ยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังวังหลวง ดุจแสงทองที่ส่องกระทบหยกขาว ตู้เยี่ยนอวี่ยังคงวิ่งไปตามทางเดินในวังหลวงอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ หัวใจของนางเต้นระรัวดุจกลองศึกที่รัวขึ้นในยามสงคราม หลักฐานชิ้นสำคัญที่อยู่ในมือเปรียบดุจแสงประทีปที่จะนำพานางไปสู่การเปิดโปงความจริงอันชั่วร้ายที่แฝงกายอยู่ในราชสำนัก นางต้องนำมันไปถึงมือฝ่าบาทให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ระหว่างทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ตู้เยี่ยนอวี่หันกลับไปมองก็พบกลุ่มทหารวังหลวงในชุดเกราะสีดำจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามนางมาด้วยความรวดเร็ว
“หยุดเดี๋ยวนี้ ! เจ้าผู้บุกรุก !” เสียงหัวหน้าทหารวังหลวงดังก้องไปทั่วทางเดิน
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้หยุดวิ่ง นางรู้ดีว่าหากถูกจับกุมก็มิอาจนำหลักฐานนี้ไปถึงมือฝ่าบาทได้ นางใช้กำลังภายในของตนเองเพื่อเพิ่มความเร็วในการวิ่ง
ทหารวังหลวงเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี วรยุทธ์ของพวกเขาแข็งแกร่ง และจำนวนของพวกเขาก็มากกว่านางหลายเท่าตัว พวกเขาโอบล้อมตู้เยี่ยนอวี่ไว้ทุกด้าน
“เจ้ามิมีทางหนีพ้นหรอก !” หัวหน้าทหารวังหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พลางชักกระบี่ออกจากฝัก แสงคมกระบี่สะท้อนกับแสงจันทร์
ตู้เยี่ยนอวี่หยุดวิ่ง นางมองไปที่ทหารวังหลวงเหล่านั้นด้วยใบหน้าสงบนิ่ง แต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว “พวกท่านมิควรขัดขวางข้า ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องทูลฝ่าบาท !”
“เรื่องอันใดกัน !” หัวหน้าทหารวังหลวงหัวเราะเสียงดัง “เด็กน้อยเช่นเจ้า จะมีเรื่องอันใดสำคัญที่จะต้องทูลฝ่าบาทได้ !”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของแผ่นดินนี้ และชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับแสน !” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากพวกท่านยังคงขัดขวางข้า ต่อไปพวกท่านจะต้องเสียใจเป็นแน่”
หัวหน้าทหารวังหลวงไม่ฟังแม้ครึ่งคำ สั่งการเสียงกร้าว “จับนางไว้ ! อย่าให้หนีไปได้ !”
ทหารวังหลวงกรูกันเข้ามาโดยไม่รอช้า แต่ตู้เยี่ยนอวี่กลับไม่มีแม้แต่เงาของความหวาดกลัว นางก้าวเท้าอย่างว่องไว เคลื่อนไหวดุจสายลมแหวกม่านหมอก ท่วงท่าพลิ้วไหวราวหยกต้องลม แต่แฝงไว้ด้วยพลังมหาศาลจากการฝึกฝนมาแรมปี
เสียงกระบี่ปะทะเสียงหมัด เสียงฝีเท้าปะทะอากาศ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด นางใช้กำลังภายในตอบโต้การโจมตีจากทุกทิศทาง แต่จำนวนของศัตรูนั้นมากเกินไป ดั่งฝนห่าหนักที่โหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน
“เด็กคนนี้ ร้ายกาจนัก !” หัวหน้าทหารคำรามเสียงกร้าว “พวกเจ้า ล้อมนางไว้ให้หมด !”
เหล่าทหารโถมเข้าใส่ราวฝูงอสรพิษตื่นตระหนก ตู้เยี่ยนอวี่แม้จะหลบหลีกและโต้กลับได้อย่างงดงาม แต่แรงกดดันกลับเพิ่มขึ้นทุกขณะ เสมือนเรือน้อยกลางมหาสมุทรที่เผชิญคลื่นลูกใหญ่ซัดถาโถมไม่หยุดหย่อน
ทว่าก็เกิดเสียงดัง ฟึ่บ ! ฉับ !
กระบี่ของหัวหน้าทหารเฉือนเข้าที่ไหล่ของนางอย่างจัง ความเจ็บแปลบแล่นพล่านทั่วร่าง เลือดสีแดงฉานทะลักออกมาจากบาดแผล ราวน้ำหมึกที่หยดลงบนผืนผ้า
ตู้เยี่ยนอวี่กัดฟันแน่น นางรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มิใช่เพียงอันตราย แต่นับเป็นเส้นบาง ๆ ระหว่างชีวิตกับความตาย
นางไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเสี่ยง
ในชั่ววินาที นางรวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ไว้ในฝ่ามือ ปราณเคลื่อนไหวดั่งพายุหมุน ก่อนนางจะซัดออกไปตรงหน้าด้วยเสียงคำรามในใจ
ตูม !
คลื่นพลังมหาศาลกระแทกเข้าใส่ทหารวังหลวงอย่างจัง ร่างพวกเขากระเด็นไปคนละทิศละทาง ราวใบไม้ปลิวไสวในลมแรง
นางไม่รอช้า ฉวยจังหวะนั้นพุ่งตัวออกจากวงล้อมราวสายฟ้าที่ฟาดผ่ากลางฟากฟ้า
“ตามไป ! อย่าให้นางหนีรอดไปได้ !”
เสียงตวาดลั่นของหัวหน้าทหารดังสนั่น
เสียงฝีเท้าดังตามมาติด ๆ เหมือนเงามืดไล่หลัง ตู้เยี่ยนอวี่วิ่งไปตามทางเดินอันคดเคี้ยวในวังหลวง หัวใจเต้นรัวราวกลองศึก แต่ในดวงตาของนางยังเปล่งแสงแห่งความมุ่งมั่นไม่เสื่อมคลาย
หลักฐานนี้ต้องถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาทให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ทว่าในที่สุดนางก็มาถึงทางเข้าตำหนักของฝ่าบาท ตู้เยี่ยนอวี่มิได้ลังเล นางรีบพุ่งเข้าไปในตำหนักทันที
ภายในตำหนักนั้นเงียบสงบยิ่งนัก มีเพียงแสงไฟที่ส่องสว่างเพียงน้อยนิด ตู้เยี่ยนอวี่เห็นร่างของฝ่าบาทประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม ใบหน้าของพระองค์ดูอ่อนล้าและซีดเซียว
“ฝ่าบาท ! ขอทรงโปรดทรงฟังคำกราบบังคมทูลของหม่อมฉันด้วยเพคะ !” ตู้เยี่ยนอวี่ร้องเสียงดัง พลางคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์
เสียงของนางทำให้ทหารวังหลวงที่กำลังวิ่งตามมาหยุดชะงัก พวกเขามิอาจบุกรุกเข้าไปในตำหนักของฝ่าบาทได้โดยพลการ
ฝ่าบาทค่อย ๆ ลืมพระเนตรขึ้น มองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความสับสน
“เจ้าเป็นใคร ? เจ้าเข้ามาในตำหนักของข้าได้อย่างไร ?”
“หม่อมฉันคือตู้เยี่ยนอวี่เพคะ” นางตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่แฝงด้วยความมั่นคง “หม่อมฉันมีหลักฐานสำคัญที่จะต้องทูลฝ่าบาทเพคะ”
นางยื่นม้วนกระดาษลับที่อยู่ในมือให้แก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทรับม้วนกระดาษมาคลี่อ่านอย่างช้า ๆ ใบหน้าของพระองค์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออ่านจบ พระองค์ถึงกับทรงกริ้ว ใบหน้าของพระองค์แดงก่ำ
“พวกขุนนางกังฉินเหล่านี้ บังอาจนัก !” ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “พวกมันวางแผนที่จะโค่นล้มราชบัลลังก์ และปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นรึ !”
ตู้เยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท และพวกเขายังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรคระบาดในเมืองหลวงทั้งหมดด้วยเพคะ”
ฝ่าบาททรงมองตู้เยี่ยนอวี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทึ่ง
“เจ้า เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนักที่นำความจริงมาเปิดเผยให้ข้าได้ทราบ” พระองค์ทรงมองไปที่บาดแผลบนไหล่ของตู้เยี่ยนอวี่ “เจ้าบาดเจ็บมิใช่น้อย”
“หม่อมฉันมิเป็นอันใดเพคะ” ตู้เยี่ยนอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ขอเพียงฝ่าบาททรงทราบความจริงและสามารถหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของพวกเขาได้ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”
ฝ่าบาททรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะออกราชโองการให้จับกุมขุนนางกังฉินเหล่านี้ทันที และจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์”
ตู้เยี่ยนอวี่ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางมิเคยคาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้
“หม่อมฉันมิอาจรับเกียรตินี้ได้เพคะฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงถ่อมตน “หม่อมฉันเพียงปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนเท่านั้นเพคะ”
“เจ้ามิต้องปฏิเสธ” ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “เจ้าได้ช่วยชีวิตผู้คนนับหมื่นนับแสนไว้ และยังได้ช่วยปกป้องราชบัลลังก์ของข้า นี่คือสิ่งตอบแทนที่เจ้าสมควรได้รับ”
ยามอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังวังหลวง เดือนห้า ปีวสันต์ รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบเก้า
ราชโองการจากฝ่าบาทถูกประกาศออกไปทั่วเมืองหลวง ขุนนางกังฉินที่สมคบคิดกับกองทัพเงาอสูรถูกจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย กองทัพเงาอสูรที่เหลือรอดก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง
เมืองหลวงกลับมาสงบสุขอีกครา ผู้คนที่เคยจมดิ่งในความทุกข์ระทม กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง ตู้เยี่ยนอวี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์ และได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คนทั่วแผ่นดิน
แม้จะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง แต่ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หลงระเริงในเกียรติยศชื่อเสียง นางยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้คนต่อไป
ยามราตรี ดวงจันทร์ทอแสงนวลผ่องลงมายังวังหลวง ตู้เยี่ยนอวี่นั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องพักของแพทย์หลวง มองดูแสงจันทร์ที่ทอแสงลงมายังเมืองหลวงที่กลับมาสงบสุขอีกครา ความเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้และการช่วยเหลือผู้คน มิได้ทำให้นางรู้สึกท้อถอย หากแต่กลับทำให้ใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุขสงบ ดุจทะเลสาบที่ราบเรียบยามไร้ลมพัด
“เส้นทางข้างหน้ายังคงยาวไกล” นางรำพึงรำพันกับตนเอง “แต่ข้าจะมิมีวันท้อถอย จะใช้ชีวิตนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด ดุจบุปผาที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ รอคอยวันเวลาที่จะแผ่กลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วทุกหนแห่ง เพื่อนำพาความสงบสุขกลับคืนมา”
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ