ยามตรุษวสันต์ผ่านพ้นไป ดอกท้อเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ทว่าในเมืองหลวงบรรยากาศยังคงตึงเครียด แม้ตู้เยี่ยนอวี่ และแพทย์หลวงชางจะสามารถยับยั้งแผนการปล่อยพิษร้ายของ กองทัพเงาอสูรได้สำเร็จ แต่ภัยคุกคามหล่านั้นก็มิได้หายไปสิ้น การต่อสู้ในคืนนั้นทำให้ความจริงอันน่าตกใจบางอย่างถูกเปิดเผย และนำพาตู้เยี่ยนอวี่เข้าสู่โลกแห่งราชสำนักที่นางมิเคยปรารถนาจะข้องเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านควรจะพักผ่อนเสียบ้างนะเจ้าคะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ใบหน้าของนางยังคงซีดเผือดจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา “ท่านมิได้หลับมิได้นอนมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังนั่งปรุงยาในห้องพักของโรงหมอหลวง เงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างอ่อนโยน “มิต้องเป็นห่วงข้าหรอกเสี่ยวจู” ดวงตาของนางยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว “ตราบใดที่โรคระบาดยังมิหมดไป และกองทัพเงาอสูรยังคงเคลื่อนไหว ข้าก็มิอาจพักผ่อนได้อย่างสบายใจ”
แพทย์หลวงชางเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “แม่นางตู้ มีข่าวร้าย”
ตู้เยี่ยนอวี่วางสมุนไพรในมือลงช้า ๆ “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ ?”
“หลังจากที่เราสามารถยับยั้งแผนการปล่อยพิษของกองทัพเงาอสูรได้สำเร็จ ฝ่าบาทก็ได้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว” แพทย์หลวงชางกล่าว “แต่แทนที่จะทรงลงโทษกองทัพเงาอสูร กลับทรงมีรับสั่งให้จับกุมตัวข้าและแม่นางตู้”
ตู้เยี่ยนอวี่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเจ้าคะ ?”
“ข้าเองก็มิอาจล่วงรู้ได้ขอรับ” แพทย์หลวงชางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ได้ยินมาว่ามีขุนนางบางคนในราชสำนักพยายามป้ายสีว่าเราเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรคระบาดครั้งนี้ เพื่อช่วงชิงความดีความชอบจากแม่นางตู้”
ตู้เยี่ยนอวี่กำมือแน่น นางมิเคยคิดว่าความชั่วร้ายจะแฝงกายอยู่ในราชสำนักถึงเพียงนี้ “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ ?”
“เราต้องหนีไปก่อนขอรับ” แพทย์หลวงชางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเรายังคงอยู่ในเมืองหลวง อาจจะต้องถูกจับกุมและถูกลงโทษได้”
ตู้เยี่ยนอวี่มองไปที่เสี่ยวจู ใบหน้าของนางยังคงซีดเผือดด้วยความตกใจ “เสี่ยวจู เจ้ากับข้าจะต้องหนีไปก่อน”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ แล้วผู้ป่วยเหล่านี้เล่าเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“ข้าจะฝากเรื่องดูแลผู้ป่วยไว้กับท่านหมอหลวงชาง และแพทย์หลวงคนอื่น ๆ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “เราจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง เมื่อสามารถไขปริศนาเบื้องหลังเรื่องนี้ได้ทั้งหมด”
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังเมืองหลวงที่จมดิ่งในความทุกข์ระทม ดุจแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนซากปรักหักพัง
ตู้เยี่ยนอวี่ แพทย์หลวงชาง และเสี่ยวจูแอบหนีออกจากโรงหมอหลวงภายใต้ความมืดมิดของราตรี พวกเขาเดินทางไปที่ย่านการค้าลับแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลลับและผู้คนจากทุกสารทิศที่นั่น แพทย์หลวงชางมีสหายเก่าแก่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าของสำนักข่าวกรองลับของราชสำนัก แม้จะเป็นเพียงขุนนางเล็ก ๆ แต่ก็มีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาท และเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์หลวงชาง
“คารวะท่านพี่จาง” แพทย์หลวงชางกล่าวกับชายผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่ง
“ท่านหมอหลวงชาง” ชายผู้นั้นผุดลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “เกิดอันใดขึ้น ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ?”
แพทย์หลวงชางเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้สหายฟังอย่างละเอียด ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูรับฟังอยู่ข้าง ๆ ชายผู้นั้นรับฟังด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ข้ามิเคยคาดคิดว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในราชสำนัก !” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ขุนนางกังฉินเหล่านี้บังอาจนัก !”
“จางอู๋จี ข้าขอร้องท่าน โปรดช่วยสืบหาความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ด้วยเถิด” แพทย์หลวงชางกล่าว “และช่วยหาทางปกป้องแม่นางตู้ด้วย”
จางอู๋จีมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาครุ่นคิด “แม่นางตู้คือหมอเทวดาผู้นั้นเองหรือ ?”
ตู้เยี่ยนอวี่โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าคือตู้เยี่ยนอวี่เจ้าค่ะ”
จางอู๋จีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แม่นางตู้ ความรู้ความสามารถของท่านล้ำเลิศยิ่งนัก ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานแล้ว” เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้นข้าจะช่วยท่าน แต่ท่านจะต้องระมัดระวังตนเองให้ดี”
สหายสนิทของหมอหลวงชางได้อธิบายถึงโครงสร้างของราชสำนัก และอำนาจมืดที่แฝงตัวอยู่ในวังหลวง เขาเชื่อว่ามีขุนนางบางคนกำลังสมคบคิดกับกองทัพเงาอสูร เพื่อโค่นล้มราชบัลลังก์
“หากเป็นเช่นนั้น” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราก็ต้องหาหลักฐานมาเปิดโปงพวกเขาให้ได้เจ้าค่ะ”
–
ยามฤดูใบไม้ผลิผลิบานเต็มที่ ดอกไม้นานาชนิดเบ่งบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ตู้เยี่ยนอวี่และเสี่ยวจูพักอยู่ที่บ้านพักลับของจางอู๋จีในย่านชานเมืองหลวง นางยังคงฝึกฝนกำลังภายในอย่างไม่หยุดหย่อน และศึกษาตำราแพทย์โบราณเพื่อหาทางรักษาโรคระบาดที่ยังคงระบาดอยู่ในเมืองหลวง
จางอู๋จีได้ส่งสายสืบออกไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพเงาอสูรและขุนนางที่สมคบคิดกับพวกเขา ซึ่งข้อมูลที่ได้มานั้นก็น่าตกใจยิ่งนัก พวกเขาพบว่ามีขุนนางระดับสูงหลายคนเป็นพวกเดียวกับกองทัพเงาอสูร และกำลังวางแผนที่จะก่อกบฏในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“แม่นางตู้ นี่คือรายชื่อขุนนางที่สมคบคิดกับกองทัพเงาอสูร” จางอู๋จียื่นม้วนกระดาษม้วนหนึ่งให้ตู้เยี่ยนอวี่ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด
ตู้เยี่ยนอวี่รับม้วนกระดาษมาคลี่อ่าน ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อเห็นรายชื่อขุนนางเหล่านั้น บางคนเป็นขุนนางที่เคยได้รับการเคารพนับถือจากผู้คน
“พวกเขามิได้เพียงแค่ทำร้ายผู้คน แต่ยังทรยศต่อแผ่นดินด้วย” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ
“เราต้องหาหลักฐานที่แน่นหนา เพื่อเปิดโปงความจริงให้ฝ่าบาททรงทราบ” แพทย์หลวงชางกล่าว “แต่การเข้าถึงวังหลวงนั้นมิใช่เรื่องง่ายนัก”
ตู้เยี่ยนอวี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นเราก็จะต้องหาทางลอบเข้าไปในวังหลวงให้ได้เจ้าค่ะ”
แพทย์หลวงชางและจางอู๋จีมองหน้ากันด้วยความตกใจ “แม่นางตู้ ท่านจะทำเช่นนั้นหรือ มันอันตรายยิ่งนัก !”
“ข้าต้องทำเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากเราปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไป เมืองหลวงแห่งนี้จะต้องล่มสลายเป็นแน่”
นางวางแผนการลอบเข้าวังหลวงอย่างละเอียดรอบคอบ นางจะใช้ความรู้ด้านกำลังภายในของตนเอง เพื่อลอบเข้าไปในวังหลวงยามค่ำคืน และค้นหาหลักฐานที่สามารถเปิดโปงความชั่วร้ายของขุนนางกังฉินเหล่านั้นได้ ส่วนแพทย์หลวงชางและจางอู๋จีจะคอยให้ความช่วยเหลือจากภายนอก
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังวังหลวง
ตู้เยี่ยนอวี่สวมชุดที่เรียบง่าย พกยาถอนพิษและอาวุธเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวไปด้วย ในคราแรกเสี่ยวจูอยากที่จะติดตามไปด้วย แต่ครานี้ตู้เยี่ยนอวี่มิอนุญาต เนื่องจากครั้งนี้มันอันตรายเกินไป
“คุณหนู ท่านจะต้องระวังตัวให้มากนะเจ้าคะ !” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า
ตู้เยี่ยนอวี่ลูบศีรษะของเสี่ยวจูอย่างแผ่วเบา “มิต้องเป็นห่วงหรอกเสี่ยวจู ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
นางใช้ความรู้ด้านกำลังภายในของตนเอง เพื่อปีนข้ามกำแพงวังหลวงอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ภายในวังหลวงนั้นใหญ่โตและซับซ้อนยิ่งนัก ดุจเขาวงกตที่ไร้ทางออก ตู้เยี่ยนอวี่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหว เพื่อมิให้ถูกทหารเวรยามตรวจพบ
นางเดินสำรวจไปตามห้องต่าง ๆ ในวังหลวงอย่างเงียบเชียบ เพื่อค้นหาหลักฐานที่สามารถเปิดโปงความชั่วร้ายของขุนนางกังฉินเหล่านั้นได้ ในที่สุดนางก็มาถึงห้องทำงานของขุนนางคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มกังฉิน ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่ในรายชื่อที่จางอู๋จีได้มอบให้
ตู้เยี่ยนอวี่ลอบเข้าไปในห้องทำงานอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องนั้นมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเล็กน้อย นางค้นหาหลักฐานอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ในที่สุดนางก็พบนครม้วนกระดาษลับซ่อนอยู่ในลิ้นชักลับของโต๊ะทำงาน เมื่อคลี่ออกอ่าน ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ ในนั้นมีรายละเอียดแผนการก่อกบฏทั้งหมด รวมถึงรายชื่อขุนนางที่สมคบคิดกับกองทัพเงาอสูร และแผนการที่จะปลงพระชนม์ฝ่าบาทในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ชั่วร้ายยิ่งนัก !” ตู้เยี่ยนอวี่พึมพำกับตนเองด้วยความโกรธแค้น ดวงตาของนางฉายแววแน่วแน่ “ข้าจะต้องหยุดยั้งพวกเขาให้ได้ !”
นางรีบเก็บม้วนกระดาษลับนั้นใส่ในเสื้อคลุม และเตรียมที่จะออกจากห้องทำงานทันที ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก ตู้เยี่ยนอวี่รีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านบังตาอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
ประตูห้องทำงานเปิดออกเผยให้เห็นร่างของชายผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง ดวงตาของเขาฉายแววอำมหิต เขาคือขุนนางผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มกังฉิน
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบเชียบ และจุดไฟจนสว่างจ้า ตู้เยี่ยนอวี่ลอบมองเขาจากหลังม่านบังตา หัวใจของนางเต้นระรัว
ชายผู้นั้นเดินตรงไปยังลิ้นชักลับของโต๊ะทำงาน และเปิดออก แต่เมื่อเห็นว่าม้วนกระดาษลับหายไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ใคร ! ใครบังอาจเข้ามาในห้องของข้า !” ชายผู้นั้นร้องด้วยความโกรธ เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง
ตู้เยี่ยนอวี่รู้ดีว่าตนเองถูกจับได้แล้ว นางตัดสินใจที่จะเปิดเผยตัว เพื่อเผชิญหน้ากับความจริง
นางก้าวออกมาจากหลังม่านบังตาอย่างช้า ๆ ใบหน้าของนางสงบนิ่ง แต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว
“ข้าเองเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ชายผู้นั้นมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยความตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “เจ้า ! เจ้าเป็นใคร ! เจ้าเข้ามาในวังหลวงได้อย่างไร !”
“ข้าคือตู้เยี่ยนอวี่เจ้าค่ะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “และข้ารู้แผนการชั่วร้ายของพวกท่านทั้งหมดแล้ว”
ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! เด็กน้อย เจ้าบังอาจนัก ! เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถหยุดยั้งแผนการของพวกข้าได้”
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะหยุดยั้งพวกท่านให้ได้” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้และผู้คนบริสุทธิ์”
กล่าวจบ ชายผู้นั้นก็พุ่งเข้าใส่ตู้เยี่ยนอวี่ทันที
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หวาดหวั่น นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว แต่แฝงด้วยพลังที่แข็งแกร่ง กำลังภายในที่ฝึกฝนมาตลอดถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ตู้เยี่ยนอวี่พยายามใช้กำลังภายในของตนเองเพื่อรับมือกับชายผู้นั้น แต่เขามีวรยุทธ์ที่สูงส่ง และเป็นผู้ที่ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ตู้เยี่ยนอวี่กัดฟันแน่น ฝ่ามือทั้งสองสั่นเทาเล็กน้อยด้วยแรงกระแทกจากการปะทะเมื่อครู่ ร่างของนางถอยหลังไปสองก้าว เลือดในอกไหลย้อนขึ้นมาแทบถึงลำคอ แม้จะฝืนกลืนมันกลับลงไป แต่นางรู้ดีว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบ
ชายผู้นั้นยกยิ้มเย้ยหยัน “ฮึ เจ้าไม่มีทางชนะข้าได้หรอก !”
แววตาของตู้เยี่ยนอวี่กลับแน่วแน่ยิ่งขึ้น ดั่งน้ำแข็งที่ไม่อาจละลาย “ข้าจะไม่มีวันยอมพ่ายให้คนเช่นท่าน”
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยให้สติรวมศูนย์อยู่ที่ปลายฝ่ามือ แล้วรอจังหวะเพียงชั่วพริบตา เมื่อชายผู้นั้นพุ่งเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกำลังภายในมหาศาล นางกลับเบี่ยงกายหลบอย่างอ่อนช้อย และในชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง
ปลายนิ้วของนางแทงเข้าไปยังจุดลมปราณใต้รักแร้ข้างขวาของเขาอย่างแม่นยำ !
“อั่ก !” ชายผู้นั้นทรุดลงทันที ร่างสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด มือกุมแขนที่ไร้เรี่ยวแรง “เจ้า เจ้ากล้าแทงข้า !”
ตู้เยี่ยนอวี่มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น “นี่มิใช่เพราะข้าเก่งกว่า แต่เพราะท่านประมาทเอง”
เสียงของนางแม้แผ่วเบา แต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจ “จำเอาไว้ให้ดี หากยังกล้ากระทำชั่วอีก ครานี้ข้าจะมิไว้ชีวิตท่านอีก”
นางหันหลังเดินจากไปช้า ๆ แม้ร่างกายจะอ่อนแรง แต่ทุกย่างก้าวกลับมั่นคงเฉกเช่นวีรสตรีผู้มีเป้าหมายแน่วแน่
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้เสียเวลา นางรีบออกจากห้องทำงานทันที ทิ้งให้ชายผู้นั้นนอนกองอยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด นางต้องรีบนำหลักฐานนี้ไปให้ฝ่าบาททรงทราบ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ยามราตรีที่ดวงจันทร์ลอยเด่นทอแสงนวลละมุนลงมาคล้ายม่านเงินที่โอบล้อมวังหลวงไว้ในอ้อมแขนแห่งความสงบ ตู้เยี่ยนอวี่เร่งฝีเท้าไปตามระเบียงยาวด้วยความคล่องแคล่ว เงาร่างของนางเคลื่อนไหวเงียบงันดุจเงาสะท้อนในสายน้ำ หัวใจเต้นถี่ด้วยแรงกังวล แต่ภายในกลับหนักแน่นด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ดุจเปลวเทียนที่ไม่หวั่นไหวในลมแรง
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ