ซินหยานเดินกลับไปส่งทุกคนที่ห้อง เพราะนางไม่อยากให้พวกเขารู้เรื่องที่นางต้องไปทำ หากรู้ท่านพ่อ ท่านพี่ของนางต้องตามไปด้วยแน่ นางไม่อยากจะห่วงหน้าพะวงหลัง
เมื่อส่งทุกคนเรียบร้อยแล้ว เชาชื่อก็นำชุดอำพรางสีดำออกมาให้นาง
"แม้แต่ชุดเจ้าก็เตรียมไว้พร้อม" ซินหยานอดที่จะเอ่ยค่อนแคะเชาชื่อมิได้
"ไปได้แล้วขอรับ"
"รู้แล้ว" ซินหยานกระโดดออกทางหน้าต่างแล้วรีบวิ่งไปทางภูเขาทันที
"เจ้าไม่มีตัวช่วยให้ข้าเลยหรือ" ซินหยานหยุดพัก เพราะร่างกายนางในยามนี้อ่อนแอกว่าภพก่อนมากนัก
เชาชื่อกลอกตาก่อนจะส่งยามาให้นางหนึ่งขวด ซินหยานมองขวดยาในมือ นางไม่เอ่ยถามแต่คิดว่าคงเป็นตัวช่วยที่ดี นางจึงยกขึ้นดื่มจนหมด
เพียงชั่วลมหายใจเดียว สายตาของนางก็มองทุกสิ่งในความมืดชัดเช่นในตอนกลางวัน ตัวของซินหยานในยามนี้ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งมาหายไปสิ้น
นางเริ่มออกวิ่งอีกครั้งจึงได้รู้ว่าฝีเท้าที่ใช้วิ่งเร็วและเบาขึ้น เมื่อลองกระโดดตัวของซินหยานก็ลอยไปอยู่บยยอดไม่ได้อย่างใจนึก
"วิเศษ" นางหัวเราะร่าอย่างชอบใจ
"จะไม่ทันแล้วขอรับ" เชาชื่อเอ่ยเตือน
ซินหยานจึงต้องรีบมุ่งหน้าไปทางที่เชาชื่อบอก ประสาทการรับรู้ การได้ยินของนางชัดขึ้น เสียงการต่อสู้ที่อยู่ด้านหน้า เหมือนนางได้ยืนมองดูอยู่ใกล้ๆ
"ต้องช่วยผู้ใด"
"บุรุษที่ใส่ชุดดำขอรับ"
"มันดำทั้งหมด" ซินหยานเอ่ยอย่างมีโทสะ
"เอ่อ บุรุษที่รูปงามที่สุดขอรับ"
"โอ๊ย ปิดหน้าทุกคน" ซินหยานในยามนี้เกือบจะทึ้งหัวตัวเองอยู่แล้ว
"เช่นนั้น ท่านก็ช่วยคนที่กำลังถูกที่เหลือล้อมอยู่ขอรับ"
"ก็แค่นี้" สิ้นคำซินหยานก็กระโดดเข้าไปยืนข้างบุรุษผู้นั้น
"เจ้าเป็นใคร"
"เป็นผู้ที่มาสังหารคนโง่เช่นเจ้าอย่างไรเล่า" ซินหยานไม่รอให้พวกมือสังหารพูดตอบ
บุรุษที่นางไปช่วยก็ยืนมองอย่างตกตะลึง ซินหยานในยามนี้ก็ปิดบังใบหน้าอยู่เช่นกัน นางเรียกมีดสั้นทั้งสองด้ามออกมา แล้วพุ่งตัวเข้ามามือสังหารทันที
ตัวช่วยที่เชาชื่อให้มาช่วยนางได้เยอะ เพราะความเร็วและความคล่องตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก เพียงชั่วกะพริบตามือสังหารคนแรกที่มัวแต่ตกตะลึงว่านางมาจากที่ใด ก็ถูกปาดคอจนเกือบขาด
"มัวแต่ยืนโง่กันอยู่ได้ เข้ามา ทำเช่นนี้ข้าไม่สนุกสักนิด" ซินหยานเอ่ยอย่างหัวเสีย นางได้ออกมาทำภารกิจทั้งที อยากเจอคนที่สู้กับนางอย่างสมน้ำสมเนื้อสักหน่อย
สิ้นคำของซินหยานเหมือนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดี มือสังหารเปลี่ยนทิศมาที่นางทั้งหมดแทน การเรียกแขกของนางช่างได้ผลยิ่งนัก
"แล้วเจ้าจะยืนบื้อไม่ช่วยข้าหรือไง"
ซินหยานที่ถูกมือสังหารบุกเข้ามาทุกทางก็เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย บุรุษที่นางมาช่วยในยามนี้กลับยืนมองเฉยๆ
"ซินหยานระวังหลัง" เชาชื่อคือตัวช่วยที่ดีของนางเช่นเคย
ซินหยานเบี่ยงตัวหลบคมดาบที่ฟาดลงมาจากด้านหลังก่อนจะปามีดสั้นไปที่คอของมือสังหารอย่างแม่นยำ นางกระโดดเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้านก่อนจะใช้มีดสั้นที่เหลือเพียงด้ามเดียวแทงเข้าที่อกของมือสังหารตรงหน้า
การต่อสู้ดำเนินไปเกือบครึ่งชั่วยามซินหยานกับบุรุษปริศนาที่นางมาช่วยก็จัดการมือสังหารนับสิบลงได้ นางได้รับบาดเจ็บที่แขนแต่ไม่ได้ลึกมากจึงไม่ได้สนใจบาดแผล
ซินหยานเดินไปดึงมีดสั้นที่นางปาทิ้งไว้กลับมาแล้วเช็ดเลือดจนสะอาดนางก็เก็บไปที่ข้างเอว ก่อนจะหันหลังเพื่อจะกลับเรือน
"ประเดี๋ยวก่อน" บุรุษปริศนาเอ่ยเรียกนาง
"มีอันใด"
"ข้าแซ่มู่ นามหยาง ข้าขอทราบนามผู้มีพระคุณได้หรือไม่" เขาดึงผ้าที่ปิดหน้าออกเพื่อแสดงความจริงใจ
"นามข้าหรือ สืออี" ซินหยานเลือกที่จะบอกนามเดิมของนาง ต่อให้เขาไปเสาะหาก็คงจะหาไม่พบ
"สืออี เจ้าได้รับบาดเจ็บ" เขาเดินเข้ามาดูบาดแผลของซินหยาน แต่นางเบี่ยงตัวหลบ
"ท่านก็ไม่ต่างจากข้า"
เชาชื่อส่งขวดยาเพื่อให้ซินหยานมอบให้มู่หยาง ซินหยานบีบขวดยาแน่นอย่างมีโทสะ นางก็บาดเจ็บแต่เชาชื่อไม่ยอมส่งให้นาง
"เชาชื่อเจ้าลืมหรือไม่ว่าข้าก็บาดเจ็บ"
"ท่านได้บ่อน้ำวิเศษแล้วขอรับ เมื่อกลับเรือนก็ลงไปแช่ได้เลย" ซินหยานจึงยิ้มในใจ
"ท่านดื่มยาเสีย" นางส่งให้เขาอย่างไม่เต็มใจ
ซินหยานถลึงตาใส่มู่หยาง เมื่อเห็นว่าเขามองที่ขวดยาอย่างสงสัย
"ข้ามาช่วยท่านถึงบนเขา แล้วจะฆ่าท่านได้อย่างไร" ซินหยานเอ่ยเสียงเย็นอย่างรำคาญ
"เข้าใจแล้ว" มู่หยางยกขวดยาขึ้นดื่มจนหมด
เพียงไม่นานร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บก็เหมือนจะทุเลาลง เลือดก็หยุดไหลราวปาฏิหาริย์ เรี่ยวแรงที่สิ้นไปแล้วก็เหมือนจะฟื้นตัวกลับมาอาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
"หมดเรื่องของข้าแล้ว ขอตัว" ซินหยานกระโดดหายไปทันที
นางไม่รู้เลยว่ามู่หยางก็ติดตามนางมาติดๆ ที่ซินหยานไม่รู้ตัวเป็นเพราะนางกำลังสื่อสารกับเชาชื่อเรื่องบ่อน้ำวิเศษว่านางจะนำไปไว้ที่ใดถึงจะดี
"ท่านตามข้ามาทำไม" ซินหยานที่กำลังจะกระโดดเข้าเรือนก็จับสังเกตได้ว่าในยามนี้มู่หยางมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของนาง
"ข้าจะขอพักที่เรือนของเจ้าสักคืนได้หรือไม่"
"ห๊ะ"
"ข้าขอพักที่.." ซินหยานยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เข้าพูดต่อ
"ข้าช่วยท่านแล้วยังต้องให้ที่พักอีกหรือ" ซินหยานกอดอกมองอย่างไม่พอใจ
แต่เสียงของทั้งคู่ทำให้จางเหลี่ยงที่กำลังเห่อตำราใหม่ของตนได้ยินจึงออกมาดู
"ผู้ใด" จางเหลี่ยงเร่งฝีเท้าเดินออกมาดูที่ข้างกำแพง
"จะบ้า" ซินหยานตบหน้าผากของนางก่อนจะหันไปถลึงตาใส่มู่หยางอย่างคาดโทษ
ฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก