ก๊อก! ก๊อก!! ก๊อก!!!
“พ่อ แม่คะ นอนกันหรือยังคะ?” เสียงเคาะประตูและน้ำเสียงของลูกสาวที่ดังขึ้น ทำให้ศรชัยและผกามาศยุติการสนทนาจับคู่เอาไว้ก่อน ปิติญาดาเห็นไฟในห้องนอนพ่อและแม่ยังเปิดอยู่จึงอยากจะคุยด้วย จะได้เล่าเรื่องงานแต่งงานของภคมณให้ฟัง “เข้ามาสิน้ำมนต์” เสียงอบอุ่นของผู้เป็นแม่ดังขึ้น ไม่นานประตูห้องบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของปิติญาดาแทรกเข้ามา วันนี้หญิงสาวแต่งตัวสวยสมเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยชุดโทนสีหวานที่เจ้าสาวของงานสั่งมาให้โดยเฉพาะ รูปแบบของชุดก็สวยสมวัย “ไปงานแต่งหนูเต้ยมาเป็นยังไงบ้าง ชื่นมื่นไหม” คนเป็นพ่อเอ่ยถามขึ้นก่อน ส่วนผกามาศก็แอบสังเกตท่าทางของลูกสาวที่ยิ้มแก้มแทบปริ ทำยังกับเป็นเจ้าสาวเสียเองอย่างนั้นแหละ “บ่าวสาวเขาหว้านหวานใส่กัน ตั้งแต่งานยังไม่ได้เริ่ม กระทั่งอัพเตอร์ปาร์ตี้ค่ะ” เสียงใสๆ เอ่ยบอก อันที่จริงภคมณนั้นส่งการ์ดเชิญมาให้เธอทั้งบ้าน แต่พ่อติดประชุมกับลูกค้าสำคัญจึงไม่ได้ไปด้วย ส่วนแม่ถ้าพ่อไม่ไปมีหรือจะยอมไป มีแต่ใส่ซองฝากเธอไปปึกใหญ่เท่านั้นเอง เพราะทั้งคู่ก็เอ็นดูเพื่อนของเธอคนนี้ไม่น้อย “นี่ค่ะของชำร่วย” “น่ารักเชียว” ผกามาศรับของชำร่วยมาจากลูกสาว ก่อนจะเอ่ยชมกับขวดโหลสีขาวที่ภายในมีช็อกโกเลตรูปหัวใจสีสันสดใสน้อยใหญ่บรรจุอยู่เต็มไปหมด คู่รักคู่นี้คงหวังให้ความรักของพวกเขานั้นหอมหวานดั่งช็อกโกแลตนี้ก็เป็นได้ “ไปงานแต่งเพื่อนสนิท แล้วลูกอยากแต่งกับเขาบ้างหรือเปล่า หื้อ...น้ำมนต์” ศรชัยหยั่งเชิงถามลูกสาว เลือกจังหวะนี้แหละ เพราะกำลังคุยเรื่องงานแต่งงาน ขืนไปพูดเอาเวลาอื่นเดี๋ยวปิติญาดาจับได้จะเสียแผน “ค่ะ” “จริงเหรอน้ำมนต์” คำตอบของลูกสาว ทำเอาผกามาศถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น จนถูกสามีจับศอกไว้เบาๆ เพื่อปรามกรายๆ ไม่ให้ดีใจเกินเหตุ ซึ่งดูเหมือนคนเป็นภรรยาจะเข้าใจ และลูกสาวดูจะยังไม่สังเกตเห็น “ก็ถ้าน้ำมนต์มีแฟนที่รักน้ำมนต์ม้ากมากให้ได้ครึ่งหนึ่งที่พ่อรักแม่ละก็ น้ำมนต์ก็คงแต่งงานไปตั้งนานแล้วละค่ะ แต่นี่ลูกสาวคนสวยของพ่อกับแม่ยังโสด และโสด เนื้อคู่ เนื้องอกที่ว่านั่นก็ไม่รู้ไปมุดตู้อยู่ที่ไหน ไม่โผล่มาให้เห็นตัวสักที” ปิติญาดาดูจะย้ำคำว่าโสดให้ชัดๆ ก่อนจะทำหน้าห่อเหี่ยวอย่างคนไร้คู่ แต่คำพูดของลูกสาวกลับทำให้พ่อและแม่ยิ้มขำ “เราน่ะเลือกมากเอง” “ใครบอกละคะ ไม่มีคนให้มาเลือกต่างหาก” พูดจบหญิงสาวก็ย่นจมูกโด่งๆ นั้นนิดหนึ่ง แต่สิ่งที่ปิติญาดาพูดนั้นดูจะเป็นเรื่องจริงที่พ่อและแม่รับรู้ได้ เพราะพวกเขาเลี้ยงลูกสาวคนนี้เหมือนเพื่อน จึงสนิท มีอะไรก็มักจะปรึกษากันเสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรักซึ่งลูกหลายๆ บ้านเขินอายที่จะพูด แต่สำหรับพวกเขาทั้งสามคน ไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่อย่างใด ก่อนที่ผกามาศจะถามขึ้น “ในงานวันนี้ ไม่มีเพื่อนเจ้าบ่าวที่ถูกใจบ้างหรือไง?” “อืม…มีคนหนึ่งค่ะ” “ใครลูก” คราวนี้คนที่ทำน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นศรชัยเสียเอง เพราะกลัวเสียตำแหน่งลูกเขยให้ผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่คณิน พอรู้ตัวก็ยิ้มกลบเกลื่อนส่งมายังภรรยาก่อนคนแรก “ครั้งแรกที่เห็นก็แอบปลื้ม ผู้ชายอะไรหล้อหล่อ แต่พอสวนกันที่หน้าห้องน้ำกลับเดินมาขอลิปกลอสน้ำมนต์ สุดท้ายก็เลยเป็นเพศเดียวกัน แต่เขาสลับร่างเป็นชายมาเกิดก็แค่นั้น” คำพูดของลูกสาวทำเอาคนเป็นแม่ตาโต ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอก “อกอีแป้นจะแตก ผู้ชายสมัยนี้เป็นตุ๊ดเป็นเกย์กันหมดแล้วหรือนี่” พูดจบก็หันมองหน้าสามีที่นั่งอยู่ไม่ห่าง ศรชัยถึงกับส่ายศีรษะให้แบบไม่รู้เรื่องอะไรด้วยทันที “นั่นนะสิคะ แล้วจะเหลือใครตกถึงท้องน้ำมนต์” “พูดจาอะไร น่าเกลียด” ผกามาศเอ็ดลูกสาวที่พูดจาไม่สมกับเป็นผู้หญิงเอาเสียเลย ส่วนคนพูดก็ยิ้มเจื่อนๆ ให้ตามเคย “แล้วถ้ามี ลูกจะยอมแต่งงานกับเขาใช่ไหม?” “ขอดูโปรไพล์ ดูนิสัยและอื่นๆ อีกร้อยแปดก่อนค่ะ แล้วค่อยตัดสินใจ” ปิติญาดาบ่ายเบี่ยงแบบไม่รู้ เพราะไม่คิดว่าพ่อกับแม่จะมีแผนการบางอย่างเตรียมไว้สำหรับเธอนั่นเอง ถึงจะยังไม่มีแฟน อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อยากแต่งงานเป็นพักๆ ก็จริงอยู่ แต่เธอก็เลือกนะ ไม่ใช่จะเป็นใครก็ได้ หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนหนุนตักแม่ อ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย ถึงอายุจะเข้าเลขสามทุกขณะ แต่ความออดอ้อนของลูกคนนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปแต่อย่างใด “น้ำมนต์ของแม่มีสเปคผู้ชายแบบไหนนะ พอจะบอกได้ไหม ชักอยากจะรู้แล้วสิ” ขณะเอ่ยถาม ผกามาศลูบศีรษะได้รูปที่หนุนตักเธออยู่เบาๆ มองใบหน้าของลูกสาวที่นวลเนียน เปล่งปลั่ง สวยสมวัย ยิ่งวันนี้แต่งหน้าอ่อนๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งสวย ดวงตาของปิติญาดานั้นกลมโตเหมือนลูกกวางก็ว่าได้ ขนตาก็งอนงาม ลูกสาวของเธอคนนี้ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยทำให้พ่อและแม่ต้องเสียใจเลยสักเรื่อง เป็นเด็กดีมาโดยตลอด “นั่นสิ พ่อก็อยากรู้” ศรชัยเอ่ยขึ้นอีกคน “อืม…สเปคผู้ชายเหรอคะ” คนถูกถามทำท่าคิด เพราะเธอไม่ได้วางสเปคผู้ชายไว้เลยจริงๆ เมื่อก่อนเคยวางไว้เพียบ สูงสักร้อยแปดสิบขึ้นไป คิ้วหนาได้รูป จมูกต้องโด่ง ปากหยักนิดๆ ผิวแทนๆ หน่อยก็จะดี เพราะเธอไม่ชอบผู้ชายผิวขาว ดูสะอาดเกินไป แต่ตอนนี้สเปคลดน้อยตามอายุที่มากขึ้น คำตอบที่ให้แม่จึงสั้นไปด้วย “ขอแค่ไม่ชอบเพศเดียวกันก็พอแล้วค่ะ” “นั่นน่ะสินะ ผู้ชายสมัยนี้หาง่ายจะตายไป แต่เป็นผู้ชายทั้งแท่งหรือเปล่านี่สิ” พูดไปแล้วผกามาศก็ชักจะกลัวว่าคณินจะเป็นชายเต็มชายหรือเปล่า แต่เธอก็เคยเห็นว่าที่ลูกเขยมาแล้วนี่นา แมนเต็มร้อยแน่ๆ มั่นใจได้ บทสนทนาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ปิติญาดาจะเอ่ยขึ้น “แม่…”เมื่อได้เวลาสามหนุ่มก็มารับคนรักตามคำสั่ง วันนี้พวกเขาเป็นเหมือนคนนอก เพราะสาวๆ อยากคุยกันตามประสาผู้หญิง ส่วนผู้ชายตามสบายเหมือนกัน ขณะนั่งรถกลับบ้านปิติญาดาหันมามองหน้าคณินคล้ายมีอะไรจะพูดแต่ก็ไม่พูดจนเขาต้องถามขึ้น“มีอะไรจะคุยกับพี่หรือเปล่าคะ”“อืม...ไม่มีค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ แต่คณินก็ยังถามย้ำ“แน่ใจนะ”“ค่ะ” ปิติญาดาเอ่ยรับ จะให้บอกเขาได้ยังไงว่าเธอรอให้เขาคุกเข่าขอแต่งงานอยู่ ขืนพูดไปแบบนั้นคณินได้หัวเราะแล้วหาว่าเธอเพี้ยนแน่ๆ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้พี่คิงส์ไปไหนมาคะ”“แวะไปหาเพื่อนเก่ามาครับ ไปบอกเขาว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน”“เหรอคะ...แล้วหลังแต่งงานเราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดี” หญิงสาวเอ่ยชักแม่น้ำทั้งโลกมาพูดก่อนที่จะพูดเรื่องที่กำลังคิด“พี่ให้น้ำมนต์เลือก”“น้ำมนต์อยากไปสวิชเซอร์แลนด์”“ได้” คณินรับ
“คุณพูดอะไร บัวไม่เข้าใจ”“ไม่ต้องห่วงสเต็กจานนี้ไม่มียาแลนเนจนั่นหรอก”“คิงส์!” คำตอบของคณินทำให้กิ่งดาวนั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้จะหายใจด้วยซ้ำ เหงื่อมากมายแตกพลั่กใบหน้าซีดเผือก นั่งขดตัวหลบหน้าเขา“จำไว้ ว่าผมรู้ทุกอย่าง อย่าแม้แต่จะคิดทำร้ายคนที่ผมรักอีก เพราะครั้งต่อไปผมคงไม่น่านั่งคุยกับคุณอยู่แบบนี้”“คิงส์ บัวขะ…” คำขอโทษของกิ่งดาวหายเข้าไปในลำคอ เมื่อถูกคณินเอ่ยขัดขึ้น“ผมฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้ยาพิษให้โง่ หวังว่าคุณจะไม่ใช่คนนั้น” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากบ้านกิ่งดาวทันที เจ้าของบ้านนั่งหัวใจเต้นรัวเพราะความกลัวเข้ามากุมหัวใจเธอเสียแล้ว ก่อนจะเริ่มอาการกระสับกระส่ายวิตกจริต มองซ้ายมองขวาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านกิ่งดาวขึ้นไปบนห้องนอนแล้วปิดประตูใส่กลอนแน่นหนา ก่อนจะควานหายานอนหลับมากินหลายสิบเม็ด คิดแต่เพียงว่าเธอต้องนอน เธอต้องหลับจะได้ไม่ต้องคิดมาก ตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะผ่านไปได้ เธอจ
คณินนั่งเฝ้าปิติญาดาในห้องพักฟื้นไม่ยอมลุกไปไหน ชายหนุ่มรั้งมือเธอมากุมไว้ก่อนจะจรดจมูกโด่งลงไปบนหนังมือนุ่มตรงหน้าหนักๆ หมอบอกว่าเธอปลอดภัยแล้วแต่เขายังไม่เชื่อจนกว่าปิติญาดาจะได้สติ โทษตัวเองว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขา ถ้าดูแลเธอมากกว่านี้กิ่งดาวก็คงไม่สามารถวางยาพิษได้“พี่ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขอโทษคนบนเตียงคนไข้ ซึ่งขณะนั้นปิติญาดาก็ค่อยๆ ขยับตัว หญิงสาวลืมตาขึ้นหลังจากนอนยาวมานานหลายชั่วโมง พอเห็นหน้าคณินก็ยิ้มให้“พี่คิงส์”“ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ปวดหัว ปวดท้อง อยากอาเจียนอีกไหม” คณินถามแบบไม่รอให้คนฟังได้มีเวลาตอบ คนฟังยิ้มให้เขาเพราะรู้ว่าเธอทำให้คณินห่วงเข้าให้อีกแล้ว“ไม่แล้วค่ะ” ปิติญาดาส่ายหน้าปฏิเสธ “แล้วนี่น้ำมนต์เป็นอะไรคะ”“หมอบอกว่าอาหารเป็นพิษ” ชายหนุ่มขอโกหกสักครั้ง เพราะไม่อยากให้ปิติญาดารู้ว่าความจริงคืออะไร ให้เธอเข้าใจแบบนี้ก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องกิ่งดาวที่หนีความผิดกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วนั้นเขาขอจัดการเอง
“อย่าพึ่งทานค่ะ” แต่เหมือนป้าชื่นจะมาช้าไปหนึ่งก้าว เพราะจังหวะนั้นปิติญาดาก็ถูกกิ่งดาวคะยั้นคะยอให้กินสเต็กเข้าไปแล้วหลายคำ“มีอะไรจ๊ะป้า” ปิติญาดาหันไปมองหน้าป้าชื่นซึ่งบ่งบอกว่าตกอกตกใจมาก“แมว แมวข้างบ้านมันตาย”“ก็แค่แมวตายอย่าแตกตื่นไปนักเลยป้าชื่น” กิ่งดาวเอ่ยเหมือนไม่พอใจที่ป้าชื่นเอะอะโวยวาย พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของปิติญาดา อีกนิดเดียวเท่านั้นแผนเธอก็จะสำเร็จแล้ว“แต่ข้างๆ แมวมีจานสเต็กที่คุณบัวเธอทำวางอยู่ด้วย” ได้ยินแบบนั้นปิติญาดาถึงกับหันมามองหน้ากิ่งดาวทันที“ก็ตอนอยู่ในครัวแมวมันมาร้องอยู่ข้างๆ ฉันสงสารเลยให้สเต็กกิน” หัวใจของกิ่งดาวเต้นรัว พยายามเร่งเวลาให้ยาพิษออกฤทธิ์เร็วๆ และก็จริงอย่างที่เธอต้องการ ส้อมในมือของปิติญาดาร่วงลงพื้น หญิงสาวตัวง้องุ้มเป็นกุ้งกุมหน้าท้องแน่นเพราะรู้สึกเจ็บขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ ลำคอแห้งผาก เหงื่อมากมายผุดขึ้นตามร่างกาย“คุณน้ำมนต์เป็นอะไรไปคะ” ป้าชื่นรีบเข้ามาพยุงตัวปิติญาดาทันที“ฉันอยากอาเจี
กิ่งดาวขับรถตระเวนซื้อของมาทำอาหารเย็นด้วยความรู้สึกอยากเอาชนะ ไม่ได้รู้สึกสำนึกต่อสิ่งที่ได้ก่อแต่อย่างใด ก่อนจะพยายามมองหาสิ่งที่เธอจะนำมากำจัดปิติญาดาจนกระทั่งสายตามองไปเห็นป้ายร้านขายยาปราบศัตรูพืช เธอเลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าร้านทันที“ต้องการยาชนิดไหนครับ” เจ้าของร้านเอ่ยถามลูกค้าที่เข้ามา กิ่งดาวหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น“คือ…ไม่ทราบว่าที่นี่มียาปราบศัตรูพืชแบบไม่มีกลิ่นแต่ประสิทธิภาพดีบ้างไหม”“มีครับ”“ถึงตายหรือเปล่า” กิ่งดาวถามตรงประเด็น เจ้าของร้านจึงพูดถึงสรรพคุณให้ลูกค้าฟังทันที“อย่าว่าแต่พวกหญ้าเลยคุณ ถ้าคนได้กินเข้าไปก็ไม่รอด”“เหรอ” แทนที่จะรู้สึกผิดแต่กิ่งดาวกลับรู้สึกว่าตนกำลังจะเป็นผู้ชนะ เส้นชัยใกล้มาถึงทุกขณะ ต่อจากนี้เธอก็จะได้อยู่กับ คณินอย่างมีความสุข“แล้วไม่ทราบว่าคุณต้องการมากแค่ไหน”“ขวดเดียวก่อน ฉันอยากรู้ว่าหญ้ารกโลกพวกนั้นจะตายจริงๆ ถ้าดีจะกลับมาซื้ออีก” กิ่งดาวยิ้มเหี้
กิ่งดาวไม่อยากตื่นแต่เช้าก็ต้องตื่นเพราะเธอออกมานั่งรอคณินที่หน้าบ้าน เธอพยายามโทรศัพท์ไปหาชายหนุ่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับติดต่อไม่ได้เลย เพราะขณะนี้คณินและปิติญาดาอยู่กับครอบครัวและบรรดาเพื่อนสนิทอยู่นั่นเอง ทั้งหมดกำลังคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานของทั้งคู่ ซึ่งปิติญาดาอยากจัดงานที่ลำปาง เพราะที่นี่มีรีสอร์ตที่สวยๆ อยู่หลายแห่งวันนี้บรรดาพ่อๆ แม่ๆ ของปิติญาดาและคณินจะกลับกรุงเทพฯ ภคมณและวศินก็ด้วยเนื่องจากภคมณมีนัดกับคุณหมอเพื่อตรวจครรภ์ ส่วนต้องหทัยก็ต้องกลับเช่นเดียวกัน เพราะตอนนี้เธอไม่ได้เป็นคนว่างงานจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระอย่างเช่นเมื่อก่อน หญิงสาวเลือกที่จะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของครอบครัว ทั้งหมดแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เมื่อออกจากรีสอร์ตก็บ่ายแล้วคณินก็หันมองหน้าปิติญาดา“จะกลับบ้านเลยไหม”“ค่ะ…ต่อให้หลบหน้ายังไงก็คงต้องกลับไปเพราะนั่นคือบ้านเรา”“นั่นสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพี่คุยกับบัวให้รู้เรื่องเอง” ปิติญาดาพยักหน้าให้ชายหนุ่ม ทั้งคู่จึงขับรถตรงกลับบ้าน และ