ยามตะวันทอแสงเรืองรองเหนือน่านฟ้าเมืองจิ่นหยาง ดุจไข่มุกเม็ดงามที่ทอประกายท่ามกลางหมู่เม
ตู้เยี่ยนอวี่่ และเสี่ยวจูได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่แห่งนี้โดยสวัสดิภาพ หลังจากผ่านพ้นอันตรายจากโจรผู้ร้ายกลางทาง ด้วยความสามารถและไหวพริบของเยี่ยนอวี่ จิ่นหยางเป็นเมืองที่ใหญ่โตและคึกคักยิ่งนัก ผู้คนเดินขวักไขว่เต็มท้องถนน เสียงตะโกนเรียกแขกของพ่อค้าแม่ขายดังก้องไปทั่วสารทิศ กลิ่นอายของเครื่องเทศและอาหารนานาชนิดลอยอบอวลในอากาศ
“คุณหนูเจ้าคะ เมืองจิ่นหยางช่างใหญ่โตโอฬารยิ่งนักเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองไปรอบทิศทาง ดุจเด็กน้อยที่เพิ่งได้เห็นโลกกว้าง
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มเล็กน้อย นางสัมผัสได้ถึงความพลุกพล่านของเมืองใหญ่ ที่แตกต่างจากความสงบเงียบของหมู่บ้านซีหลินลิบลับ นางกวาดสายตามองอาคารบ้านเรือนที่ปลูกสร้างอย่างวิจิตรบรรจง และผู้คนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หลากสีสัน
“เราต้องหาโรงเตี๊ยมสำหรับพักแรมก่อนเสี่ยวจู” เยี่ยนอวี่กล่าว “แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกหาซื้อตำราและสมุนไพร”
ทั้งสองเลือกโรงเตี๊ยมที่ดูสะอาดสะอ้านและมีผู้คนไม่พลุกพล่านนัก หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อย ตู้เยี่ยนอวี่ก็ตัดสินใจออกไปเดินสำรวจตลาดในเมืองจิ่นหยาง เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสังเกตการณ์วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองใหญ่
ระหว่างทางนางได้เห็นร้านขายยาหลายแห่ง แต่ละแห่งล้วนประดับประดาอย่างหรูหรา มีสมุนไพรและยาสำเร็จรูปวางเรียงรายอยู่เต็มแผง ทว่าเมื่อลองสัมผัสและพิจารณาสมุนไพรเหล่านั้น ตู้เยี่ยนอวี่กลับรู้สึกว่าคุณภาพของสมุนไพรบางชนิดมิได้ดีเท่าที่ควร
“คุณภาพของสมุนไพรเหล่านี้ยังมิได้เทียบเท่ากับที่ข้าคาดหวังไว้เลย” นางพึมพำกับตนเอง
วันรุ่งขึ้น ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูออกเดินเท้าแต่เช้าตรู่ เพื่อไปยังร้านตำราและร้านขายสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจิ่นหยาง ซึ่งได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นแหล่งรวมตำราหายากและสมุนไพรล้ำค่าจากทั่วทุกสารทิศ
“หมอเทวดาตู้ ! ท่านคือหมอเทวดาตู้ใช้หรือไม่เจ้าคะ ขอท่านโปรดช่วยชีวิตบุตรสาวของข้าด้วยเถิด !”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งดังก้องขึ้นจากด้านหลัง ตู้เยี่ยนอวี่หันกลับไปมอง ก็พบหญิงผู้นั้นกำลังพยุงเด็กสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากเขียวคล้ำ และมีอาการชักเกร็งอย่างรุนแรง
“ใช้เจ้าค่ะ ข้าเอง เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“บุตรสาวของข้านางล้มป่วยเมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ ตัวร้อนจัดและชักเกร็งเช่นนี้ หมอคนใดก็มิมารักษาเลยเจ้าค่ะ” หญิงผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำตาอาบแก้ม “พวกเขาบอกว่าเป็นโรคประหลาด มิเคยพบเห็นมาก่อน”
ตู้เยี่ยนอวี่รีบคุกเข่าลงข้างกายเด็กสาว นางตรวจดูอาการอย่างละเอียด ใบหน้าของนางฉายแววครุ่นคิด
“นี่คืออาการของโรคระบาดอัคคี” นางพึมพำกับตนเอง “พิษไข้กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ลมปราณติดขัดรุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากมิได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที”
นางเคยอ่านเจอโรคนี้ในตำราโบราณบางเล่ม เป็นโรคระบาดที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ร้ายแรงยิ่งนัก
“ท่านต้องรีบพาบุตรสาวของท่านไปที่โรงหมอใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ !” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “ข้าจะไปกับท่านด้วย”
เมื่อมาถึงโรงหมอใหญ่ของเมืองจิ่นหยาง ก็พบว่าโรงหมอเต็มไปด้วยผู้ป่วยจำนวนมาก แพทย์และผู้ช่วยเหลือต่างวิ่งวุ่นกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของพวกเขาฉายแววความเหนื่อยล้าและความสิ้นหวัง
“ท่านหมอ ! โปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด !” หญิงผู้นั้นร้องขอความช่วยเหลือจากแพทย์ผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านไป
แพทย์ผู้นั้นหันมามองด้วยใบหน้าซีดเผือด “เราพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่โรคระบาดครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก มิเคยพบเห็นมาก่อน ผู้ป่วยล้มตายไปหลายคนแล้ว”
ตู้เยี่ยนอวี่ได้ยินดังนั้น ก็ตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ในเมืองจิ่นหยางเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก นางเดินเข้าไปใกล้แพทย์ผู้นั้น “ท่านหมอ ข้าขออนุญาตช่วยรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
แพทย์ผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยความแปลกใจ “แม่หนู เจ้าเป็นใคร ? เจ้ามีความรู้ทางการแพทย์หรือ ?”
“ข้ามาจากหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ข้าพอมีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง”
แพทย์ผู้นั้นมองเยี่ยนอวี่อย่างไม่เชื่อถือ แต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ของนาง เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดลใจให้เชื่อมั่นในตัวเด็กสาวผู้นี้
“เช่นนั้นก็เชิญเถิด” แพทย์ผู้นั้นกล่าว “แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าคงมิอาจรับผิดชอบได้”
ตู้เยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย นางเริ่มตรวจดูอาการของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างรวดเร็ว บางคนมีไข้สูง บางคนมีอาการชักเกร็ง บางคนมีผื่นแดงขึ้นทั่วตัว และบางคนก็หมดสติไปแล้ว
“นี่คือโรคระบาดอัคคีที่รุนแรงยิ่งนัก” ตู้เยี่ยนอวี่พึมพำกับตนเอง “หากมิได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะทำให้เกิดการล้มตายไปมากกว่านี้ได้”
นางหันไปหาเสี่ยวจู “เสี่ยวจู เจ้าช่วยข้าไปหาหม้อต้มยาขนาดใหญ่ และสมุนไพรเหล่านี้มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !” นางยื่นรายชื่อสมุนไพรให้เสี่ยวจู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการลดไข้ ขับพิษ และกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณ
เสี่ยวจูรับคำและรีบวิ่งออกไปทันที ในขณะที่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มลงมือรักษาผู้ป่วยที่อาการหนักที่สุดก่อน
นางใช้เข็มเงินที่พกติดตัวมา ฝังเข็มไปที่จุดลมปราณสำคัญบนร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนอย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลางส่งพลังปราณภายในของตนเองเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของลมปราณที่ติดขัดในกายของผู้ป่วย
แพทย์และผู้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ต่างยืนมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยความทึ่ง พวกเขามิเคยเห็นวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อน และมิเคยคาดคิดว่าเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เช่นนางจะมีความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้
“ท่านหมอ ! อาการของเขาดีขึ้นแล้วขอรับ !” ผู้ช่วยคนหนึ่งร้องอุทานด้วยความยินดี เมื่อเห็นว่าอาการชักเกร็งของผู้ป่วยคนหนึ่งเริ่มทุเลาลง และใบหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้น
ข่าวคราวเรื่องหมอเทวดาตู้ที่สามารถรักษาโรคระบาดอัคคีได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองจิ่นหยางอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างพากันแห่แหนมาขอความช่วยเหลือจากตู้เยี่ยนอวี่มิขาดสาย
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หยุดพัก นางยังคงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งการตรวจวินิจฉัยโรค การปรุงยา และการฝังเข็ม เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้มากที่สุด
“เราต้องจัดตั้งสถานที่พักพิงสำหรับผู้ป่วย” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวกับแพทย์ประจำโรงหมอ “และแยกผู้ป่วยออกจากกัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค”
นางยังเสนอแนวคิดเรื่องการทำความสะอาดสุขอนามัยในพื้นที่ชุมชน การต้มน้ำดื่ม และการทำน้ำสมุนไพรฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ดุจแม่ทัพผู้มีวิสัยทัศน์ที่วางแผนการรบอย่างรอบคอบ
แม้แพทย์ประจำโรงหมอจะรู้สึกแปลกใจกับแนวคิดใหม่ ๆ ของตู้เยี่ยนอวี่ แต่เมื่อเห็นว่าคำแนะนำของนางช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นจริง เขาก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
วันเวลาผ่านไปหลายวัน ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หลับมิได้นอน นางใช้พลังปราณภายในของตนเองอย่างหนัก เพื่อรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก ร่างกายของนางเริ่มอ่อนล้า แต่จิตใจกลับเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและอดทน
ในที่สุดหลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปได้ อัตราการล้มตายของเมืองจิ่นหยางก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้ป่วยหลายคนอาการดีขึ้น และบางคนก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว
“หมอเทวดาตู้ ! ท่านคือผู้มีพระคุณของเมืองจิ่นหยาง !” เจ้าเมืองจิ่นหยางเดินทางมาคารวะตู้เยี่ยนอวี่ด้วยตนเอง “ท่านได้ช่วยชีวิตผู้คนนับหมื่นนับแสนไว้ ข้าจะตอบแทนท่านอย่างงาม”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองมิต้องกล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของมนุษย์เท่านั้น”
นางมิได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่พ้นจากความเจ็บปวด ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังเมืองจิ่นหยางที่กลับมาสงบสุขอีกครา
ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่างโรงเตี๊ยม มองดูดวงดาวที่พร่างพราวเต็มท้องฟ้า ความเหน็ดเหนื่อยจากการรักษาผู้ป่วยนับร้อยนับพันมิได้ทำให้นางรู้สึกท้อถอย หากแต่กลับทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบ
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน
ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงถูกกางออกเต็มโต๊ะ“หอชาด” จางอู๋จีลูบเคราครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ที่ใช้ชื่อนี้อยู่สามแห่ง หนึ่งคือหอตำราเก่าแก่ สองคือร้านจำหน่ายผ้าไหม และสาม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งในย่านบันเทิงที่หรูหราและพลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง “คือโรงละครและหอคณิกาที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีนามว่าหอเหมยแดง เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง เจ้าของของมันเป็นปริศนา และเป็นสถานที่ที่สายของข้ามิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายนัก”“สถานที่ที่ลึกลับและมีอำนาจคุ้มครอง ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมที่ยอดเยี่ยมที่สุด” กู้เหยียนหลงกล่าว แววตาคมกริบดุจเหยี่ยว “เป้าหมายของเราคือที่นั่น”การจะบุกเข้าไปโดยตรงย่อมเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าไปสืบหาความจริงค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้แปลงโฉมเป็นคุณชายเจ้าสำราญและภรรยาคนงามผู้ติดตาม กู้เหยียนหลงในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี ดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองของทายาทคหบดี ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ในชุดสีอ่อนหวานขับเน้นให้ใบหน้างดงามของนางดูบอบบางน่าทะ
ค่ำคืนนั้น วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายการลอบปลงพระชนม์องค์หญิงถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ฝ่าบาททรงพระพิโรธดั่งพายุคลั่ง มีราชโองการให้ปิดประตูวังและสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดที่สุดองค์หญิงลี่หัวปลอดภัยดีภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา แม้พระวรกายจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่พระทัยกลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สลักลึกลงไปในใจของนาง และทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นในตัวตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงมากขึ้นเป็นทวีคูณองค์ชายจ้าวเฟิงแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน เขาทูลแสดงความขุ่นเคืองและห่วงใยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท พร้อมทั้งเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่“การกระทำอันอุกอาจของคนชั่วเหล่านี้ ถือเป็นการหยามเกียรติทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะขออยู่ช่วยสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด เพื่อนำตัวผู้บงการมาลงโทษให้จงได้ !”วาจาของเขานั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจจอมปลอม แต่ก็ทำให้ผู้ที่มิรู้ความนัยต่างเชื่อสนิทใจ มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่า พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กำลังแสร้งทำเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีณ คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ถูกจับเป็นได้
หลายวันผ่านไป ข่าวลือเรื่ององค์หญิงลี่หัวผู้บกพร่องทั้งรูปจริยาและปัญญาได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาอันน่าขบขันไปทั่วทั้งวังหลวง องค์ชายจ้าวเฟิงตกเป็นเป้าสายตาเวทนาและเย้ยหยันอย่างเงียบ ๆเขายังคงสงบนิ่งและเข้าร่วมงานสังคมต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้มที่มิเปลี่ยนแปลง แต่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงกลับรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบนั้น“พยัคฆ์ที่เงียบงัน คือพยัคฆ์ที่กำลังจะกระโจน” กู้เหยียนหลงกล่าวกับตู้เยี่ยนอวี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาถูกเราต้อนจนมุมแล้ว ย่อมต้องหาทางทำลายกระดานหมากนี้ทิ้งเป็นแน่”ด้วยความไม่ไว้วางใจ กู้เหยียนหลงจึงได้แอบส่งหน่วยองครักษ์เงา ซึ่งเป็นทหารฝีมือเยี่ยมและภักดีที่สุดของเขา ให้คอยอารักขาองค์หญิงลี่หัวอย่างลับ ๆ ตลอดเวลาในขณะเดียวกัน มิตรภาพระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวกลับเบ่งบานขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งสองมักจะใช้เวลาสนทนากันในตำหนักขององค์หญิง ตู้เยี่ยนอวี่ได้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและความใฝ่รู้ในตัวองค์หญิงที่ซ่อนอยู่ภายใต้บทบาทองค์หญิงเอาแต่ใจที่นางต้องแสดง“หากข้ามิได้เกิดเป็นองค์หญิง ข้าคงอยากเป็นช่างฝีมือผู้สร้างสรรค์กลไกอันน่าทึ่ง” องค์หญิงลี่หัวก