“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้เป็นทีมที่ไปเคลียร์โรงงานพวกนั้น” ชายหนุ่มผู้มีใบหูสุนัขบ่นออกมาเสียงดัง พวกเขาเดินทางออกจากฐานมาไกลมากแล้ว พูดบ่นไปก็มีแต่คนในทีมที่ได้ยิน สองมือถือปืนไม่ปล่อย
ปืนใหม่กระบอกนี้เขาเพิ่งใช้แต้มแลกมา
แต้มที่ต้องเก็บหอมรอมริบจากการทำภารกิจถึง 3 ภารกิจ
โคตรแพง!
“เก็บปืนไว้ด้านหลังเลย เกิดลั่นโป้งป้างขึ้นมาเดี๋ยวซวยกันหมด” หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มเขยิบถอยห่างออกมา บนศีรษะของเธอมีหูใบเล็กดูน่ารักรับกับเขาขนาดเล็ก
“เหอะ เธอจะมาเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายได้ยังไง”
“นิค นายคิดว่าไง ตุ่นกอดปืนไม่ปล่อยเลย” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ฟัง เธอจึงรีบหาพรรคพวกสนับสนุน
“อย่ามายุ่งกับฉันน่า” หมอประจำกลุ่มหันสายตาไปมองคู่รักที่ทะเลาะกันได้ทุกวันแต่ก็ไม่เลิกกันเสียทีด้วยสายตาเอือมระอา นัยน์ตาคมเหม่อมองออกไปนอกรถบรรทุก
“ถ้าจะจีบกันก็ช่วยเบาเสียงหน่อย” ชายที่ทำหน้าที่ขับรถควบตำแหน่งหัวหน้าทีมเบี่ยงหน้ามาบ่นตรงช่องหน้าต่าง เจ้าพวกนี้หวานกันไม่เกรงใจคนไร้คู่บ้างเลย
นอกจากเพื่อนร่วมทีมที่มีสารพัดหูสัตว์ก็คงมีแต่โจเซฟคนเดียวที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ก่อนเกิดวันสิ้นโลกเขาเป็นพลทหารที่ได้รับการฝึกฝนในหน่วยรบพิเศษ จึงสามารถรวบรวมกลุ่มคนที่แสนแปลกแยกแต่แข็งแกร่งจนปั้นให้เป็นทีมขึ้นมาได้
พื้นถนนคอนกรีตทำให้การเดินทางราบรื่นขึ้นมาก มีบ้างที่ต้องลงไปเคลียร์รถขวางถนนด้านล่างแต่ก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางล่าช้า อาจเป็นเพราะรถบรรทุกทหารคันนี้ใช้เส้นทางนอกเมืองจึงทำให้ไม่พบกับซอมบี้หรือกลุ่มผู้รอดชีวิตที่ต้องการขอความช่วยเหลือ เพราะเห็นว่าพวกเขาขับรถทหาร
“พี่โจ ดูยังไงคะว่าจีบกันอยู่ หมอนี่กำลังกวนประสาทหงส์ต่างหาก” หญิงสาวยื่นหน้าไปฟ้อง
“ไม่ต้องยื่นหน้าออกไปเลย” ชายหนุ่มคู่กรณีดึงแขนร่างบางให้กลับมานั่งที่เดิม
“ตุ่น” หงส์เรียกเสียงเขียว
“เออ ผัวชื่อตุ่น ทำไมชอบไปวอแวกับหัวหน้านัก ก็รู้ว่าตุ่นหึง” ชายหนุ่มพูดเสียงเครียด แต่ในน้ำเสียงมีความสั่นเครือเล็กน้อยเพราะกำลังตัดพ้อ
“รู้หรอกน่าว่าสามีชื่อตุ่น ไม่ต้องหวงนะคะ ภรรยาแค่มองหัวหน้ากับนิคเป็นอาหารตาแค่นั้นเอง ในใจมีแต่ตุ่นคนเดียว หงส์รักตุ่นมากนะ” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วกรีดแผงอกล่ำ ๆ เป็นรูปหัวใจ ใช้เขาสั้นกุดกระทุ้งต้นแขนอีกเล็กน้อย
“ผมก็รักคุณ” จากนั้นบรรยากาศสีชมพูก็ลอยฟุ้งตลบอบอวลให้คนไร้คู่เหมือนได้รับอาหารหมาเป็นกระสอบ
“อีกสามสิบกิโลจะถึงนิคมอุตสาหกรรมแล้ว” ทีโอ หนุ่มน้อยผู้ทำหน้าตายเป็นนิจพูดขึ้น ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นมนุษย์ แต่เขาเป็นผู้มีพลังสายโลหะที่มีเพียงคนเดียวในค่าย น่าแปลกที่เขายอมมาร่วมทีมกับคนกลุ่มนี้
ทีมที่มีคนน้อยจนน่าตกใจ
ปกติหนึ่งทีมจะมีคนมากกว่า 10 คนเพื่อคอยช่วยเหลือกันในยามฉุกเฉิน แต่โจเซฟกลับยึดตามหลักสูตรเดิมที่ตนเรียนรู้มาจากหน่วยรบพิเศษและคิดว่ามันเข้าท่ากว่า
คนสุดท้ายที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ทีมนี้แบบงง ๆ ก็คือนิโคลัส นักเรียนแพทย์ทหารแลกเปลี่ยนจากประเทศ A
โชคร้ายที่ดันเกิดโรคระบาดนี่เสียก่อน การคมนาคมระหว่างประเทศก็เลยเป็นอัมพาตทำให้ไม่สามารถกลับประเทศได้ แต่หมอหนุ่มก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิดที่ต้องอยู่ประเทศ T ต่อ แถมเป็นคนเสนออีกว่าพวกเขาควรเป็นทหารรับจ้างมากกว่าเป็นกลุ่มทหารประจำค่าย รับแค่ภารกิจแลกแต้มหรือสิ่งของ ไม่รับใช้พวกกลุ่มคนมีอำนาจ
นิโคลัสเหม่อมองฝุ่นฟุ้งบนถนนนอกตัวเมือง พวกเขาใช้เส้นทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงการผ่านตัวเมือง ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยเหลือผู้คน เพียงแต่ภารกิจของเขาคือการไปตรวจสอบนิคมอุตสาหกรรมว่ายังสามารถผลิตหรือมีวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ต่อค่ายหรือไม่
ซึ่งมันต้องมีแน่ล่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นฝั่งผลิตอย่างน้อยในโกดังก็ต้องมีพวกกระสอบแป้งหรือไม่ก็อาหารที่ผ่านการแปรรูปแล้วอยู่บ้าง เขาก็ได้แต่หวังว่าที่รออยู่จะเป็นคนในโรงงานที่ยังเป็นคนไม่ใช่ซอมบี้
“จะลงไปดูวันนี้เลยเหรออาเฟิง” ดาริณีคิดว่าชายหนุ่มควรพักฟื้นมากกว่านี้ นี่อะไร เมื่อสามวันก่อนเป็นลมหมดสติ พอฟื้นก็ลุกมาใช้พลังของตนจนเป็นลมไปอีก คราวนี้ยังบอกว่าจะออกไปที่นิคมอุตสาหกรรมอีกฝั่งของภูเขา “ให้พี่ไปด้วยไหม” เธอมั่นใจในพละกำลังอย่างมากเลยตอนนี้
“พี่อยู่ที่นี่ดีกว่าครับ ผมไม่รู้ว่าข้างล่างนี้จะมีซอมบี้มากน้อยแค่ไหน” ถ้าเป็นเขาคนเดียวคงวิ่งหนีทัน แต่ถ้าดาริณีไป เด็กชายดลก็ต้องไป
“แต่พี่เป็นห่วง”
“ผมวิ่งเร็วนะครับ พี่ก็เคยเห็นมาแล้ว” เฉินเฟิงยังคงยืนกรานว่าจะไปคนเดียว คุยกันกว่า 5 นาทีในที่สุดหญิงสาวก็ยอมให้ไปและสัญญาว่าจะดูแลบ้านอย่างดี ช่วงที่ชายหนุ่มไม่อยู่ก็จะไปขนหินตรงน้ำตกมาทำห้องใต้ดินให้แล้วเสร็จ เพื่อใช้เก็บถนอมอาหารในอนาคต
ตกลงกันได้เฉินเฟิงก็ออกเดินทางทันที เขานำอาหารติดตัวไปนิดหน่อยรวมกับพวกเมล็ดพืช ถ้าหากไม่มีอะไรกินก็ยังเร่งเจ้าพวกนี้ให้โต กินประทังชีวิตไปพลาง ๆ ได้
รู้สึกว่าต้องไปทางนี้
“เอ๊ะ!” หมายความว่ายังไง หรือว่าจะเป็น...
ลางสังหรณ์เหรอ?
“เหมือนที่คนเฒ่าคนแก่เขาชอบพูดกันเลยแฮะ” ว่าในยามคับขันให้เชื่อลางสังหรณ์ของตัวเองจะดีที่สุด สถานการณ์นี้เรียกว่าฉุกเฉินได้สินะ
“งั้นก็ไปทางนี้” เขาจำเส้นทางลงเขาได้เพราะหลงป่าบ่อย แต่พอเชื่อลางสังหรณ์กลับลงเขาได้อย่างราบรื่น แทบจะไม่ต้องมองหาจุดสังเกตด้วยซ้ำ
อีกไม่ถึง 2 กิโลก็หลุดแนวป่าแล้ว
กระต่ายหนุ่มไม่เร่งตัวเองอีก แต่ค่อย ๆ เดินลงเขาอย่างระมัดระวัง พอพ้นแนวป่าไปจะเป็นทุ่งมันสำปะหลังของโรงงานผลิตแป้งที่นำพวกมันมาทิ้งไว้จนโตเองตามธรรมชาติ มีบ้างที่พวกคนงานจะมาขุดไปบริโภคในครอบครัว เขาเองก็เคยหลงมาเพราะคิดว่าเป็นทางลงเขาฝั่งจังหวัดตนเอง
น่าแปลกที่หลังจากหมดสติในรอบแรก เฉินเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองแข็งแรงขึ้น และพอหมดสติในครั้งที่ 2 ก็ดีขึ้นไปอีก อย่างการเดินทางลงเขาในวันนี้ เขายังไม่ได้หยุดพักเลยสักครั้ง มีบ้างที่จิบน้ำจากกระติกพกพา แต่ก็แค่จิบ ไม่ได้กระหายมากมายเหมือนกับว่าการเดินทางเกือบสิบกิโลไม่ได้ทำให้เขาเหนื่อยยากแต่อย่างใด
ร่างกายกำลังเปลี่ยนไป หรือว่ายิ่งใช้พลังก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!
ต้องใช่แน่ เหมือนพวกการ์ตูนประเทศ J พวกซูเปอร์ฮีโร่ที่ฝึกฝนตนจะเก่งกาจขึ้นเมื่อได้ใช้พลังของตนเองบ่อย ๆ นอกจากได้พลังเพิ่มแล้วก็ยังสามารถใช้พลังได้อย่างชำนาญมากขึ้น
แต่ว่านี่มัน… ไม่จูนิเบียว[1]ไปหน่อยหรือ
ไม่หรอก
ซอมบี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่สามัญสำนึกปกติทั่วไปจะนำมาวิเคราะห์ได้แล้ว ตอนนี้จะเบียวหรืออะไรก็ไม่สนทั้งนั้น ถ้าจะทำให้รอดชีวิตเขาก็ไม่คิดว่ามันบ้าหรอก
นอกจากอาหารกระป๋องแล้ว ชายหนุ่มยังเตรียมเป้ใบใหญ่และเชือกฟางอีกหนึ่งม้วนเผื่อมัดข้าวของที่หาได้ติดไว้กับตัวเสียเลย จะได้ไม่ต้องหอบหิ้วให้เต็มสองมือ หรือถ้าเกิดเจอซอมบี้ก็จะยังหนีไปพร้อมกับกองสัมภาระได้
แต่ถ้าหากเจอคน…
[1] จูนิเบียว / โรคป่วย ม.2 คนที่มีอาการนั้นจะทำตัวคล้ายๆ กับเด็กอายุ ม.2 ที่ชอบโชว์เหนือ ทำตัวเก่ง และถ้าหนักหน่อยก็คือคิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษ ถึงจะบอกว่าเป็นอาการป่วยก็เถอะแต่อาการจูนิเบียวไม่นับว่าเป็นการเจ็บป่วยทางการแพทย์แต่อย่างใด
หรือไม่ก็อาจได้เลื่อนตำแหน่ง ได้รับหมายเลขนัมเบอร์เหมือน W03 จากนั้นก็จะได้ติดตามนายท่านไปทุกหนทุกแห่ง…บึ้ม!!“เกิดอะไรขึ้น!” เสียงระเบิดดังกึกก้อง ปลุกหัวหน้าเทวทูตที่กำลังเพ้อฝันถึงความเจริญก้าวหน้าในการงานให้หลุดจากภวังค์“พะ พวกมันทำลายโดรนเลเซอร์ครับ” ลูกน้องเร่งรายงาน แม้จะถูกทำลายไปเพียงตัวเดียว แต่แค่นั้นก็นับเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว“ได้ยังไง! นายท่านทุ่มเทกับอาวุธชิ้นนี้มาก มันจะไปพังได้ยังไง!”“อยู่ๆ มันก็ขยับเข้าไปในทิศทางของเลเซอร์จากโดรนเครื่องอื่นครับ แล้วก็…” ตูม! ระเบิดเป็นจุณ...“อะไรกัน มีของเล่นน่าสนุกอยู่ด้วยนี่นา” ในขณะที่ทุกคนกำลังงงงวยกับอาวุธของศัตรูที่ถูกทำลาย กลับมีชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้าเดินเข้ามาในวงต่อสู้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีเลยแม้แต่น้อย“หัวหน้า” แต่สมาชิกกองกำลังย่อมจดจำครูฝึกของตนเองได้ขึ้นใจ เพราะการฝึกฝนอันหนักหน่วงของหัวหน้า ต่อให้ไม่อยากจำแค่ไหนก็ยังสลักลึกในสมองอยู่ดี“สถานการณ์ไม่สู้ดีเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าเหล่าลูกเจี๊ยบในสังกัด“ครับ โดรนนั่นค่อนข้างเร็ว พลังพิเศษที่พวกเรามีไล่ตามไม่ทันเลย” ส่วนมากในกองกำลั
ฟากคิวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ชายหนุ่มพยายามสลัดพวกเทวทูตเก๊และหาทางไปให้ถึงตัวหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่เหมือนพวกมันจะไม่ยอม ทั้งยังเข้ามาเพิ่มเรื่อย ๆจะขอให้คนอื่นช่วยก็ไม่ได้เพราะมีสภาพไม่ต่างกัน จากที่เคยสู้หนึ่งต่อหนึ่งหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยก็ต้องรับศึกหลายด้าน พวกมันกรูกันเข้ามาไม่ให้พักหายใจหายคอเลย“จงสำนึกเสียใจเสียเถอะที่ทำให้ต้องหยิบอาวุธชิ้นนี้มาใช้” หัวหน้ากลุ่มเทวทูตมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาสีนิลมีประกายเยียบเย็นเวลานี้ปืนเลเซอร์ประจำตัวถูกปลดล็อกให้เข้าสู่โหมดต่อสู้เต็มกำลังแล้ว และมีเพียงมันเท่านั้นที่นายท่านยอมให้ใช้อาวุธชิ้นดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว“คำพูดโคตรเบียว” เกมเบะปาก “อย่างกับคัดลอกบทพูดตัวโกงในการ์ตูนช่อง X มาเลย”“เดี๋ยวเถอะ” กรอยากจะดีดปากเจ้าตัวแสบให้หายปากไว เห็นสีหน้าพวกมนุษย์นกไหม หน้าตาใกล้จะเป็นยักษ์วัดแจ้งอยู่แล้ว“…”“ผมคิดว่าพวกลูกน้องหมอนั่นก็ต้องคิดเหมือนกันแหละ ว่าคำพูดแบบนี้มีแต่เด็กที่อินกับการ์ตูนเท่านั้นแหละที่จะพูดออกมา” เกิดความเงียบเป็นวงกว้างโดยที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากฝั่งศัตรูที่มีสีหน้าเหมือนกลืนยาขม ก็มีเพื่อนร่วมทีมภายใน
…“เอ่อ พวกเขาเป็นใครกันเหรอครับ” ลูกน้องของเอเห็นว่าความสนใจของเทวทูตถูกหันเหไปยังกลุ่มคนปริศนาจนหมด พวกตนจึงหาที่ซ่อนตัวพร้อมกับชมการต่อสู้นี้ชนิดติดขอบเวที“นอกจากทหารทั่วไปกับทหารรับจ้างแล้ว ค่ายเรายังมีกองกำลังอีกหนึ่งกลุ่มที่ไม่ขึ้นตรงกับใครและได้รับการฝึกฝนจากคุณโจเซฟเป็นพิเศษ” เป็นแบบนี้ให้ปิดเป็นความลับต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว“คนพวกนั้นจะถูกเรียกว่า ‘กองกำลังพิเศษ’ ถูกเตรียมการไว้เพื่อต่อกรกับองค์กร SW โดยเฉพาะ” เออธิบายสั้นๆ ใจความกระชับ พาให้สายตาลูกน้องในทีมหันไปมองยังกลุ่มคนที่มีไม่ถึงยี่สิบ แต่สามารถต่อกรกับเทวทูตและอาวุธทำลายล้างได้โดยที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเลยอย่างมากก็มีแค่แผลถลอกพอเรียกให้เลือดซึมออกมาเล็กน้อย สำหรับทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ไม่นับว่าเป็นแผลได้ด้วยซ้ำ“โคตรเท่!” ทั้งวาดลวดลายอยู่บนอากาศหรือต่อสู้อยู่บนหลังคาสูง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่มีอาการเหนื่อยหอบให้เห็นเลยสักนิดเดียว คนพวกนี้ทำได้ยังไงกันแถมยังกำจัดเทวทูตปลอมๆ พวกนั้นไปได้เกือบครึ่งแล้วด้วย!…“ชิ ฉันจะเปลี่ยนอาวุธ พวกแกมาจัดการหมอนี่ที” หัวหน้าเทวทูตที่สู้ติดพันอยู่กับคิวกระพือปีกบินขึ้นสูงพลาง
“!!!”ลูกน้องของเอที่กำลังหัวเราะสะใจกันอย่างครึกครื้นหันซ้ายมองขวาหาต้นตอของเสียง เป็นเอที่รู้ตัวก่อนใคร เงยหน้ามองท้องฟ้าที่บัดนี้ไม่ได้มีเพียงก้อนเมฆอีกต่อไป แต่ยังมีมนุษย์นกจำนวนมากกว่า 100 คนพร้อมด้วยอาวุธหน้าตาแปลกประหลาดในมือ“มาจนได้นะ พวกร่างโคลน” การโคลนนิ่งคนมาตัดต่อพันธุกรรมเข้ากับนกและเรียกมนุษย์กลุ่มนี้ว่าเทวทูตเป็นข้อมูลที่โจเซฟล้วงมาได้นานแล้ว หมาป่าหนุ่มจึงไม่ประหลาดใจนักยามเห็นคนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในกองกำลังสำคัญของเกรย์สัน“พวกเราคือกลุ่มที่นายท่านขนานนามให้ว่าเทวทูต จงดีใจเสียเถอะที่ได้ตายเร็วแบบไม่ทรมาน” หนึ่งในเทวทูตที่คาดว่าเป็นหัวหน้ายกอาวุธคล้ายปืนแต่มีรูปทรงและดีไซน์แปลกประหลาดประทับบนบ่า“เบียวฉิบหาย” ลูกน้องของเอแขวะ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอาวุธหน้าตาประหลาดนั้นมีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด“หลบเร็ว!” เอเห็นท่าไม่ดีรีบสั่งการให้ลูกน้องหนีออกจากดาดฟ้าที่ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ ก่อนที่ในอีกกี่วินาทีต่อมาจะมีลำแสงพุ่งเข้าจู่โจมทำลายจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่เมื่อลมพัดเศษฝุ่นให้ปลิวไปตามสายลมก็เผยให้เห็นพื้นคอนกรีตที่ถูกอาวุธของศัตรูละลาย แม้แต่โครงเหล็กด้านในก็ยังไม่สามารถต้านท
“พวกมันเป็นยังไงบ้าง” เกรย์สันยกแก้วบรรจุไวน์องุ่นขาวเลิศรสขึ้น มือหนาแกว่งแก้วเบาๆ ก่อนจะจิบไปเพียงเล็กน้อย พอให้รสหวานหอมอบอวลอยู่ภายในโพรงปาก“มีประเทศ M, P, H, E และประเทศ Q ที่ต้านทานไม่ไหวครับ พวกที่เหลือรอดอยู่ก็หนีกระจัดกระจายไปซ่อนตัวตามเมืองร้างหรือหนีเข้าป่าแล้วครับ ส่วน 5 ประเทศพันธมิตรแถบภูมิภาคเอเชียยังคงต้านทานไว้ได้” มนุษย์นกอินทรีที่หายจากอาการบาดเจ็บแล้วกล่าวรายงาน“หึ เหนียวจริงนะ” เจอไปขนาดนั้นแล้วยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อีก “แล้วพวกคนที่แข็งแกร่งของแต่ละประเทศล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหน”“ส่วนมากจะถูกเรียกตัวกลับไปประจำที่ค่ายหลักครับ ทางหน่วยสังเกตการณ์ยืนยันว่าเป็นตัวจริง” อย่างประเทศ T ก็มีหน่วยสอดแนมเห็นว่ากลุ่มของโจเซฟกำลังต่อสู้กับสัตว์กลายพันธุ์ในวันแรก ก่อนจะกลับเข้าไปพักในกำแพงแล้วให้ทีมอื่่นมารับหน้าที่ต่อ“ดี ในเมื่อไปรวมกันอยู่ในเมืองก็เข้าทางแผนของเรา” นักวิทยาศาสตร์หนุ่มกระดกไวน์ครั้งเดียวหมดแก้ว “ปล่อยทัพเสริมลงไป” พร้อมกับสั่งการด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย ราวกับได้เห็นพวกมดปลวกหมดอาลัยตายอยากจากการโจมตีในครั้งนี้“ให้ปล่อยที่ไหนบ้างครับ” จริงอยู่ว่ากองกำลังที่สร้
ดังนั้นก่อนพามาร่วมภารกิจด้วย คุณหมอหนุ่มทั้งเคี่ยวและเข็นสามเด็กแสบมาหนักมาก ทั้งยังมีบททดสอบสุดท้ายให้ได้ทำ หากไม่ผ่านต้องกลับไปอยู่กับเพื่อนที่ทำงานซัพพอร์ตอยู่ในหลุมหลบภัยแต่โดยดี“กลับมาแล้วคร้าบบ~” เด็กชายดลที่รู้ตัวเองดีว่าพลังใกล้จะหมดรีบกลับมายังฐานบัญชาการลับนอกค่าย ใบหน้าเล็กมีเหงื่อผุดซึมเป็นหย่อมๆ พร้อมกับอาการหอบเพราะออกซิเจนในอากาศมีน้อย“เตรียมกลับไปที่ฐานเลย แผนต่อไปจะเริ่มแล้ว” นิโคลัสสั่งเสียงขรึม ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “วันนี้ทำได้ดีมาก” เอ่ยชมเด็กแสบที่ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่“พวกพี่ก็สู้ๆ นะครับ” เด็กชายดลแม้จะเหนื่อยหอบก็ยังชูกำปั้นส่งรอยยิ้มทะเล้นไปให้“อย่าแพ้เขานะคะ” พลอยใสให้กำลังใจอีกคน“ระวังพวกลิงไว้ด้วยนะครับ มันเจ้าเล่ห์กว่าเสือโคร่งอีก” และคำเตือนจากปอนด์เป็นคนสุดท้าย“ได้ พวกเราจะระวัง” เมื่อเป็นคำเตือนจากผู้มีพลังพิเศษมองเห็นนิมิตได้ ชายหนุ่มย่อมไม่มองข้าม ถ่ายทอดคำเตือนนี้ผ่านช่องทางสื่อสารให้กับทีมต่อไปทันที“กองกำลังพิเศษทีมที่หนึ่งออกปฏิบัติการได้ ฆ่าได้ฆ่าเลย” พร้อมกับเริ่มดำเนินแผนขั้นต่อไปกับกองทัพสัตว์กลายพันธุ์ที่ยังมีสติเหลืออยู่[ รับท