แชร์

ตอนที่ 12

ผู้เขียน: Aile'N
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-18 12:51:37

วิวาห์(ไม่)ไร้รัก

Writer : Aile'N

ตอนที่ 12

"นี่มันหมายความว่ายังไงคะธันย์ ไหนบอกจะช่วยกันกำจัดนังนั่นไงคะ คุณไปทำดีกับมันทำไม! ? " ความสัมพันธ์ของวรธันย์และรินลดาเริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และคนที่คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของคนทั้งคู่มีหรือที่จะไม่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง วันนี้ถึงได้บุกมาหาเขาที่บริษัทตั้งแต่เช้า และใช่...เลขาเขาหยุดพายุลูกนี้ไม่ได้อีกครั้ง

"ผมมีวิธีของผม การรวมหัวกันรุมรังแกอีกฝ่ายแบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี" ปากกายี่ห้อดังยังคงถูกมือแกร่งจับตวัดไปมาบนเอกสารสำคัญ เช่นเดียวกับดวงตาคมกริบที่ยังคงเพ่งสมาธิไปที่มันมากกว่าคู่สนทนา นั่นยิ่งทำให้เกวลินเดือดดาลกว่าที่เป็น

"วิธีอะไรของคุณ เกวไม่เห็นว่าคุณจะทำอะไรตรงไหน ตรงข้าม! คุณพามันไปกินข้าวซื้อแหวน ไม่ใช่ว่าหลงมารยามันแล้วหรือไงคะ! ? " เกวลินนับเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นที่เขาเคยมีสัมพันธ์มา แต่วันนี้หล่อนทำให้เขารู้แล้วว่าหล่อนไม่ได้ต่างไปจากคนอื่นเลยสักนิด

"เกวลิน...คุณมีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของผมมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องอยู่แบบนี้ก็เชิญที่ประตู ผมจะทำงาน" ด้วยเป็นคนใจร้อน ขี้รำคาญและความอดทนต่ำถึงขั้นสุด คุยไม่กี่คำร่างสูงก็หมดความอดทน เขามีงานสำคัญรออยู่มากมาย ไม่มีเวลามาคุยเรื่องส่วนตัวกับใคร แล้วยิ่งมาเต้นเร่าหวีดร้องเสียงแหลมแสบแก้วหูแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งหมดความอดทน

"ธันย์! " เสียงบดกรามบวกน้ำเสียงลอดไรฟัน ทำคนฟังผงะตกใจ เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมาร่างสูงไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนี้ใส่เธอมาก่อน

แม้จะถูกเลื่อนสถานะจากคู่ขามาเป็นแฟน แต่เกวลินก็ไม่แน่ใจนักว่านิยามคำว่า 'แฟน' สำหรับอีกฝ่ายมันคืออะไร เพราะเธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด มันเหมือนมีเส้นบางๆ ที่มองไม่เห็นขีดกั้นเราอยู่ตลอด เธอไม่มีสิทธิ์หึงหวงหรือก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขา เช่นกับที่เขาไม่เคยสนใจเธอมากไปกว่าเรื่องบนเตียง

"...เกวเป็นแฟนคุณนะคะ เกวไม่มีสิทธิ์หึงหวงคุณเลยใช่มั้ย" กว่าร่างเพรียวจะหาเสียงเจอก็กินเวลาไปหลายวินาที เธอยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อด้วยพยายามข่มความโกรธและน้อยใจ

"คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้วเกว...กลับไปก่อน ผมต้องการสมาธิทำงาน" ร่างสูงตัดบทอย่างไม่ใส่ใจ ไม่สนใจจะมองด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายตัดพ้อเขาด้วยน้ำเสียงและสายตายังไง เส้นบางๆ ที่กั้นเราไว้เขานั่นแหละที่เป็นคนขีดมัน เพราะรู้ว่าเมื่อไรที่ปล่อยให้อีกฝ่ายล้ำเส้นก็จะต้องพบเจอกับความน่ารำคาญใจเช่นนี้

เกวลินพยายามข่มความโกรธและน้อยใจไว้ให้ลึกที่สุด เพราะแสดงออกแล้วอย่างไร เขาไม่เคยสนใจกันอยู่ดี เธอสูดลมหายใจลึกพลางกลอกตาเก็บหยาดน้ำใสๆ กลับเข้าไป ก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง สองเท้าเรียวบนส้นสูงปลายแหลมก้าวเดินไปที่ประตูอย่างช่วยไม่ได้

.

.

"ไอ้หญิง! เลิกคลาสแล้ว ไม่กลับบ้านหรือไงยะ" เสียงฝ่ามือกระทบลงบนโต๊ะตรงหน้าทำคนเหม่อสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิด เธอมองสามสาวที่กำลังเก็บของเตรียมกลับบ้านอย่างงงๆ เมื่อมองไปรอบตัวก็พบว่าคนอื่นๆ ได้ทยอยออกจากห้องไปจนเกือบจะหมดแล้ว

"เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย วันนี้แกดูเหม่อๆ นะ เอาแต่มองมือ...เฮ้ยยย นี่มันแหวนเพชรใช่ป้ะ! " ฟิล์มทักอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนัก แค่พูดไปตามที่เห็น แต่พอมองไปที่มือเพื่อนตามคำพูดแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นประกายวิบวับจากแหวนเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ก่อนหน้าไม่เคยเห็นบนนิ้วเพื่อนมาก่อน และพอคนหนึ่งเห็นอีกสองคนก็รุมเข้ามาดูด้วยอย่างตื่นเต้น

"ใครซื้อให้ คุณธันย์ใช่ป้ะ" สาวๆ รุมถามรุมจับมือเธอไปลูบด้วยความตื่นเต้นระคนอิจฉา ซึ่งรินลดาก็ได้แต่พยักหน้ารับและฉีกยิ้มแห้งๆ ส่งให้เท่านั้น

"หู้ยยย อิจฉาอ่ะ! " คนฟังพากันวี้ดว้ายดีใจราวกับเป็นคนได้รับมันเสียเอง จากนั้นพวกหล่อนก็รุมเค้นเอาคำตอบจากร่างบางในสิ่งที่อยากรู้อีกหลายประโยค กว่าจะยอมปล่อยเธอกลับได้ก็เล่นเอาเหนื่อย

"อ้าว หญิง เลิกเรียนแล้วหรอ" เพื่อนชายตัวสูงที่บังเอิญเจอกันตรงบันไดเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มสดใส

"อ้อ ใช่...ภีมล่ะ" รินลดายิ้มบาง ถามไถ่กลับพอเป็นมารยาท

"เลิกแล้ว กำลังจะไปกินข้าวกับเพื่อนร้านหลังมอ ไปด้วยกันมั้ย" อีกฝ่ายชวนอย่างกระตือรือร้นแม้จะรู้ดีว่าเธอต้องกลับไปช่วยพ่อแม่ขายของ ไม่มีเวลาว่างจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ นัก

"ตามสบายเลย เราต้องรีบกลับน่ะ" เสียงหวานปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พอดีกับที่เดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง

"ไม่เป็นไร แล้วนี่กลับยังไงหรอ" ภีมยังคงชวนคุย แอบคิดในใจว่าถ้าไม่มีนัดก็อยากจะอาสาไปส่งคนตัวเล็กที่บ้านสักครั้ง อยากเร่งทำคะแนน...

"มีคนมารับน่ะ งั้นเราไปก่อนนะ" รินลดายิ้มบาง โบกมือลาเมื่อเดินมาถึงหน้าตึกคณะฯ

ภีมทั้งนึกสงสัยและเสียดาย เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม มองตาแผ่นหลังบางไปจนกระทั่งเธอเดินไปหยุดอยู่ที่รถยนต์สุดหรูคันหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างร้อนใจ สงสัยว่าผู้ชายหน้าหล่อแต่งตัวภูมิฐานคนที่ออกจากรถมารับเธอคือใครมาจากไหน จังหวะนั้นอีกฝ่ายก็มองมาราวกับล่วงรู้ว่ามีคนมองอยู่...

ชั่ววินาทีที่ได้สบตากันเหมือนมีกระแสไฟที่มองไม่เห็นลั่นเปรี๊ยะระหว่างเขาทั้งคู่ เท่านี้ก็เหมือนหัวใจถูกควักออกจากอก แน่ใจโดยไม่ต้องมีใครบอกว่าร่างบางกับผู้ชายคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน...

.

.

"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง" สปอร์ตคาร์คันหรูจอดสนิทลงหน้าตลาดนัดที่มีผู้คนพลุกพล่านจอแจในช่วงเย็น พอวรธันย์ลดทิฐิต่อกัน บรรยากาศเป็นกันเองมากขึ้นคนอายุน้อยกว่าก็ยกมือไหว้ว่าที่สามีอย่างลืมตัว

"ไม่ต้องไหว้...ฉันเป็นสามีไม่ใช่พ่อ" คนถูกไหว้ถึงกับหน้าตึง ยกมือทำปางห้ามไหว้ด้วยใบหน้าเรียบสนิท เอ่ยขัดเสียงดุอย่างอดไม่ได้

"อ้อ แหะๆ ค่ะ" รินลดาชะงักก่อนยิ้มแห้งเอาใจ บอกลากันอีกสองสามคำก็ลงจากรถไป

วันนี้ตลาดยังคงคึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของ ร่างบางเมินสายตาสอดรู้สอดเห็นของผู้คนบริเวณนั้นเดินลัดเลาะไปที่แผงขายกับข้าวของพ่อแม่ วันนี้เธอมีเวลาช่วยพวกท่านราวสามชั่วโมงหรือกว่ากับข้าวจะขายหมด ถามว่าเหนื่อยไหมก็เหนื่อยแต่พอคิดว่าพ่อกับแม่เหนื่อยกว่าก็ทำให้ความเหน็ดเหนื่อยของเธอเบาขึ้นกว่าเดิมเยอะ

เจ้าดำยังคงมานอนเฝ้าพวกเธออย่างทุกวัน มันนอนนิ่งไม่ดื้อซนให้ใครเดือดร้อน แสนรู้เสียจนลุงๆ ป้าๆ แผงข้างเคียงเอ็นดูเลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำมันจนท้องป่อง เธอทักทายมันเล็กน้อยก่อนผละไปล้างไม้ล้างมือ สวมผ้ากันเปื้อนมาช่วยแม่ขายของ ทว่า...แหวนเพชรบนนิ้วทำเอาชะงักมือเสียก่อน เธอมองมันอย่างชั่งใจก่อนตัดสินใจถอดเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์กันหล่นหายหรือเปรอะเปื้อน

กว่าจะช่วยพ่อแม่ขายของเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงสามทุ่ม วันนี้ลุงพรเป็นคนมารับกลับบ้านเพราะวรธันย์มีนัดดินเนอร์กับลูกค้า เธอกลับมาถึงบ้านพร้อมกับเขาที่เพิ่งจะเลี้ยวรถเข้ามาจอดพอดี

"กินอะไรมาหรือยัง" เป็นเขาที่เอ่ยทักก่อน เธอเพียงพยักหน้ารับเหนื่อยๆ ไม่ได้ถามกลับเพราะรู้ว่าเขาทานมาแล้ว

"ดูเหนื่อยๆ หักโหมเกินไปหรือเปล่า เรียนหนักแล้วยังต้องกลับมาช่วยพ่อแม่อีก...เลิกซะ ฉันจะจ้างคนไปทำแทน" คุณเขาถามไถ่เหมือนใส่ใจก่อนจะบ่นต่อเสียยาวเหยียดจนคนฟังตั้งตัวไม่ทัน พอจะอ้าปากแย้งอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน

"แล้วนั่น...แหวนหายไปไหน! " น้ำเสียงทุ้มต่ำเพิ่มความดุดันจนบรรยากาศเปลี่ยน ร่างบางเลยต้องรีบงัดหลักฐานออกจากกระเป๋ามาให้เขาดู เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเธอทำหายหรือเอาไปขาย เมื่อก่อนเขายิ่งอคติกับเธออยู่ด้วย

"ตอนขายของฉันกลัวทำหายน่ะค่ะ เลยถอดเก็บไว้ในกระเป๋า" รินลดาเอาแหวนกลับมาสวมนิ้วตามเดิม ทำสีหน้าคนมองเริ่มดูดีขึ้นมาหน่อย...

ไม่อยากคิดก็ห้ามไม่ได้ เพราะแวบแรกที่ไม่เห็นอีกคนสวมแหวนวรธันย์ก็ดันคิดไปว่าเธอเอามันไปขายแล้วจริงๆ ที่เขาลงทุนซื้อให้ก็เพราะหนึ่ง...รินลดาสมควรจะได้ใส่มันไว้ สอง...ลึกๆ แล้วก็ยังอยากจะลองใจเธออยู่ ถ้าเกิดอีกฝ่ายเอามันไปขายจริงๆ เขาจะไม่เสียดายเลยกับการเสียเงินเพียงเล็กน้อยแลกกับการได้กระชากหน้ากากคนดีจอมปลอมของเธอออก

"ไม่จำเป็นอย่าถอด" คนคิดไปไกลกระแอมไอแก้เก้อ ก่อนสั่งกำชับทิ้งท้ายแล้วเดินนำขึ้นชั้นบนไปอย่างรีบเร่ง ราวกับกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง ร่างบางได้แต่ยืนมองตามตาปริบๆ ชั่วครู่ก็ตามอีกฝ่ายขึ้นไป เข้าห้องใครห้องมันเพื่อพักผ่อน...

เช้าวันต่อมารินลดาถูกรบเร้าให้เลิกไปช่วยพ่อแม่ขายของโดยคุณหญิงนาฏยาและคุณสุรศักดิ์ พวกท่านให้เหตุผลว่าเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเธอที่ทั้งเรียนหนักและไหนจะต้องมาช่วยพ่อแม่หลังเลิกเรียน แถมอีกหน่อยก็จะต้องฝึกงานเวลาที่มีก็ยิ่งลดน้อยไปกันใหญ่... ก่อนตบท้ายด้วยการเสนอว่าจะจ้างคนไปทำแทน ทั้งที่ความจริงแล้วอยากให้พ่อแม่เธอหยุดขายแล้วย้ายมาพักอยู่ด้วยกันเลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อทางนั้นคงไม่ยอมเลยเลือกที่จะคอยช่วยเหลือแทน ร่างบางลำบากใจที่จะปฏิเสธคำขอร้องของผู้ใหญ่จนอดหันไปค้อนคนข้างกายไม่ได้ เธอเชื่อว่าที่คุณหญิงลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้แต่เช้าเพราะวรธันย์เป็นคนบอกแน่ๆ

ครั้นจะเลี่ยงด้วยการบอกว่าขอกลับไปปรึกษาพ่อแม่ก่อนก็ไม่ได้ เมื่อคุณหญิงดักทางว่าจะเป็นคนไปคุยกับพวกท่านเอง แล้วพ่อแม่เธอที่คอยผลักไสไม่อยากให้เหนื่อยมาช่วยอยู่แล้วจะปฏิเสธหรือก็เป็นไปไม่ได้ มีแต่จะเห็นดีเห็นงามอยากให้เธอเอาเวลาไปอ่านหนังสือตั้งใจเรียนมากกว่า

ผลสุดท้าย...ก็กลายเป็นว่าพ่อแม่เธอยินดีที่จะให้เธอพัก แต่ไม่ขอรับน้ำใจที่คุณท่านจะส่งคนมาช่วยเพราะพวกท่านให้เหตุผลว่ายังทำกันไหว ไม่ได้หนักหนาอะไร แล้วเธอจะทำอะไรได้ นอกเสียจากต้องยอม...

"พรุ่งนี้วันเกิดคุณหญิงมาลี อย่าลืมซะล่ะเจ้าธันย์" ผู้เป็นแม่เอ่ยเตือนลูกชายในระหว่างทานอาหารเช้าร่วมกัน คุณหญิงมาลีนั้นเป็นเพื่อนสนิทของคุณหญิงนาฏยาที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ที่เตือนก็เพราะลูกชายจะต้องเคลียร์คิวไปร่วมงานวันเกิดในคืนพรุ่งนี้กับเธอด้วย

"หญิงไปกับแม่นะ วันนี้เลิกเรียนพี่ธันย์จะพาไปลองชุด" เมื่อลูกชายรับทราบ คนก็หันมาพูดกับลูกสะใภ้เพราะตั้งใจจะพาไปเปิดตัวในงานนี้ด้วย

"คะ? " คนฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปด้วย

"คุณหญิงมาลีเป็นเพื่อนสนิทของแม่เอง พรุ่งนี้เธอจะจัดงานวันเกิด เพื่อนๆ แม่ไปกันเยอะ แม่จะแนะนำให้รู้จัก" รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจรอยยิ้มของว่าที่แม่สามีนัก ยิ่งเห็นแววระยิบระยับในดวงตาก็ยิ่งไม่ไว้ใจ...

"เอ่อ ค่ะ" แม้จะไม่อยากไป แต่ร่างบางก็รู้ตัวดีว่าปฏิเสธไม่ได้ ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านอินทรเกษมกุลมีหลายสิ่งที่เธอทำได้แค่ยอมรับและปรับตัวเท่านั้น.

.

.

หลังเลิกเรียนตามนัด คนมารับพาเธอไปต่อที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง เขาเดินเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังอย่างคล่องแคล่ว ผิดกับเธอที่ประหม่าจนก้าวติดขัดหลายครั้ง ไม่ใช่ไม่เคยเข้าห้างฯ เพียงไม่เคยเข้าร้านเสื้อผ้าหรูๆ แบบนี้มาก่อน แค่การตกแต่งร้านก็บ่งบอกชั้นชน ราคาของที่ขายอยู่ข้างในได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว อย่าว่าแต่เข้ามาเลย เดินเฉียดเธอยังไม่กล้า...

"ชอบชุดไหน..." ร่างสูงพาว่าที่ภรรยามายังโซนเสื้อผ้าผู้หญิงอันประกอบไปด้วยชุดเดรสกรุยกรายมากมายหลากหลายแบบ เขาปล่อยให้เธอเลือก ส่วนตัวเขาเพียงยืนมองอยู่ใกล้ๆ

"งานใหญ่มั้ยคะ ไม่รู้ว่าต้องใส่ประมาณไหนถึงจะเหมาะสม" ร่างบางถามกลับอย่างคนไม่รู้จะเอายังไง ถ้าเป็นวันเกิดชนชั้นชาวบ้านทั่วไปอย่างเธอเสื้อยืดกางเกงยืนก็ไม่น่าเกลียด แต่นี่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนคุณหญิง คงจะอยู่ในชนชั้นแถวหน้าของคนมีเงินแน่ๆ

"ก็...จัดที่โรงแรม" คนตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่คนฟังยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ

"โรงแรมเลยหรอคะ! ? " แค่งานวันเกิดถึงกับจัดที่โรงแรม! เธอเข้าใจว่าจัดที่บ้านเสียอีก อย่างนั้นคงไม่ใช่งานเล็กๆ เสียแล้วสิ

พออีกฝ่ายพยักหน้ายืนยันหนักแน่น รินลดาจึงเปลี่ยนความคิดที่ว่าจะเลือกชุดธรรมดาราคาแพงน้อยที่สุดเพราะกลัวไปถึงงานแล้วจะแต่งตัวเว่อร์อยู่คนเดียว หันมาเลือกชุดที่เหมาะกับตัวเองสักชุด เอาแบบไม่เด่นและไม่เรียบจนเกินไป อย่างน้อยๆ ขอไม่ทำให้ใครขายหน้าก็พอ...

เลือกอยู่นานก็ได้ชุดเดรสลูกไม้สีฟ้าอ่อนยาวถึงเข่ามาหนึ่งชุด เมื่อเห็นเลือกได้วรธันย์ก็ให้พนักงานพาเธอไปลองที่ห้องลองชุด พอออกมาแทนที่จะเห็นคนรอทำหน้าอึ้งเหมือนในละครที่เคยดูบ่อยๆ เขากลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด สั่งให้เธอหมุนตัวอยู่สองสามรอบ แต่ก็ยังไม่พอใจ สุดท้ายก็เห็นเขาเดินกลับไปที่ราวแขวนชุด แหวกไปแหวกมาไม่กี่ทีก็เดินกลับมาพร้อมชุดเดรสเปิดไหล่สีครีม แหวกอก รัดรูป ยาวเลยเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เขาสั่งให้เธอไปเปลี่ยนแทนชุดเดิมที่แสนจะเรียบร้อยและจืดชืด คุณหญิงมาลีนั้นเป็นคุณป้าสายแฟชั่น นอกจากป้าแกแล้วแขกที่ไปร่วมงานก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากัน ชุดนั้นรังแต่จะทำให้ร่างบางกลายเป็นแกะดำในฝูงเสือดาว ชุดใหม่ที่เขาเลือกให้แม้จะไม่จัดจ้านเท่าคนอื่นแต่รับรองว่าเธอจะไม่ถูกคนในงานมองด้วยสายตาแปลกประหลาดแน่นอน

รินลดาออกจากห้องลองชุดอีกครั้ง ชุดโชว์เนื้อหนังเกินความจำเป็นทำเธอไม่คุ้นชิน แต่สายตาคนมองกลับเป็นที่น่าพึงพอใจมากกว่าชุดก่อน สุดท้ายเธอก็ได้ชุดนี้ไปแบบมึนๆ เมื่อออกจากร้านเสื้อผ้าคนก็พาเธอไปทานข้าวต่อ ช่วงนี้ภาพของเธอกับเขายามไปไหนด้วยกันตามลำพังมักจะถูกแปะอยู่ในหน้าข่าวซุบซิบวันละสองสามรูปแล้วแต่โอกาส โดยที่เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแค่ไฮโซคนหนึ่งจะคบหากับใครทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจกันยาวนานถึงขนาดนี้

"ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยคะ" น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างโต๊ะในตอนที่ทั้งคู่กำลังทานข้าว ไม่รอคำตอบจากใครร่างเพรียวนั้นก็หย่อนก้นลงนั่งข้างคนตัวสูง เบียดร่างนุ่มๆ เข้าหาอีกฝ่ายอย่างจงใจ

รินลดาพยายามถอนสายตาจากเนินอกขาวอวบที่โผล่พ้นชุดเกาะอกของอีกฝ่ายอย่างเนียนๆ เธอไม่ได้ลามกแต่ชุดที่หล่อนใส่ตรงนั้นมันเด่นกว่าอะไรทั้งหมด...เธอยังคงนั่งทานต่อ ไม่ได้ทักทายอะไรผู้มาใหม่เพราะคิดว่าคำทักทายหล่อนคงอยากได้จากร่างสูงมากกว่า

"ไม่ยักจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณมีเวลาให้คนอื่นมากกว่าแฟนตัวเองอีกนะคะ" ดวงตาสวยคมจ้องหน้าคนที่เรียกว่า 'คนอื่น' ด้วยสายตาดูแคลน เน้นย้ำสถานะของตนกับอีกฝ่ายชัดๆ ให้คนฟังจำขึ้นใจ จะได้ไม่หลงระเริงจนลืมตัว

รู้...ว่าอีกฝ่ายพูดกระทบแต่รินลดาก็ยังคงนิ่งด้วยทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ อาหารรสเลิศดูจะฝืดคอขึ้นเรื่อยๆ จนนึกเสียดายจึงพยายามกินต่อให้ได้มากที่สุด ร่างสูงรับรู้ถึงการมาของคนข้างๆ เพียงแต่ไม่คิดจะพูดอะไรนอกจากนั่งทานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้มาใหม่เลยดูเหมือนเป็นส่วนเกินไปโดยปริยาย

แม้จะไม่พอใจแต่เกวลินก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรียกพนักงานมาสั่งอาหารในส่วนของตนโดยไม่สนว่าจะมีใครชวนร่วมโต๊ะหรือไม่ แค่เห็นปฏิกิริยาของคนรักที่เริ่มจะเปลี่ยนไป ใจมันก็ร้อนรุ่ม ไม่สามารถทนอยู่เฉยได้

"ธันย์ ทานนี่สิคะ...แกงเผ็ดเนื้อตุ๋น ของโปรดคุณ เกวสั่งมาให้คุณโดยเฉพาะเลยนะคะ" เสียงหวานเอ่ยอย่างเอาใจหลังตักอาหารจานโปรดไปใส่จานของร่างสูง ตบท้ายด้วยการยกยิ้มเชิดคออย่างคนเหนือกว่าใส่คนฝั่งตรงข้าม ถึงแม้รินลดาจะทำเป็นไม่สนใจแต่หล่อนรู้ว่าเธอต้องได้ยิน

วรธันย์มองสิ่งที่เกวลินตักมาให้นิ่งๆ เขาชอบกินแกงเผ็ดน่ะใช่ แต่ต้องไม่ใส่กะทิอย่างที่หล่อนตักมาให้...ทว่าเพื่อไม่ให้เป็นการหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายเขาก็จำต้องฝืนทาน เพียงคำเดียวก็ไม่แตะต้องแกงชามนั้นอีก โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เซ้าซี้ แต่ก็ชวนคุยจนอดที่จะรำคาญนิดๆ ไม่ได้

"เดี๋ยวทานเสร็จธันย์พาเกวไปซื้อของหน่อยนะคะ เกวอยากได้กระเป๋าใหม่ น้ำหอมที่ธันย์ซื้อให้ก็หมดแล้วด้วย" เกวลินกอดแขนอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ฟังแล้วก็อดมองคนที่มาด้วยกันไม่ได้ แต่รายนั้นก็เอาแต่นั่งเงียบ ไม่มีปากเสียงอะไร ทั้งที่ถ้าเขาไปเธอก็ต้องติดสอยห้อยตามไปด้วยหรือไม่ก็ต้องกลับบ้านเอง

"วันนี้ไม่สะดวก..." ถ้อยคำปฏิเสธอย่างสิ้นไร้เยื่อใยทำร่างบางฝั่งตรงข้ามเริ่มมีท่าทีสนใจขึ้นมานิดๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธแฟนเขาต่อหน้าเธอ

"ทำไมคะ! หรือเพราะคู่หมั้นคุณ? ก็ให้เธอกลับไปก่อนสิ ไม่เห็นยาก" ใครคนนั้นหันมากดดันรินลดาทางสายตา หล่อนจ้องเธอตาแทบถลนราวกับอยากให้เธอพูดอะไรบางอย่าง เช่น "เชิญพวกคุณตามสบาย ฉันกลับเองได้" อะไรประมาณนั้น ซึ่งคล้ายว่าจะเดาถูกแต่คนตัวเล็กกลับเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่พูดอะไร...

"เกว...ผมมากับเขา" วรธันย์ปรามเสียงดุ เตือนสติคนเอาแต่ใจให้ตระหนักว่าอะไรควรอะไรไม่ควรในสถานการณ์ตอนนี้ การที่เขามากับคนหนึ่งแล้วจะให้ทิ้งไปกับอีกคนมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

"แต่เกวเป็นแฟนคุณนะคะ! " พอถูกหักหน้าต่อผู้หญิงอีกคนที่ไม่ชอบเกวลินก็ขาดสติ ตวาดเสียงแหลมด้วยโกรธระคนน้อยใจ แน่ใจแล้วจริงๆ ว่าคนรักเปลี่ยนไป ต้นเหตุมาจากผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอายคนนี้นี่ไง!

"เกวลิน..." วรธันย์กดเสียงต่ำเย็นเฉียบจนคนฟังได้สติ แต่ยังไงความน้อยใจก็มีมากกว่า หล่อนไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือจะมีใครมองมาบ้าง และก็จะไม่ยอมเป็นฝ่ายไปด้วย!

"เกวไม่ไปค่ะ เกวเป็นแฟนคุณ คุณจะทำแบบนี้กับเกวไม่ได้นะคะ" เกวลินยังคงดึงดันไม่ยอมแพ้ แต่เบาเสียงลงพร้อมบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารแทน

"คุณไปเถอะค่ะ ฉันกลับเองได้" รินลดาที่ตอนแรกว่าจะไม่พูดอะไรเริ่มมองเห็นเค้าลางความยุ่งยากเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรามือง่ายๆ เธออยากกลับไปพักผ่อนเร็วๆ และไม่อยากอยู่ในสถานการณ์ชวนน่ารำคาญใจแบบนี้เลยตัดปัญหาเป็นฝ่ายไปเสียเอง

"รออยู่ตรงนี้ ให้ลุงพรมารับ" ร่างสูงเองก็เห็นตรงกันว่าสถานการณ์ตอนนี้มันยุ่งยากน่ารำคาญ แต่เพื่อตัดปัญหาที่จะมีมากกว่าเดิมจึงยอมให้ร่างบางเป็นฝ่ายไป โดยเรียกคนขับรถมารับแทน

แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจที่วรธันย์ยังคงมีเยื่อใยให้กับรินลดา แต่การที่เกวลินไม่ได้เป็นฝ่ายไปทำให้พอจะลบล้างกันได้ หล่อนเหยียดยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ ก่อนหันมาออเซาะร่างสูงอย่างไม่สนอินทร์พรหมหน้าไหน ร่างบางได้แต่ถอนหายใจ ทั้งอ่อนใจและก็อยากขำ...เธอนึกว่าคนแบบนี้จะมีแต่ในละครเสียอีก

นั่งดูคนพยายามจะสวีตกันสักพักลุงพรก็มาถึงพร้อมสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นว่าเพราะอะไรร่างสูงถึงโทรให้มารับคนตัวเล็ก ให้เดาว่าอีกไม่นานคุณหญิงจะต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน

แต่แบบนี้ก็ได้หรอ...?

เขาบอกว่าจะลองศึกษาดูใจกับเธอ แต่กลับไม่ยอมเลิกกับอีกคน ไม่รู้จะเอายังไงกันแน่ หรือตั้งใจจะจับปลาสองมือคบเผื่อเลือก ส่วนคนที่ไม่ถูกเลือกก็ถูกทิ้งไปตามระเบียบ...

ได้หรอ?

..

..

..

..

ได้หรอหื้มมมมม?? 555555

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 34 (ตอนจบ)

    วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 34 (ตอนจบ) วันเวลาผ่านพ้นไปกิจวัตรประจำวันของรินลดาก็ยังคงวนเวียนแบบเดิมซ้ำๆจนอายุครรภ์ล่วงเลยมาจนถึงแปดเกือบเก้าเดือนและมีวันกำหนดคลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอรู้ว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงวันนั้นเนื่องจากช่วงนี้มีอาการเจ็บท้องเตือนบ่อยขึ้นบางทีก็เจ็บจนร้องไห้ผู้เป็นสามีจึงต้องลางานมาอยู่เป็นเพื่อนในช่วงใกล้คลอด"ไหวไหม"ร่างสูงเอ่ยถามภรรยาท้องแก่ที่นั่งเอนหลังดมยาดมพลางหอบหายใจแรงกว่าปกติเนื่องจากเจ็บท้องเตือนขึ้นมาอีกแล้วและดูเหมือนวันนี้จะเจ็บมากกว่าปกติเขาจึงให้คนเตรียมรถเตรียมของใช้สำหรับคลอดไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน"อึก...ไม่ไหว...แฮ่ก"แรงปวดไม่มีท่าทีว่าจะเบาลงเลยแม้แต่น้อยมือเล็กที่บีบมือใหญ่ไว้ส่งผ่านความรู้สึกมาถึงร่างสูงแม้ไม่ทั้งหมดแต่ก็ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเธอกำลังจะทนไม่ไหวไม่ต้องรอให้พูดอะไรซ้ำวรธันย์ก็เรียกเด็กในบ้านให้รีบเตรียมของขึ้นรถส่วนเขาก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีช้อนตัวภรรยาขึ้นอุ้มและตรงไปที่รถอย่างรวดเร็วเรียกได้ว่าสถานการณ์เริ่มวุ่นวายแต่ก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเพราะทุกคนเตรียมการนี้ไว้สักพักใหญ่แล้วเพียงตื่นเต้นยิน

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 33

    วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 33ตกเย็นวรธันย์ก็พาภรรยามาที่บ้านใหญ่พร้อมด้วยกล่องของขวัญหนึ่งใบที่ทำเอาทุกคนต่างมองด้วยความสนใจครั้นถามว่าเอามาให้ใครและข้างในมีอะไรเจ้าตัวก็บ่ายเบี่ยงบอกแค่ว่าจะเฉลยในตอนที่ทานข้าวเสร็จเล่นเอาคุณหญิงนาฏยาคันไม้คันมือยิกๆอยากแย่งมาเปิดดูให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำได้แค่เก็บอาการและอดใจรออย่างใจเย็น"เอ้อแม่มีอะไรจะบอก"คุณหญิงพูดขึ้นท่ามกลางมื้ออาหารที่เริ่มดำเนินมาสักพักหนุ่มสาวเลยพร้อมใจกันวางช้อนส้อมเพื่อรอฟังในสิ่งที่มารดากำลังจะบอก"แม่คุยพ่อและคุยกับพ่อแม่หนูแล้วว่าจะให้ทั้งสองคนย้ายเข้ามาอยู่กับพวกเราที่นี่เนี่ยน้ากว่าจะเกลี้ยกล่อมได้เหนื่อยแทบตายแน่ะ"คุณหญิงบอกอย่างอารมณ์ดีได้ยินแบบนั้นรินลดาก็จ้องหน้าแม่สามีอย่างไม่อยากจะเชื่อหูก่อนจะหันไปมองพ่อกับแม่ที่ทำหน้าเกรงอกเกรงใจอยู่ไม่คลาย"ก็จะให้มาอยู่เฉยๆไม่ให้ทำอะไรเลยมันไม่ได้จริงๆค่ะเกรงใจ"อรนภาเอ่ยแทรกขึ้นมาความจริงคุณหญิงชวนเธอกับสามีมาอยู่ด้วยกันหลายครั้งแล้วแต่เธอปฏิเสธเพราะเกรงใจอีกอย่างก็ไม่คุ้นชินกับบ้านหลังใหญ่หรูหราแบบนี้เท่าไรคราวนี้ที่ยอมก็เพราะยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าให้อยู่ก็ข

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 32

    วิวาห์ (ไม่) ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 32สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกงเข็มนาฬิกา ว่าที่เจ้าสาวถูกปลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันด้วยทีมช่างที่คุณหญิงนาฏยาจัดหามาให้ ได้คุณหญิงและผู้เป็นแม่คอยช่วยดูแลอีกที กำหนดการในช่วงเช้าวันนี้คือการเข้าพิธีแต่งงานแบบไทย เรียบง่าย ลดขั้นตอนพิธีบางอย่างออกไป คงเหลือไว้แต่พิธีหลักๆ ที่สำคัญ สถานที่จัดงานคือบ้านหลังใหญ่ของฝ่ายว่าที่สามีที่ยังคงนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง เพราะขั้นตอนการแต่งตัวน้อยกว่าฝ่ายเจ้าสาวจึงยังไม่ถูกปลุกขึ้นมาพร้อมกันใช้เวลาร่วมสามชั่วโมงในการแต่งหน้าทำผมให้เจ้าสาวและบรรดาแม่ๆ กระทั่งแล้วเสร็จในช่วงเช้าพอดี ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วทว่ายังถูกขัดขวางไม่ให้ได้เจอเจ้าสาวจนกว่าจะเริ่มพิธีไม่เพียงแค่เจ้าของงานที่ต้องเตรียมตัวแต่เช้า ฝ่ายจัดสถานที่และฝ่ายแม่ครัวเองก็วิ่งวุ่นไม่ต่างกันเพราะต้องเตรียมอาหารเลี้ยงพระและ แขกคนสำคัญที่แม้จะเชิญมาแค่ไม่กี่คนก็ต้องดูแลให้ดีสมฐานะเจ้าบ้าน พยายามให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"ใจเย็นๆ อย่าตื่นเต้นมากนัก เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน" อรนภาลูบหลังลูกสาวเ

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 31

    วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 31ด้วยไม่ได้นอนทั้งคืนและอ่อนเพลียจากพิษไข้ คืนแรกที่ต้องนอนแยกห้องกันตามข้อตกลงเลยทำให้รินลดาหลับสนิท ต่างจากวรธันย์ที่นอนมองเพดานว่างเปล่ามานานหลายชั่วโมงแล้ว เขายังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงเลยแม้แต่น้อย เขาคิดถึงร่างนุ่มนิ่มของคนรักที่เคยได้นอนกอด มากไปกว่านั้นคือเป็นห่วงกลัวว่าคนป่วยจะไข้ขึ้นสูงกลางดึกแล้วไม่มีคนดูแลสุดท้ายร่างสูงก็ยอมแพ้ต่อความห่วงใย เขาทนไม่ไหวจึงหอบเอาผ้าห่มกับหมอนเดินไปที่ห้องนอนเล็ก มือหมุนเปิดลูกบิดอย่างแผ่วเบา ก่อนเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ลงมือปูผ้าห่มลงบนพื้น ไม่ลืมตรวจเช็คอุณหภูมิของคนหลับด้วยว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ เมื่อพบว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงวรธันย์ก็ล้มตัวลงนอนข้างเตียง แต่ตั้งใจไว้ว่าจะต้องตื่นก่อนและรีบออกไปจากห้อง บทลงโทษของคนที่ทำอะไรไม่คิดคือแยกห้องนอนและห้ามวอแวอีกฝ่ายจนกว่าจะถึงวันแต่งงานในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า นี่แค่วันเดียวก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะอดทนได้จนถึงวันแต่งงานหรือเปล่ารินลดาหลับยาวจนถึงเช้า เธอลืมตามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ เพราะเมื่อคืนเหมือนจะมีบางช่วงที่กึ่งหลับกึ่งตื่นและรู้สึก

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 30

    วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 30"เฮ้อ...""อะไร ถอนหายใจแต่เช้า ไหวไหมเนี่ย ท่าทางเราดูเพลียๆ นะ ไม่ได้หลับได้นอนหรือไงหื้ม" เลขาท่านประธานถามขึ้นอย่างห่วงใยเมื่อเห็นเด็กฝึกงานในความปกครองนั่งถอนหายใจก่อนฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยท่าทางอ่อนล้าในเช้าวันหนึ่ง จะว่าถูกเธอใช้งานหนักก็ไม่ใช่ ถึงจะเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานแต่พ่วงตำแหน่งคู่หมั้นของเจ้านาย ยังไงก็เปรียบเสมือนเจ้านายเธออีกคน ใครจะไปกล้าใช้งานหนักกัน"ประมาณนั้นแหละค่ะ เจ้าที่แรงมาก ไม่ยอมให้หลับให้นอนเลย" เสียงหวานอ่อนระโหยโรยแรงบ่นพึมพำออกมาคล้ายคุยกันตัวเองมากกว่า คำว่า 'เจ้าที่แรง' ทำคนฟังได้แต่ทำหน้าสงสัย พลันนึกไปถึงคอนโดหรูที่เจ้านายพัก ก็เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเจ้าที่แรง...ขณะที่รุ่นพี่คิดไปไกล...เจ้าที่ในความหมายของคนอายุน้อยกว่าตอนนี้กำลังนั่งจามอยู่ในห้องทำงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ ใช่...เจ้าที่ที่ก่อกวนเวลานอนของเธอก็คือเจ้านายพี่นั่นแหละ!หลังจากวันสารภาพบาป (?) นี่ก็ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว และตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมารินลดาต้องรับมือกับ 'ผีทะเลกินดุ' แทบจะทุกคืน! พอได้มีคืนแรกด้วยกัน คืนต่อๆ ไปก็มาไวและถี่เสียจนตั้งรับไม

  • วิวาห์(ไม่)ไร้รัก   ตอนที่ 29

    วิวาห์(ไม่)ไร้รักWriter : Aile'Nตอนที่ 29"หนูกลัว..." น้ำเสียงเบาหวิวเอ่ยขึ้นในตอนที่ได้กลับมาเหยียบบ้านอินทรเกษมกุลอีกครั้ง แววตากลมใสสั่นระริก ดวงหน้าปรากฏความกังวลอย่างเห็นได้ชัด แม้จะคุยกันมาดีแล้ว แต่พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็ยังมีความพร้อมไม่มากพออยู่ดี"พี่อยู่ทั้งคน" ฝ่ามือใหญ่กุมทับมือเล็กที่เย็นเฉียบสร้างความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ ทว่าก็ทำคนฟังใจชื้นขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความวิตกกังวลมันมีมากกว่า เธอกลัวว่าพ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวเธอมากกว่าว่าใครจะมองยังไง แต่ถ้าไม่พูดก็ไม่สบายใจอีกเหมือนกัน"ไปเถอะ เชื่อใจพี่...ไม่มีอะไรต้องกลัว" ร่างสูงให้กำลังใจ กระชับมือเล็กแน่นขึ้น ก่อนพาเดินเข้าบ้านไป ในเวลานี้ทุกคนต่างมานั่งรวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นตามที่วรธันย์ได้โทรมาขอไว้ ทั้งพ่อแม่ของเขาและพ่อแม่ของรินลดา"อ้าว มากันแล้ว สวัสดีจ้ะ นั่งๆ" คุณหญิงนาฏยาทักทายทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม มือรับไหว้ว่าที่ลูกสะใภ้ก่อนเชิญทั้งสองมานั่งคุยกันระหว่างรอทานมื้อค่ำ"น้องหญิง ไม่สบายหายดีหรือยังคะ พี่ธันดูแลน้องดีหรือเปล่าเนี่ย" ประโยคแรกเอ่ยกับร่างบางด้วยรอยยิ้มสดใส ประโยคหลังหันมามองแรงใส่ล

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status