จางเทียนเคยสร้างบ้านให้คนในหมู่บ้านอยู่หลายหลัง แต่คนงานที่ช่วยเหลือเขาเมื่อเขาบาดเจ็บต่างก็แยกย้ายกันไปหางานอื่นทำ ในยามนี้เขาจึงต้องหาคนในหมู่บ้านที่อยากจะทำงานมาช่วยสร้างเรือนแทน
"ได้ได้ ข้าจะไปถามชาวบ้านให้" ท่านลุงตงย่อมต้องยินดี เพราะชาวบ้านส่วนมากนอกจากทำนาแล้วก็หาของป่า เงินที่ได้มาใช้จ่ายย่อมไม่พอ หากมีงานเข้ามาใครบ้างจะไม่อยากทำ
สองวันต่อมาท่านลุงตงก็นำเอกสารที่ดินมาส่งให้จางเทียนที่เรือนพร้อมทั้งบอกเรื่องที่ชาวบ้านต้องการมาช่วยพวกเขาสร้างเรือน จางเทียนจึงให้ชาวบ้านทั้งหมดมาพบเขาที่เรือนเพื่อดูว่าจำนวนเท่าใด
จากแบบที่ซินหยานอยากได้ คงต้องใช้คนมากเสียหน่อย จางเหลี่ยงก็พาบิดาเข้าเมืองเพื่อไปสั่งซื้อกระเบื้องมามุงหลังคา ซินหยานนางอยากได้อิฐมาสร้างบ้านมากกว่า แต่คงจะแปลกเกินไปสำหรับยุคนี้
เรื่องเรือนหลังใหม่นางก็ปล่อยให้บิดาเป็นผู้จัดการไปเลย ส่วนนางช่วยมารดาดูแลเรื่องอาหารเลี้ยงชาวบ้านที่มาทำงานแทน เพราะยังเอาของออกมาจากระบบของเชาชื่อได้วันละสองครั้ง ซินหยานจึงไม่กังวลเรื่องอาหาร
แต่นางก็ไม่ได้นำเนื้อสดมาทำอาหารมากนัก เพราะกลัวว่าจะถูกชาวบ้านสงสัย แต่มื้อกลางวันที่ครอบครัวรองจางทำเลี้ยงก็ยังมีเนื้อมากอยู่ดีในความคิดของชาวบ้าน
ตลอดระยะเวลาการสร้างเรือน จางเทียนก็ค่อยๆ ปรากฏตัว จากที่เขาต้องกลายเป็นคนพิการตามที่ชาวบ้านรู้ ก็เริ่มใช้ไม้เท้าพยุงตัวเพื่อจัดการเรื่องสร้างเรือน
ทุกการกระทำของจางเทียนทำให้ชาวบ้านไม่สงสัยว่าเขาหายเป็นปกติได้อย่างไร ทุกคนมีแต่ร่วมยินดีไปกับเข้าด้วย จางเซียนก็เดินมาวนเวียนที่ที่ดินผืนใหม่ของบ้านรองอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ได้เข้ามาวุ่นวาย
เพียงสามเดือนเรือนหลังใหม่ของตระกูลจางก็เสร็จลง วันฉลองเรือนใหม่คนในหมู่บ้านต่างมาร่วมแสดงความยินดี ผู้นำหมู่บ้านก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน คงมีแต่เรือนของจางเซียนเท่านั้นที่ไม่กล้าโผล่หน้ามา
อาหารที่ใช้เลี้ยงเชาชื่อก็นำออกมาให้อย่างใจกว้าง ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเชาชื่อไม่ได้มีภารกิจใหม่ให้ซินหยานได้ทำ เพราะให้นางจัดการเรื่องเรือนให้เสร็จสิ้นก่อน
"เจ้าไม่มีของขวัญขึ้นบ้านใหม่ให้ข้าหรือ" ซินหยานสื่อสารกับเชาชื่อ
"เหอะ ท่านอยากได้สิ่งใด"
"อืมมม มีบ่อน้ำวิเศษอย่างในนิยายไหม ที่ลงไปแช่ก็รักษาโรคได้ หรือจะเปลี่ยนให้งามขึ้น"
"มี" ซินหยานอ้าปากค้าง นางไม่คิดว่าของเช่นนี้เชาชื่อก็มีด้วย
"แต่ ท่านต้องทำภารกิจก่อนถึงจะได้ ชิ้นใหญ่เกินไป ข้าให้ไม่ได้"
"ต้องทำอะไร"
"ถึงเวลาท่านก็จะรู้เอง"
"เหอะ ทำเป็นมีความลับ"
เมื่อส่งชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ซินหยานก็เลือกของตกแต่งบ้านทันที นางนำโต๊ะกินข้าว ตู้เก็บของ เก็บเสื้อผ้า เตียงนอนมาใส่ไว้ทุกห้อง แม้แต่โซฟานางก็ขอเชาชื่อด้วย แต่เอาไว้เพียงในห้องสามห้องเท่านั้น
ทั้งสามคนมองสิ่งของที่บุตรสาวนำออกมาอย่างตกตะลึง จางเทียนเดินลูบคลำสิ่งของอยู่หลายรอบ เพราะเขาที่เป็นช่างไม้ยังอดทึ่งไม่ได้ที่เห็นสิ่งแปลกตาเช่นนี้
"ท่านพ่อ ท่านหาซื้อคนมาช่วยงานเถิดเจ้าค่ะ" ซินหยานพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าบิดาต้องการทำเครื่องเรือนขาย
"พ่อก็คิดอยู่เหมือนกัน พรุ่งนี้ว่าจะเข้าเมืองไปหาซื้อทาสหลวง"
หากซื้อทาสเรื่องสัญญาที่มีอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าสิ่งของที่ขายหรือทำจะถูกนำออกไปขายให้ช่างคนอื่น แต่หากจ้างชาวบ้าน เมื่อทำเป็นแล้วพวกเขาย่อมอยากจะเป็นเจ้าของกิจการเช่นกัน
ตู้ เตียงอาจจะมีคนเลียนแบบได้ง่าย แต่โต๊ะกินข้าวที่ตรงกลางหมุนได้จางเทียนคิดว่าคงยังไม่มีผู้ได้ทำออกมาได้ หากเขาลงมือทำก่อนคงกอบโกยเงินได้มากมาย
"ท่านพี่ ท่านอยากเข้าสำนักศึกษาหรือไม่เจ้าคะ" ซินหยานเอ่ยถามจางเหลี่ยงที่ตอนนี้กำลังนอนอยู่บนโซฟา
"อยาก" จางเหลี่ยงลุกขึ้นนั่งอย่างไว เขาเห็นสหายในหมู่บ้านได้ร่ำเรียนอยู่หลายคน บุตรชายของท่านลุงใหญ่ก็ได้ร่ำเรียนแต่เมื่อถึงเวลาที่เขาจะได้เข้าเรียนบ้างกลับบอกว่าไม่มีเงินส่งให้เขาเรียน
"เช่นนั้นท่านก็ตามท่านพ่อไปในเมืองพรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ" ซินหยานก็อยากให้พี่ชายมีความรู้ติดตัว ไม่ต้องถึงกับได้เป็นขุนนางหรอก เพียงเอาตัวรอดได้ก็พอ
"ได้ พรุ่งนี้พ่อจะพาเจ้าไปที่สำนักศึกษา" จางเทียนมองบุตรทั้งสองอย่างรักใคร่
"เจ้าไม่อยากไได้สิ่งใดบ้างหรือ" จางเทียนเอ่ยถามซินหยาน
"ไม่เจ้าค่ะ เอ่อ ท่านพ่อ ซื้อเมล็ดผักมาด้วยเจ้าค่ะ ที่ดินที่เหลือข้าไม่อยากทิ้งให้เปล่าประโยชน์เจ้าค่ะ"
"ใช่แล้วท่านพี่ ข้าก็คิดเช่นเดียวกับหยานเออร์" ชุยเหมยนางก็อยากจะปลูกผัก ปลูกข้าวไว้ขาย
ยามค่ำคืนเชาชื่อก็ส่งเสียงปลุกซินหยานให้ตื่นขึ้น
"มีอันใด" ซินหยานเอาหมอนมาอุดหูแต่ก็ไม่ได้ช่วยอันใด
"มีภารกิจพิเศษเข้ามา ท่านต้องไปเดี๋ยวนี้ขอรับ"
"ตอนนี้เนี้ยนะ" ซินหยานขยี้ผมอย่างหงุดหงิด นางกำลังหลับอย่างสบาย
"ใช่ขอรับ ท่านต้องไปช่วยคนบนภูเขา ตอนนี้ท่านผู้นั้นกำลังได้รับอันตรายจากมือสังหาร" เชาชื่อส่งเสียงพูดดังขึ้น
"เหอะ จะตายเกี่ยวอันใดกับข้า"
"ถ้าท่านไม่ทำ ระบบการใช้งานจะถูกตัดขาดทันที สิ่งของที่ท่านได้รับจะหายไปทั้งหมดขอรับ"
"บ้าบอ" ซินหยานตะโกนเสียงดังจนบิดามารดา จางเหลี่ยงต้องวิ่งมาที่ห้องของนาง
"มีอันใดหยานเออร์" จางเทียนร้องถามอย่างเป็นห่วง
"ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ไปนอนต่อเถิดเจ้าค่ะ"
ฝูเหิงอาบน้ำขัดตัวอย่างเร่งรีบ เมื่อสำรวจจากร่างกายว่าแทบไม่หลงเหลือกลิ่นสุราแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ“หึหึ” เขาหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นซูหนี่นั่งหน้าเครียดอยู่ที่เตียงนอนฝูเหิงเดินเข้าไปนั่งข้างซูหนี่ก่อนที่จะยกตัวนางขึ้นมานั่งบนตักแล้วกอดนางไว้จากด้านหลัง“เป็นอันใดไปหรือ” ฝูเหิงก้มลงสูดดมกลิ่นหอมจากตัวซูหนี่ที่ซอกคอของนางอย่างโหยหา“ปะ เปล่าเจ้าค่ะ” ซูหนี่เอ่ยตอบเสียงสั่นฝูเหิงคิดว่านางคงกลัวจึงได้จับใบหน้าของซูหนี่ให้หันมาสบตาเขา ก่อนจะจรดหน้าผากของเขาเข้ากับของซูหนี่“หนี่เออร์ อย่าได้กลัว ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” ฝูเหิงเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังปลอบประโลมนางหัวใจของซูหนี่เต้นระรัว เมื่อเห็นสายตาของฝูเหิงที่จ้องมองมาที่นางอย่างเร่าร้อน นางสั่นสะท้อนเล็กน้อยอย่างตื่นตัว เมื่อลมหายใจร้อนๆ ของฝูเหิงเป่ารดต้นคอของนางซูหนี่แทบอ่อนระทวย เมื่อถูกลิ้นร้อนของฝูเหิงไล้เลียและดูดดึงที่ซอกคอของนาง ความรู้สึกสับสนเกิดขึ้นกับนาง แต่ก็ปล่อยไปตามการสัมผัสของเขาฝูเหิงที่เพียงได้กลิ่นกายของนางความเร่าร้อนก็พุ่งสูงขึ้นภายใน แต่เขาจำต้องควบคุมสติไว้เพื่อไม่ให้นางตื่นกลัวสายตาขอ
ซินหยานยืนมองตำหนักอ๋องที่ประดับไปด้วยผ้าแดงของงานมงคลอย่างยินดี นางไม่เคยคิดว่าในชีวิตของนางจะมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ และในตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางก็กำลังจะออกเรือนแล้วตอนนี้ซูหนี่นางโดนซงมามากับฝูมามาจัดการขัดเนื้อตัวของนางอยู่ แม้ว่าผิวพรรณของนางจะผุดผ่องไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วก็ตามซินหยานเดินเข้าไปดูบุตรสาวที่แช่อยู่ในบ่อน้ำวิเศษของนางแล้วก็ได้แต่ถอนหยาใจ ไม่ต่างกับตัวนางในครั้งนั้นที่โดนจับขัดสีฉวีวรรณเช่นนี้ซินหยานนางยังช่วยชีวิตซูหนี่ด้วยการพานางกลับเรือนเพื่อพูดคุยตามประสาแม่ลูกก่อนที่จะออกเรือนในวันพรุ่งนี้“หนี่เออร์ นี่คือสิ่งที่มารดาทุกคนต้องสั่งสอนบุตรสาวก่อนออกเรือน” ซินหยานนางหยิบตำราวสันต์มาเปิดออกให้ซูหนี่ได้ดู"ท่านแม่" ซูหนี่ร้องอยากตกใจ เพราะสิ่งที่มารดาให้นางได้ดูนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก“มิใช่เรื่องน่าอาย มาแม่จะดูเป็นเพื่อนเจ้า” ซินหยานตบไปที่หลังมือของซูหนี่เบาๆเมื่อเห็นบุตรสาวทำท่าทางเขินอายยามที่นางเปิดไปแต่ละหน้าและอธิบายไปด้วย ซินหยานนางก็หัวเราะออกมาเบาๆนี่คือเรื่องที่ในภพนี้ยังไม่เปิดกว้าง จึงทำให้สตรีต่างเขินอายไม่กล้าพูดหรือแสดงออกมาก
ซินหยานนางยังให้ซูหนี่นำน้ำวิเศษใส่ไหจำนวนมากทิ้งไว้ที่จวนท่านแม่ทัพ ก่อนจะบอกกับจ้าวฟางหรงให้ไว้ใช้ในการเกษตรเช่นไร เพื่อให้ทหารและชาวบ้านเมืองเป่ยโจวที่หาผักสดกินได้ยาก ได้มีผักกินตลอดทั้งปีจ้าวฟางหรงก็กล่าวขอบคุณหยางอ๋องและซูหนี่ที่เมตตาต่อทหารและชาวเมืองมากเช่นนี้ เขารีบไปจัดการเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และทิ้งคนที่ไว้ใจได้ให้จัดการเรื่องการเพพาะปลูกต่อเพราะเขาต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกับหยางอ๋องและซินหยาน เพื่อจัดการเรื่องของมงคลของฝูเหิงกับซูหนี่ขบวนเดินทางของหยางอ๋องที่กลับเมืองหลวงก็มีผู้ติดตามกลับไปด้วยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในมิติได้ตลอดเวลาเช่นเดิมเพียงแต่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อแยกย้ายกันกลับห้องพักผ่อนแล้ว เพราะขบวนเดินทางมีคนมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้กว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็ล่วงเข้าเดือนที่สามของการเดินทางแล้วจ้าวฟางหรงก็ส่งคนมาให้จัดการจวนตระกูลจ้าวในเมืองหลวงไว้ก่อนแล้วฮ่องเต้ ฮองเฮาเมื่อรู้ว่าบุตรชายกับหลานทั้งสี่กลับมาถึงเมืองหลวงก็เรียกตัวเข้าวังทันทีทุกพระองค์ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นหานต่างก็ลอบตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนทะลุ
เชาชื่อนำยาลบความทรงจำมาส่งให้หยางอ๋อง เขาได้ทำกการปรุงยาขึ้นมาใหม่เพื่อใช้กับหานอี้สุ่ยโดยเฉพาะเชาชื่อต้องการให้หานอี้สุ่ยลืมเรื่องที่เขารู้เรื่องระเบิดและก่อนที่จะรู้จักกับซูหนี่ ความทรงจำของหานอี้สุ่ยจึงหยุดอยู่ในวันที่เขาลอบเข้าแคว้นเซี่ยเพื่อสืบเรื่องในแคว้นเท่านั้นก่อนที่จะพาตัวหานอี้สุ่ยออกจากมิติ ฝูเหิงทำลายเอ็นข้อมือข้างขวาของเขาทิ้งเสีย หากสวรรค์ยังเขาข้างหานอี้สุ่ยก็คงส่งหมอเทวดามารักษาเขา แต่หากไม่เขาก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิตซูหนี่พาซีฮันและฝูเหิงออกมาจากมิติ เพื่อให้เขาพาหานอี้สุ่ยไปโยนทิ้งไว้ข้างวังหลวงเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมด ทุกคนก็เห็นตรงกันเรื่องที่ต้องเดินทางกลับแคว้นเซี่ย ชีวิตของหานอี้สุ่ยและฟ่านหลี่อิงหลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องข้องเกี่ยวอีกแล้วในตอนที่ออกจากแคว้นหาน ซูหนี่นางต้องเดินทางอยู่ภายในรถม้ากับฝูเหิงเช่นตอนขามา แต่ในครั้งนี้มีหยางอ๋องที่ปลอมตัวออกมาอยู่ด้วย เพราะเขาไม่ยินยอมที่จะให้บุตรีอยู่เพียงลำพังกับฝูเหิงฝูเหิงที่คิดว่ามีโอกาสใกล้ชิดกับซูหนี่ในรถม้าก็มีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด สืออียังทำหน้าที่บังคับรถม้าเช่นเดิม ทุกคนที
หานอี้สุ่ยทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรง เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน จะมีเรื่องอันใดที่ทำให้นางหลงลืมไปได้เช่นนี้ ตอนที่พบนางก็ไม่เห็นว่านางจะบาดเจ็บที่ใดฟ่านหลี่อิงถูกหานอี้สุ่ยส่งตัวไปคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน เขายังไม่เชื่อนางเสียทั้งหมด ในเมื่อเขาทำตามที่รับปากนางไว้แล้ว แต่นางกลับไม่ยอมบอกวิธีทำระเบิด เช่นนั้นเขาก็จะทรมมานจนกว่านางจะพูดฟ่านหลี่อิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกกระทำเช่นนี้ นางถูกนางกำนัลลากตัวไปไว้ในคุกใต้ดิน พร้อมทั้งหวดแส้ลงที่ร่างกายของนาง“หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ เพคะ” เสียงที่เอ่ยออกมาของนางแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเปิ่นกงอดทนกับเจ้ามากเพียงใด หากยังไม่ยอมพูดอีก เปิ่นกงจะตัดลิ้นของเจ้าเสีย” หานอี้สุ่ยดึงผมของฟ่านหลี่อิงขึ้น เพื่อให้เงยหน้ามาสบตากับเขาฟ่านหลี่อิงร่ำไห้อย่างหวาดกลัว นางได้แต่ร้องบอกว่านนางไม่รู้ นางจำสิ่งใดไม่ได้ แต่เหมือนจะเป็นการเพิ่มโทสะให้หานอี้สุ่ยมากขึ้น เขาลงแส้ไปที่ร่างกายของนางนับครั้งไม่ถ้วนฟ่านหลี่อิงหมดสติลง เพราะทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวหานอี้สุ่ยเดินออกจากคุกใต้ดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาแทบไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้
ไม่ต่างจากหานอี้สุ่ย เขาก็คิดเช่นนั้น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงสามวันจะถึงวันงานแต่งจึงต้องส่งนางกลับไปที่จวนตระกูลฟ่านเพื่อเตรียมตัวเสียก่อน เขาจึงไม่ได้สอบถามรายละเอียดที่เกิดขึ้นถึงถามไปนางก็ตอบได้เพียงจำไม่ได้เท่านั้น ทหารและนางกำนัลในตำหนักต่างก็ตอบไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นคนพาตัวฟ่านหลี่อิงออกไปจากตำหนักเพราะตอนที่ถูกทำร้าย พวกเขาต่างไม่เห็นใบหน้าของผู้ร้ายฟ่านหลี่อิงที่อยู่ภายในเรือนตระกูลฟ่าน นางจำไม่ได้ว่านางเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร และเหตุใดนางถึงได้มีวาสนาถึงขั้นได้แต่งเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทนายท่านฟ่านกับฮูหยินฟ่านก็ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติของบุตรสาว เพราะพวกเขาได้แต่ต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีและเตรียมงานมงคลจนหัวหมุนสองวันต่อมา ฟ่านหลี่อิงก็ถูกปลุกมาให้เตรียมตัว เพื่อเข้าพิธีแต่งงาน งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกที่มาร่วมส่งเจ้าสาวมากมายจนแน่นเต็มเรือนพวกเขาล้วนอิจฉาตระกูลฟ่านที่เป็นเพียงคหบดีเท่านั้น แต่บุตรีกลับมีวาสนาได้เป็นถึงพระชายาขององค์รัชทายาท และต่อไปนางก็จะได้นั่งตำแหน่งฮองเฮาในอนาคต เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่มาร่วมยินดีได้เล่าฟ่านหลี่อิงเดินเข้าไปก