เมื่อจางเหลี่ยงเดินออกมาจากประตูข้างกำแพงเรือนก็พบน้องสาวในชุดสีดำ แขนข้างซ้ายของนางยังมีเลือดไหลออกมา แล้วยังมีบุรุษมาจากที่ใดไม่รู้ยืนอยู่ด้านหลัง
"หยานเออร์เจ้าไปที่ใดมา เหตุใดทั้งบาดเจ็บเช่นนี้" ซินหยานกลอกตามองบน "ไว้ข้าเล่าให้ท่านฟังทีหลังเจ้าค่ะ" ซินหยานตบไปที่หลังมือของจางเหลี่ยง เพราะยามนี้พี่ชายของนางเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว "แล้วนี่ผู้ใด" จางเหลี่ยงชี้ไปที่ด้านหลังของซินหยาน "คนผ่านทางเจ้าค่ะ ขอพักที่เรือนหนึ่งคืน ฝากท่านพี่ดูแลด้วยเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน" ซินหยานตบบ่าของพี่ชายก่อนที่นางจะเดินเข้าเรือนไป จางเหลี่ยงมองไปที่มู่หยางอย่างงงงวย เพราะน้องสาวทิ้งเรื่องที่ทำไว้แล้วให้เขาจัดการ "เช่นนั้นท่านตามข้ามาขอรับ" จางเหลี่ยงเดินนำมู่หยางไปที่ห้องรับรองภายในเรือน "ท่านต้องการอะไรเรียกข้าได้ขอรับ ข้าอยู่ห้องด้านข้างของท่าน" จางเหลี่ยงเมื่อส่งมู่หยางแล้วก็ออกจากห้องไป ก่อนที่เขาจะไปเข้าได้บอกวิธีใช้ห้องน้ำ อ่างอาบน้ำให้มู่หยางไว้แล้ว หากน้องสาวกล้าพามาก็คงไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องใด นี่คือสิ่งที่จางเหลี่ยงคิดไปเอง มู่หยางมองสิ่งของที่อยู่ในห้องอย่างประหลาดใจ เครื่องเรือนและที่นอนเขาที่มาจากตระกูลใหญ่ยังไม่เคยได้พบเห็น ห้องน้ำภายในห้องนอนก็ชวนให้คนตกตะลึงยิ่งนัก โถส้วมเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีบ่าวคอยยกไปทิ้งเลย อ่างอาบน้ำเพียงแค่หมุนที่ปิดเปิดก็มีน้ำไหลออกมาแล้ว ไม่ต้องเรียกให้บ่าวจัดเตรียมน้ำให้ยุ่งยาก แต่เหตุใดถึงมีน้ำอุ่นออกมาได้เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน จางเหลี่ยงกลับมาที่ห้องของมู่หยางอีกครั้งเพื่อนำเสื้อผ้าของบิดามาให้มู่หยาง และนำอาหารมาให้เขาด้วย "ขอบคุณท่านมาก" มู่หยางกล่าวขอบคุณจางเหลี่ยง "ไม่ต้องขอบคุณข้าขอรับ ท่านเป็นแขกของหยานเออร์ข้าย่อมต้องดูแลท่านอย่างดี" จางเหลี่ยงกล่าวจบก็เตรียมจะออกไป "ประเดี๋ยว นางมิได้ชื่อสืออีหรือ" มู่หยางเอ่ยถามอย่างแปลกใจ "สืออีหรือ น้องสาวข้าจางซินหยานขอรับ สืออีคือผู้ใด" จางเหลี่ยงมองมู่หยางเหมือนมองคนโง่ มากับน้องสาวตนแม้แต่ชื่อยังเรียกผิด จางเหลี่ยงทิ้งให้มู่หยางยืนอึ้งอยู่ที่หน้าห้อง ตัวเขาเดินกลับไปนอนที่ห้องของตน ซินหยานเมื่อกลับมาถึงห้องของตนนางก็เข้าไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย "เชาชื่อ เจ้านำน้ำออกมาให้ข้าก่อนได้หรือไม่" เพราะยังมีมู่หยางอยู่ในเรือน ซินหยานจึงไม่อยากนำบ่อน้ำวิเศษออกมาในตอนนี้ "ได้ขอรับ" เชาชื่อนำน้ำวิเศษออกมาใส่ในอ่างอาบน้ำของซินหยาน ซินหยานถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปแช่ในอ่างน้ำ ความอุ่นของน้ำทำให้ซินหยานผ่อนคลายยิ่งเป็นน้ำวิเศษด้วยแล้วก็ยิ่งช่วยให้ร่างกายของนางที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว บาดแผลตามตัวของซินหยานก็ค่อยๆ เลือนหายไป ซินหยานหลับตาลงแช่น้ำอย่างสบายใจนางจึงยังไม่ได้รับรู้ว่าร่างกายของนางในยามนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อขึ้นจากน้ำซินหยานนางก็เช็ดผมจนแห้งแล้วทิ้งตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว วันต่อมาซินหยานนางจึงตื่นสาย เมื่อชุยเหมยนางจะเดินมาดูบุตรสาวก็พบว่านางยังไปตื่นจากที่นอน พอจะเรียกจางเหลี่ยงก็เอ่ยห้ามไว้ พร้อมทั้งพามู่หยางมาแนะนำตัวกับบิดามารดา "เอ่อ คุณชายมู่ท่านว่าหยานเออร์ไปช่วยชีวิตท่านไว้เมื่อคืนหรือขอรับ" จางเทียนกว่าจะหาเสียงเจอแล้วเอ่ยถามมู่หยางเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน "ขอรับ" มู่หยางมองทุกคนอย่างแปลกใจ คนในครอบครัวของนางไม่รู้ว่านางออกไปช่วยชีวิตเขา จะเป็นไปได้อย่างไร "เช่นนั้น ทานอาหารกันเสียก่อนเถิด ของหยานเออร์ข้าเก็บไว้ให้นางแล้ว" ชุยเหมยไม่เหมือนจางเทียนที่ยังตกตะลึงเรื่องของบุตรสาว หากมีเรื่องอันใดที่สงสัยสู้เก็บไว้ถามบุตรสาวเสียดีกว่า จางเหลี่ยงเดินตามมารดาไปที่ห้องครัวเพื่อยกอาหารมาขึ้นโต๊ะ มู่หยางกำลังจะเดินตามไปแต่ถูกจางเทียนเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน "ท่านแม่ มีอะไรกินบ้างเจ้าค่ะ" ระหว่างที่ทุกคนกำลังทานอาหาร ซินหยานที่เพิ่งตื่นท้องของนางก็หิวเสียแล้ว "หยานเออร์เจ้า" จางเทียนมองบุตรสาวอย่างตกตะลึง จางเหลี่ยงที่กำลังจะร้องบอกน้องสาวก็ถูกชุยเหมยหยิกแขนไว้เสียก่อน จางเทียนก็โดนเช่นกัน ความลับของบุตรสาวตนมากมาย ยิ่งมีผู้อื่นอยู่ด้วยยิ่งไม่สมควรถามอะไรในตอนนี้ "ในเมื่อตื่นแล้วก็มานั่งกินเสีย" ชุยเหมยร้องเรียกให้บุตรสาวมานั่งข้างตน มู่หยางที่เพิ่งได้เห็นใบหน้าของซินหยานก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เหตุใดสาวน้อยที่งดงามราวนางจิ้งจอกเช่นนี้ถึงได้กล้าลงมือสังหารคนอย่างเลือดเย็น ในยามนี้มู่หยางไม่รู้จะต้องตกตะลึงกับครอบครัวนี้มากน้อยเพียงใด โต๊ะอาหารที่หมุนได้ เมื่ออยากกินสิ่งใดก็ไม่ต้องเอื้อมมือ เพียงแค่หมุนให้จานอาหารมาอยู่ตรงหน้าตน สิ่งนี้แม้แต่ในวังหลวงยังไม่มีให้พบเห็น รสชาติอาหารก็ดีเสียยิ่งกว่าเหลาอาหารในเมืองหลวงเสียอีก ซินหยานไม่ได้สนใจในตัวมู่หยางที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่นางลงมือกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย และขอข้าวเพิ่มจากมารดาอีกหนึ่งถ้วย "เจ้าไปทำอันใดมาถึงได้หิวโหยเช่นนี้" ชุยเหมยต้องมองค้อนบุตรสาวที่ไม่สำรวมเมื่อมีคนนอกอยู่ด้วย ซินหยานปรายตาไปทางมู่หยาง ก่อนจะกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อนเพื่อขอข้าวเพิ่มฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก