่ต้องหวงนะคะ ภรรยาแค่มองหัวหน้ากับนิคเป็นอาหารตาแค่นั้นเอง ในใจมีแต่ตุ่นคนเดียว หงส์รักตุ่นมากนะ” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วกรีดแผงอกล่ำ ๆ เป็นรูปหัวใจ ใช้เขาสั้นกุดกระทุ้งต้นแขนอีกเล็กน้อย
“ผมก็รักคุณ” จากนั้นบรรยากาศสีชมพูก็ลอยฟุ้งตลบอบอวลให้คนไร้คู่เหมือนได้รับอาหารหมาเป็นกระสอบ
“อีกสามสิบกิโลจะถึงนิคมอุตสาหกรรมแล้ว” ทีโอ หนุ่มน้อยผู้ทำหน้าตายเป็นนิจพูดขึ้น ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นมนุษย์ แต่เขาเป็นผู้มีพลังสายโลหะที่มีเพียงคนเดียวในค่าย น่าแปลกที่เขายอมมาร่วมทีมกับคนกลุ่มนี้
ทีมที่มีคนน้อยจนน่าตกใจ
ปกติหนึ่งทีมจะมีคนมากกว่า 10 คนเพื่อคอยช่วยเหลือกันในยามฉุกเฉิน แต่โจเซฟกลับยึดตามหลักสูตรเดิมที่ตนเรียนรู้มาจากหน่วยรบพิเศษและคิดว่ามันเข้าท่ากว่า
คนสุดท้ายที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ทีมนี้แบบงง ๆ ก็คือนิโคลัส นักเรียนแพทย์ทหารแลกเปลี่ยนจากประเทศ A
โชคร้ายที่ดันเกิดโรคระบาดนี่เสียก่อน การคมนาคมระหว่างประเทศก็เลยเป็นอัมพาตทำให้ไม่สามารถกลับประเทศได้ แต่หมอหนุ่มก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิดที่ต้องอยู่ประเทศ T ต่อ แถมเป็นคนเสนออีกว่าพวกเขาควรเป็นทหารรับจ้างมากกว่าเป็นกลุ่มทหารประจำค่าย รับแค่ภารกิจแลกแต้มหรือสิ่งของ ไม่รับใช้พวกกลุ่มคนมีอำนาจ
นิโคลัสเหม่อมองฝุ่นฟุ้งบนถนนนอกตัวเมือง พวกเขาใช้เส้นทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการผ่านตัวเมือง ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยเหลือผู้คน เพียงแต่ภารกิจของเขาคือการไปตรวจสอบนิคมอุตสาหกรรมว่ายังสามารถผลิตหรือมีวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ต่อค่ายหรือไม่
ซึ่งมันต้องมีแน่ล่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นฝั่งผลิตอย่างน้อยในโกดังก็ต้องมีพวกกระสอบแป้งหรือไม่ก็อาหารที่ผ่านการแปรรูปแล้วอยู่บ้าง เขาก็ได้แต่หวังว่าที่รออยู่จะเป็นคนในโรงงานที่ยังเป็นคนไม่ใช่ซอมบี้
“จะลงไปดูวันนี้เลยเหรออาเฟิง” ดาริณีคิดว่าชายหนุ่มควรพักฟื้นมากกว่านี้ นี่อะไร เมื่อสามวันก่อนเป็นลมหมดสติ พอฟื้นก็ลุกมาใช้พลังของตนจนเป็นลมไปอีก คราวนี้ยังบอกว่าจะออกไปที่นิคมอุตสาหกรรมอีกฝั่งของภูเขา “ให้พี่ไปด้วยไหม” เธอมั่นใจในพละกำลังอย่างมากเลยตอนนี้
“พี่อยู่ที่นี่ดีกว่าครับ ผมไม่รู้ว่าข้างล่างนี้จะมีซอมบี้มากน้อยแค่ไหน” ถ้าเป็นเขาคนเดียวคงวิ่งหนีทัน แต่ถ้าดาริณีไป เด็กชายดลก็ต้องไป
“แต่พี่เป็นห่วง”
“ผมวิ่งเร็วนะครับ พี่ก็เคยเห็นมาแล้ว” เฉินเฟิงยังคงยืนกรานว่าจะไปคนเดียว คุยกันกว่า 5 นาทีในที่สุดหญิงสาวก็ยอมให้ไปและสัญญาว่าจะดูแลบ้านอย่างดี ช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ก็จะไปขนหินตรงน้ำตกมาทำห้องใต้ดินให้แล้วเสร็จ เพื่อใช้เก็บถนอมอาหารในอนาคต
ตกลงกันได้เฉินเฟิงก็ออกเดินทางทันที เขานำอาหารติดตัวไปนิดหน่อยรวมกับพวกเมล็ดพืช ถ้าหากไม่มีอะไรกินก็ยังเร่งเจ้าพวกนี้ให้โต กินประทังชีวิตไปพลาง ๆ ได้
รู้สึกว่าต้องไปทางนี้
“เอ๊ะ!” หมายความว่ายังไง หรือว่าจะเป็น...
ลางสังหรณ์เหรอ?
“เหมือนที่คนเฒ่าคนแก่เขาชอบพูดกันเลยแฮะ” ว่าในยามคับขันให้เชื่อลางสังหรณ์ของตัวเองจะดีที่สุด สถานการณ์นี้เรียกว่าฉุกเฉินได้สินะ
“งั้นก็ไปทางนี้” เขาจำเส้นทางลงเขาได้เพราะหลงป่าบ่อย แต่พอเชื่อลางสังหรณ์กลับลงเขาได้อย่างราบรื่น แทบจะไม่ต้องมองหาจุดสังเกตด้วยซ้ำ
อีกไม่ถึง 2 กิโลก็หลุดแนวป่าแล้ว
กระต่ายหนุ่มไม่เร่งตัวเองอีก แต่ค่อย ๆ เดินลงเขาอย่างระมัดระวัง พอพ้นแนวป่าไปจะเป็นทุ่งมันสำปะหลังของโรงงานผลิตแป้งที่นำพวกมันมาทิ้งไว้จนโตเองตามธรรมชาติ มีบ้างที่พวกคนงานจะมาขุดไปบริโภคในครอบครัว เขาเองก็เคยหลงมาเพราะคิดว่าเป็นทางลงเขาฝั่งจังหวัดตนเอง
น่าแปลกที่หลังจากหมดสติในรอบแรก เฉินเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งแรงขึ้น และพอหมดสติในครั้งที่ 2 ก็ดีขึ้นไปอีก อย่างการเดินทางลงเขาในวันนี้ เขายังไม่ได้หยุดพักเลยสักครั้ง มีบ้างที่จิบน้ำจากกระติกพกพา แต่ก็แค่จิบ ไม่ได้กระหายมากมายเหมือนกับว่าการเดินทางเกือบสิบกิโลไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยยากแต่อย่างใด
ร่างกายกำลังเปลี่ยนไป หรือว่ายิ่งใช้พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
ต้องใช่แน่ เหมือนพวกการ์ตูนประเทศ J พวกซูเปอร์ฮีโร่ที่ฝึกฝนตนจะเก่งกาจขึ้นเมื่อได้ใช้พลังของตนเองบ่อย ๆ นอกจากได้พลังเพิ่มแล้วก็ยังสามารถใช้พลังได้อย่างชำนาญมากขึ้น
แต่ว่านี่มัน… ไม่จูนิเบียว[1]ไปหน่อยหรือ
ไม่หรอก
ซอมบี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่สามัญสำนึกปกติทั่วไปจะนำมาวิเคราะห์ได้แล้ว ตอนนี้จะเบียวหรืออะไรก็ไม่สนทั้งนั้น ถ้าจะทำให้รอดชีวิตเขาก็ไม่คิดว่ามันบ้าหรอก
นอกจากอาหารกระป๋องแล้ว ชายหนุ่มยังเตรียมเป้ใบใหญ่และเชือกฟางอีกหนึ่งม้วนเผื่อมัดข้าวของที่หาได้ติดไว้กับตัวเสียเลย จะได้ไม่ต้องหอบหิ้วให้เต็มสองมือ หรือถ้าเกิดเจอซอมบี้ก็จะยังหนีไปพร้อมกับกองสัมภาระได้
แต่ถ้าหากเจอคน…
[1] จูนิเบียว / โรคป่วย ม.2 คนที่มีอาการนั้นจะทำตัวคล้ายๆ กับเด็กอายุ ม.2 ที่ชอบโชว์เหนือ ทำตัวเก่ง และถ้าหนักหน่อยก็คือคิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษ ถึงจะบอกว่าเป็นอาการป่วยก็เถอะแต่อาการจูนิเบียวไม่นับว่าเป็นการเจ็บป่วยทางการแพทย์แต่อย่างใด

“แม่เองก็อยากรู้เหมือนกัน” กิ่งแก้วพยักหน้าเห็นด้วย ตอนนี้สถานการณ์กลับมาสงบสุขลงแล้ว แต่ลูกชายเธอก็ยังคงขลุกตัวอยู่กับการฝึกฝน บางวันก็วิ่งโร่ไปล่าหนูกลายพันธุ์ถึงนิคมอุตสาหกรรม หากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็คงช่วยปรามได้บ้าง“ผมออกไปเดินเล่นดีกว่า” ชายหนุ่มค่อยๆ กระถดตัวไปทางประตูบ้าน ก่อนจะวิ่งหนีหายไปด้วยความรวดเร็ว“ทีอย่างนี้ล่ะ เร็วเชียว” กิ่งแก้วส่ายหน้า“ฮ่าๆ อย่าไปบังคับน้องเลยครับ ถึงเวลาจะมีเดี๋ยวก็มีเองแหละ” เจ้ากระต่ายหัวเราะร่วนกับปฏิกิริยาของกรที่ดูเหมือนจะยังไม่อยากมีแฟน“หรือไม่ก็อาจจะกำลังมีคนคุยๆ อยู่แต่ไม่กล้าเปิดตัวหรือเปล่า” ต่างกับนิโคลัสที่มองอีกมุมแก้มแดงๆ นั่นหลบไม่พ้นสายตาของเขาหรอก“เอ๊ะ ลูกคนนี้ แอบมีแฟนแล้วไม่บอกแม่เหรอ กิ่งไปก่อนนะยาย” หันไปร่ำลาคุณยายแล้วถกผ้าถุงออกจากบ้านมองหาเจ้าลูกตัวแสบทันที“พี่นิคไปรู้อะไรมาครับเนี่ย” เฉินเฟิงเชื่อว่าคนรักไม่มีทางพูดไปเรื่อยเปื่อยแน่“รอดูไปก่อน ไม่แน่ว่าหลังเรากลับมาจากไปเยี่ยมบ้านพี่ กรอาจกล้าเปิดตัวกับแม่ก็ได้” คุณหมอหมีไม่อยากเฉลย เผื่อเจ้าตัวยังไม่พร้อมส่วนเมื่อสักครู่ก็ถือว่าสร้างสีสันให้คนป่วย ดูสิ คุณยายร้านขา
“น่องไก่นั่นผมมองไว้นานแล้วนะพี่ อย่าแย่งดิ” ทีโอใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ที่หงส์เตรียมตักเข้าจานของตน“อะไร อย่ามาโมเมนะ” หงส์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ถึงสงครามครั้งนี้จะไม่มีมังคุดเข้าร่วมกลั่นแกล้งด้วย เธอก็ไม่คิดจะรามือ เวลาเห็นทีโอทำหน้าเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วตลกดีเธอเห็นแล้วว่าทีโอจ้องน่องไก่ชิ้นนี้ตาเป็นมันนานแล้ว และเธอกับตุ่นเองก็มีในจานอยู่คนละน่อง เจ้าเด็กนี่เลยอนุมานไปว่าชิ้นที่ยังลอยเท้งเต้งนั้นจะต้องตกเป็นของตนเอง“พี่หงส์ พี่อย่ามาแกล้งผม ในจานพี่ก็ยังมีน่องไก่ ทำไมไม่แบ่งให้น้องให้นุ่ง” ทีโองอแงกระเง้ากระงอดทั้งที่มือยังใช้ส้อมจิ้มน่องไก่ไว้ไม่ผละไปไหน“เล่นกันเป็นเด็กๆ ไปได้” โจเซฟส่ายศีรษะเอือมระอา ตั้งแต่รวมกลุ่มกันมา สองคนนี้ต้องมีปากเสียงตอนกินอาหารได้ทุกมื้อ“เนื้อส่วนอื่นของไก่ก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ” เลวี่ดุคนรักเสียงจริงจังทั้งที่มืออีกข้างก็กำลังถือน่องไก่กัดเข้าปากคำใหญ่“คนที่ได้กินน่องไก่ชิ้นที่สามแล้วกล้าตักเตือนกูเหรอ ฮะ?” ทีโอเค้นเสียงลอดไรฟัน เพราะน่องไก่ชิ้นแรกถูกคนรักแย่งไปจากช้อน เขาถึงต้องเล็งชิ้นใหม่ไม่ใช่หรือไง“...” เลวี่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ไม่ชี้“ท
พูดคุยอัปเดตสภาพบ้านแต่ละหลังอีกเล็กน้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของส่วนตัวบ้านใครบ้านมัน พลายวารีกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดนำพี่ชายไปยังโรงนอนที่ถูกปรับปรุงใหม่“โห บ้านดูเป็นบ้านมาก” เฉินเฟิงเปิดประตูเข้ามาพบกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโซฟา โต๊ะรับแขก หรือแม้แต่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่“เกรงใจพี่พิมแย่” นิโคลัสลูบเนื้อไม้เรียบสนิท มันถูกขัดจนมันและลงน้ำยาป้องกันแมลงไว้เรียบร้อย“ไว้เราออกไปเยี่ยมแม่ของพี่นิคก็ขนของฝากกลับมาให้มากหน่อยดีไหมครับ” เฉินเฟิงเสนอ“เป็นความคิดที่ดี” คุณหมอหมีเห็นด้วย อย่างน้อยก็คงได้พวกเครื่องนุ่งห่มสวยๆ กลับมาให้เหล่าหญิงสาวได้เลือกชม ยิ่งหน้าหนาวในประเทศ T ตอนนี้หนาวไปถึงกระดูก ไปประเทศ A น่าจะได้เสื้อกันหนาวคุณภาพดีมาเพิ่ม“เฮ้อ… ในที่สุดก็ได้กลับบ้านสักที” เฉินเฟิงวางกระเป๋าไว้มุมห้องแล้วเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียง “หือ พี่พิมเปลี่ยนฟูกที่นอนให้ด้วย” จำได้ว่าก่อนไปทำภารกิจ ที่นอนไม่ได้นิ่มขนาดนี้“ไว้ทำเตาผิงไว้ในห้องด้วยดีกว่า” ฤดูหนาวที่ผ่านมาต้องพึ่งพาพลังพิเศษระหว่างการนอนหลับ แต่ถ้ามีเตาผิงอยู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าห้องจะไม่อบอุ่น“หวา เหมือนบ้
“ยินดีต้อนรับกลับนะคะ”แอ๊ว!ทันทีที่รถจอดบริเวณตีนภูเขาก็พบพิมพาและพลายวารียืนรออยู่“พี่พิม~ คิดถึงจังเลยค่ะ” กวางสาวก้าวลงจากรถพร้อมกับอุ้มเด็กหญิงพลอยใสตามลงมา“ปลอดภัยกันสินะคะ” พิมพาโล่งอกเมื่อกวาดตามองคร่าวๆ แล้วไม่พบว่ามีใครได้รับบาดเจ็บกลับมา “น้องพลอยไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหมคะ”“หนูเป็นเด็กดี ฮึก เป็นเด็กดีจริงๆ นะ ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีด้วย ฮือๆ” เด็กหญิงโผเข้ากอดมารดาแน่น พลอยใสไม่เคยห่างจากแม่นานขนาดนี้มาก่อน แต่เพราะตนเลือกที่จะอาสาออกไปสู้กับซอมบี้เองจึงไม่อาจงอแงร้องไห้คิดถึงบ้านได้เหมือนเด็กทั่วไปมาวันนี้ได้กอดคนที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันก็พาให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย“จ้ะ แม่รู้แล้ว แม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆ เลยนะ” พิมพาย่อตัวช่วยเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าเนียนใส ใจจริงเธอไม่อยากให้ลูกสาวออกไปเผชิญกับอันตรายเลย แต่เพราะเชื่อว่าการได้ออกไปในยามที่มีสมาชิกคนอื่นๆ ไปด้วยย่อมปลอดภัยกว่า จึงวางใจให้ลูกสาวออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ ส่วนเธอก็จะปกป้องบ้านไว้รอต้อนรับทุกคน“แล้วสงคราม…” พิมพาผละจากลูกสาวมามองหน้าสมาชิกคนอื่นๆ “จบแล้วจริงๆ ใช่ไหมคะ”เธออยากได้รับคำยืนยันต่อหน้ามากกว่าคำ
กลุ่มทหารรับจ้างไม่ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้าน ส่วนหนึ่งเพราะต้องการขับรถที่นำมาด้วยกลับไปจอดไว้ยังตีนภูเขา และอีกเหตุผลก็เพราะมังคุดตัวโตขึ้นเล็กน้อย บริเวณท้องของมันไม่สามารถผ่านประตูทางเข้าได้ ทุกคนจึงลงความเห็นให้เดินทางโดยใช้ถนนเส้นหลักแทน“ต้องลดความอ้วนแล้วหรือเปล่านะ” เฉินเฟิงมองพุงกลมของมังคุดด้วยความหนักใจ ช่วงบนเดินผ่านทางเข้าได้ไม่มีปัญหา แต่พอถึงช่วงกลางลำตัวกลับเข้าไม่ได้ เขาเลี้ยงเจ้าตัวนี้ดีเกินไปหรือเปล่านะ?กี๊ซ (มังคุดไม่อ้วนนะ)แร็กคูนที่ถูกแปะป้ายไว้บนหน้าผากว่าอ้วนรีบแย้ง ถ้าให้มันงดอาหาร มันยอมอยู่ที่ค่ายพันธมิตรต่อยังดีกว่า… แล้วค่อยกลับบ้านตอนท้องอิ่ม“ไม่อ้วนตรงไหนกันฮึ” เฉินเฟิงจ้องมองพุงกลม หลักฐานสำคัญที่จำเลยดิ้นไม่หลุดกี๊ซ (นี่เป็นพลังงานสำรองต่างหาก)เจ้าตัวโตแอ่นพุงไม่ยอมรับว่าหน้าท้องส่วนนี้เป็นไขมันที่เกิดจากการกินล้วนๆ“เอาเถอะ จะยอมเชื่อก็ได้” ในเมื่อเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ เจ้ากระต่ายก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลดพุงเด็กดื้อนิโคลัสยกยิ้มมุมปากมองคนรักกับเจ้าตัวโต้เถียงกันเรื่องน้ำหนักเกินมาตรฐานไปตลอดทาง กระทั่งใกล้ถึงหมู่บ้านด้วงส
“พวกนาย…” ผู้ถูกขนานนามว่าเทพเซียนเดินดินเกือบน้ำตาร่วงด้วยความซาบซึ้ง ยังดีที่เก๊กขรึมฮึบไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นอาจมีสักขีพยานนับแสนเห็นท่านเทพหลั่งน้ำตา“เจอแบบนี้เขินเลยนะคะเนี่ย” แก้มใสของดาริณีขึ้นสีแดงระเรื่อ ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เทียบกันแล้วเธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่อยากจะปกป้องลูกชายและเพื่อนพ้อง ไม่ได้มีใจคิดอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากมายถึงเพียงนั้นหนักเข้าหน่อยก็มีคนชูลังกระดาษที่มีชื่อของใครสักคนเขียนอยู่“อ๋า… มีชื่อของพี่ด้วย” เหมือนแฟนคลับไปตามดาราตามงานอีเวนต์เลย“วีรกรรมพี่ดาไม่ใช่ย่อยเลยนะคะ รับความรู้สึกอยากขอบคุณจากพวกเขาเถอะค่ะ” หงส์เอ่ยให้กำลังใจ ทั้งที่ไม่ได้เป็นทหารแต่ก็สามารถยืนหยัดต่อสู้กับซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์ได้โดยไม่ทำให้ทีมเสียสมดุลกลับกัน... หากขาดดาริณีไป สงครามอาจจบล่าช้ากว่าที่คิดก็เป็นได้ดาริณีเม้มปากขัดเขิน ใบหน้าสวยก้มมองพื้นไม่กล้าสบตาใคร กระทั่งโจเซฟกอบกุมมือเรียวไว้ เธอถึงเงยหน้ามองสบตากับสามีร่วมทุกข์ร่วมสุขแค่ได้เห็นสายตาที่บอกว่าภูมิใจที่มีเธออยู่เคียงข้าง ความมั่นใจที่หล่นหายไปก็พลันเอ่อล้นออกมากี๊ซ! (ขอบคุณทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ มั








